ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตที่คุณอาจไม่เคยรู้ พลังงานสำคัญสำหรับร่างกาย

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า คาร์โบไฮเดรตเป็นสาเหตุของความอ้วน แต่ความจริงแล้ว มันคือหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายของเรา ตามการศึกษาจาก องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) แนะนำให้บริโภคคาร์โบไฮเดรตในสัดส่วน 45-65% ของพลังงานที่ได้รับทั้งหมดในแต่ละวัน เพราะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานหลักแก่ร่างกาย

 

Table of Contents

ทำความรู้จักคาร์โบไฮเดรต สารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการ

คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ สารอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ที่มีโครงสร้างทางเคมีประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ตามการศึกษาของ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2024) พบว่าเมื่อร่างกายย่อยคาร์โบไฮเดรต จะได้น้ำตาลกลูโคสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะสมองที่ต้องการกลูโคสเป็นพลังงานหลัก

 

กลไกการทำงานของคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ทำไมเราถึงต้องการมัน?

เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะเริ่มย่อยตั้งแต่ในปาก ผ่านเอนไซม์อะไมเลส จากนั้นจะถูกย่อยต่อในลำไส้เล็กจนได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินเพื่อช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ การศึกษาในวารสาร Nutrition Today (2023) ระบุว่า กระบวนการนี้ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะตะคริวจากการขาดพลังงาน

 

ความสัมพันธ์ระหว่างคาร์โบไฮเดรตกับโรคเบาหวาน เรื่องที่ต้องระวัง

โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติในการผลิตหรือการทำงานของอินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (2024) แนะนำว่าผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากกว่าเชิงเดี่ยว เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า

 

ทำความเข้าใจคาร์โบไฮเดรตมีอะไรบ้าง ต่างกันอย่างไร?

คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก โดย American Diabetes Association (2024) ได้อธิบายความแตกต่างไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

1.คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว น้ำตาลที่ให้พลังงานเร็ว

น้ำตาลประเภทนี้มีโครงสร้างโมเลกุลที่เรียบง่าย ร่างกายย่อยและดูดซึมได้เร็ว ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พบได้ในน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และผลไม้รสหวาน วารสารโภชนาการไทย (2023) รายงานว่าการบริโภคน้ำตาลประเภทนี้มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและเบาหวาน

2.คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน พลังงานคงทนที่ร่างกายต้องการ

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมีโครงสร้างโมเลกุลที่ซับซ้อนกว่า ต้องใช้เวลาในการย่อยนานกว่า จึงให้พลังงานแบบค่อยเป็นค่อยไป พบมากในธัญพืช ข้าวกล้อง และพืชผักใบเขียว นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยใยอาหารที่ช่วยป้องกันอาการท้องผูก และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

 

แหล่งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต กินอะไรดี?

อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมีอยู่มากมายในชีวิตประจำวัน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2024) แนะนำแหล่งอาหารที่ดีดังนี้

ธัญพืชไม่ขัดสี: ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ควินัว

ผักใบเขียว: ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกาดหอม บรอกโคลี

ถั่วและเมล็ดพืช: ถั่วแดง ถั่วดำ เมล็ดฟักทอง เมล็ดเจีย

ผลไม้: กล้วย แอปเปิ้ล ส้ม มะละกอ

การเลือกรับประทานจากแหล่งอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ได้รับทั้งคาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

5 ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตที่คุณควรรู้

การบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสมมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย วารสาร Clinical Nutrition (2024) ได้รวบรวมผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นประโยชน์ที่สำคัญ ดังนี้

1.การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเป็นธรรมชาติ

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนช่วยให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เนื่องจากถูกย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ ทำให้อินซูลินถูกหลั่งออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและตกต่ำอย่างรวดเร็ว สถาบันวิจัยโภชนาการ (2023) พบว่าการรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ถึง 30%

 

2.ระบบย่อยอาหารแข็งแรง ห่างไกลอาการท้องผูก

เมื่อเรารับประทานธัญพืชและผักที่อุดมด้วยใยอาหาร จะช่วยเพิ่มปริมาณกากใยในระบบทางเดินอาหาร กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และช่วยดูดซับน้ำ ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายง่าย นอกจากนี้ยังช่วยเลี้ยงแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ซึ่ง Journal of Gastroenterology (2024) รายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

 

3.สมองปลอดโปร่ง พลังงานเต็มเปี่ยม

สมองของเราต้องการกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยใช้พลังงานประมาณ 20% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน การศึกษาในวารสาร Neuroscience (2023) แสดงให้เห็นว่าการได้รับคาร์โบไฮเดรตอย่างเพียงพอช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำ การเรียนรู้ และการตัดสินใจ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ คาร์โบไฮเดรตยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างกรดอะมิโนบางชนิด ช่วยในการเผาผลาญไขมัน และควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย การได้รับสารอาหารชนิดนี้อย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานของร่างกายที่เป็นปกติ

 

4.เพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย

คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการออกกำลังกาย วารสาร Sports Medicine (2024) รายงานว่าการได้รับคาร์โบไฮเดรตอย่างเพียงพอช่วยเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ ลดความเหนื่อยล้า และป้องกันตะคริวระหว่างการออกกำลังกาย

 

5.สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน

การได้รับคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากธัญพืช ผัก และผลไม้ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาใน Frontiers in Immunology (2023) พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารจากแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ต้านทานโรคได้ดีขึ้น

 

วิธีการบริโภคคาร์โบไฮเดรตให้เหมาะสม

การรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จำเป็นต้องเข้าใจหลักการบริโภคที่ถูกต้อง สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย (2024) ได้แนะนำแนวทางที่เหมาะสมสำหรับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังนี้

เคล็ดลับสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก

การควบคุมน้ำหนักไม่ได้หมายถึงการงดคาร์โบไฮเดรตโดยสิ้นเชิง แต่ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และถั่ว การศึกษาจาก Journal of Nutrition (2023) พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงมีแนวโน้มที่จะรู้สึกอิ่มนานกว่า และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักมากกว่า

ข้อแนะนำสำหรับการควบคุมน้ำหนัก

  • รับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสม 45-65% ของพลังงานทั้งหมด
  • เน้นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • หลีกเลี่ยงน้ำตาลเพิ่มและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
  • ทานอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยครั้ง เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

แนวทางสำหรับคนรักสุขภาพ

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในระยะยาว การเลือกสารอาหารที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ วารสารโภชนาการ (2024) แนะนำให้

  • เลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  • รับประทานผักและผลไม้หลากสี
  • เน้นธัญพืชเต็มเมล็ด
  • จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัวที่มักพบร่วมกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง

การบริโภคที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันอาการท้องผูก ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ตารางแสดงดัชนีน้ำตาลของอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต

 

อาหาร ดัชนีน้ำตาล ปริมาณคาร์โบไฮเดรต (ต่อ 100 กรัม) ระดับการดูดซึม
ข้าวขาว 73 28 สูง
ข้าวกล้อง 68 23 ปานกลาง
ขนมปังโฮลวีต 51 49 ปานกลาง
ธัญพืชรวม 45 70 ต่ำ
มันฝรั่งต้ม 54 20 ปานกลาง
กล้วยหอม 51 23 ปานกลาง
แอปเปิ้ล 36 14 ต่ำ

 

ความสัมพันธ์ระหว่างคาร์โบไฮเดรตกับการออกกำลังกาย

สมาคมเวชศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย (2024) ได้อธิบายถึงความสำคัญของคาร์โบไฮเดรตสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายไว้อย่างน่าสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานหลักแล้ว ยังช่วยป้องกันตะคริวและการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้อีกด้วย

อาหารก่อนออกกำลังกาย

การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตก่อนออกกำลังกาย 2-3 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ Journal of Sports Science (2023) แนะนำให้เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวกล้อง มันฝรั่ง หรือขนมปังโฮลเกรน เพื่อให้พลังงานคงที่ตลอดการออกกำลังกาย

อาหารหลังออกกำลังกาย

หลังออกกำลังกาย ร่างกายต้องการคาร์โบไฮเดรตเพื่อเติมพลังงานให้กับกล้ามเนื้อและตับ การศึกษาในวารสาร Exercise and Sport Sciences Reviews (2024) พบว่าการรับประทานคาร์โบไฮเดรตร่วมกับโปรตีนภายใน 30 นาทีหลังออกกำลังกาย ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเติมพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำความเข้าใจคาร์โบไฮเดรตให้ถูกต้อง

คาร์โบไฮเดรตทำให้อ้วนจริงหรือ?

ความเชื่อที่ว่าคาร์โบไฮเดรตทำให้อ้วนนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมด วารสารโภชนาการ (2024) อธิบายว่าการอ้วนเกิดจากการได้รับพลังงานมากเกินความต้องการของร่างกาย ไม่ว่าจะมาจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน หรือไขมัน การเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่ทำให้อ้วน แต่กลับมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

งดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดได้ไหม?

การงดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย American Journal of Clinical Nutrition (2023) รายงานว่าการขาดคาร์โบไฮเดรตอาจทำให้

  • สมองทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • เกิดภาวะตะคริวและอ่อนเพลีย
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • เสี่ยงต่ออาการท้องผูก
  • ขาดสารต้านอนุมูลอิสระจากธัญพืชและผักผลไม้

 

คาร์โบไฮเดรตกับวัยต่างๆ

เด็กและวัยเรียน

เด็กและวัยเรียนต้องการคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย (2024) แนะนำว่า เด็กควรได้รับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 50-60% ของพลังงานทั้งหมด โดยควรเน้นอาหารที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช และผลไม้ เพื่อให้ได้ทั้งพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโต

ผู้สูงอายุ

สำหรับผู้สูงอายุ การเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง วารสารเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (2023) แนะนำให้

  • เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหารสูง เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อชะลอความเสื่อม
  • ควบคุมปริมาณเพื่อป้องกันระดับคอเลสเตอรอลสูง
  • เลือกอาหารที่ย่อยง่าย เพื่อลดปัญหาระบบย่อยอาหาร

 

ข้อควรระวังในการบริโภคคาร์โบไฮเดรต

การรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2024) ได้ระบุข้อควรระวังดังนี้

  1. ระวังการบริโภคน้ำตาลเกิน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนและเบาหวาน
  2. สังเกตการตอบสนองของร่างกาย หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
  3. ระมัดระวังการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงร่วมกับคาร์โบไฮเดรต
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานคาร์โบไฮเดรตปริมาณมากก่อนนอน

 

ตารางแนะนำปริมาณคาร์โบไฮเดรตสำหรับวัยต่างๆ

 

กลุ่มบุคคล ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำ (กรัม/วัน) คิดเป็น % ของพลังงานทั้งวัน หมายเหตุ
เด็ก (1-3 ปี) 130 45-65% เน้นอาหารที่กินง่าย ย่อยง่าย
วัยเรียน (4-18 ปี) 130-250 45-65% เพิ่มปริมาณตามการเจริญเติบโต
ผู้ใหญ่ทั่วไป 225-325 45-65% เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
ผู้ใหญ่ที่ออกกำลังกาย 275-400 55-65% เพิ่มตามความหนักของกิจกรรม
ผู้สูงอายุ 200-300 45-60% เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง
หญิงตั้งครรภ์ 175-250 45-65% เพิ่มตามไตรมาส
ผู้ป่วยเบาหวาน 150-225 45-55% ปรับตามคำแนะนำแพทย์

สรุป เข้าใจคาร์โบไฮเดรต ใช้ให้เป็น เห็นประโยชน์

คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย การเลือกรับประทานอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนัก การป้องกันโรค หรือการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี สิ่งสำคัญคือต้องเลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพ และรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต

1.กินคาร์โบไฮเดรตตอนเย็นทำให้อ้วนจริงหรือไม่?

ไม่จริงทั้งหมด Journal of Nutrition (2024) อธิบายว่าการอ้วนเกิดจากการได้รับพลังงานมากเกินความต้องการของร่างกายตลอดทั้งวัน ไม่ใช่เพียงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและควบคุมปริมาณให้เหมาะสม

2.ควรกินคาร์โบไฮเดรตวันละกี่กรัม?

สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2024) แนะนำให้รับประทานคาร์โบไฮเดรต 45-65% ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี ควรได้รับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 225-325 กรัมต่อวัน

3.คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและเชิงเดี่ยวต่างกันอย่างไร?

คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวย่อยง่าย ดูดซึมเร็ว ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเร็ว พบในน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ส่วนคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนย่อยช้ากว่า ให้พลังงานค่อยเป็นค่อยไป พบในธัญพืช ข้าวกล้อง

4.อาหารคีโตเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่?

American Journal of Clinical Nutrition (2023) รายงานว่าการจำกัดคาร์โบไฮเดรตอย่างเคร่งครัดในระยะยาวอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง ระบบภูมิคุ้มกัน และอาจทำให้ขาดสารอาหารสำคัญบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มอาหารคีโต

5.ผู้ป่วยเบาหวานควรงดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดไหม?

ไม่ควร สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (2024) แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ และควบคุมปริมาณตามคำแนะนำของแพทย์

6.กินข้าวกล้องดีกว่าข้าวขาวจริงหรือ?

จริง เพราะข้าวกล้องเป็นธัญพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุสูงกว่าข้าวขาว สถาบันวิจัยโภชนาการ (2024) พบว่าข้าวกล้องมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า

7.น้ำตาลจากผลไม้กับน้ำตาลทรายต่างกันอย่างไร?

น้ำตาลในผลไม้มาพร้อมกับใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายดูดซึมช้ากว่า ในขณะที่น้ำตาลทรายเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวล้วนๆ วารสารโภชนาการ (2023) ระบุว่าการบริโภคน้ำตาลจากผลไม้ดีกว่าน้ำตาลทราย

8.ควรกินคาร์โบไฮเดรตก่อนหรือหลังออกกำลังกาย?

ควรทานทั้งก่อนและหลัง Journal of Sports Medicine (2024) แนะนำให้ทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก่อนออกกำลังกาย 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้พลังงาน และทานหลังออกกำลังกายภายใน 30 นาทีเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

9.ทำไมนักกีฬาต้องกินคาร์โบไฮเดรตเยอะ?

เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานหลักสำหรับการออกกำลังกาย การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา (2024) พบว่านักกีฬาต้องการพลังงานมากกว่าคนทั่วไป 2-3 เท่า และคาร์โบไฮเดรตช่วยป้องกันตะคริวระหว่างการแข่งขัน

10.มันฝรั่งมีคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าข้าวจริงหรือ?

มันฝรั่งต้มสุก 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 20 กรัม ในขณะที่ข้าวสุก 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 28 กรัม ตามตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของกรมอนามัย (2024) แต่ทั้งสองอย่างถือเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดีต่อสุขภาพ หากเลือกวิธีการปรุงที่เหมาะสม

ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต เราสามารถเลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของเราเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *