10 เหตุผลที่โค้ชหมิงเจอมากับตัวว่า “วิ่งช่วยให้คิดงานออก”

1. วิ่งช่วยกระตุ้นสารเอ็นดอร์ฟิน ทำให้สมองปลอดโปร่ง

“วิ่งไปได้สักพัก รู้สึกเหมือนม่านหมอกในหัวค่อยๆ เปิดออก ความคิดแจ่มชัดขึ้น บางทีไอเดียใหม่ๆ ก็แวบเข้ามาเหมือนสายฟ้าฟาด”

เมื่อเราวิ่ง ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่ทำให้รู้สึกดี ลดความเครียดและความวิตกกังวล ในสภาวะจิตใจที่ปลอดโปร่งนี้ สมองสามารถเชื่อมโยงความคิดได้อย่างอิสระมากขึ้น ผมมักได้ไอเดียดีๆ หลังวิ่งไปได้สัก 15-20 นาที เมื่อสารเอ็นดอร์ฟินเริ่มทำงานเต็มที่

2. หัวใจเต้นแรง สมองตื่นตัว ไอเดียจึงไหลลื่น

“เวลาหัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดสูบฉีดทั่วร่างกาย รวมถึงสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้น 15-20% ช่วยให้สมองตื่นตัวและทำงานได้ดีขึ้น”

การวิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดไหลเวียนดีขึ้น ส่งผลให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น งานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคจะกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส ซึ่งเกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้

3. การวิ่งช่วยตัดสิ่งรบกวนรอบตัว ทำให้คิดได้ลึกขึ้น

“จากคนที่มีโทรศัพท์ 2 เครื่อง แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ค 3 หน้าจอ เมื่อออกไปวิ่ง เหลือแค่เรากับถนน ความคิดจึงเรียบง่ายและชัดเจนขึ้น”

ระหว่างวิ่ง เราตัดขาดจากสิ่งรบกวนทั้งอีเมล แจ้งเตือน และการหยิบโทรศัพท์ดูทุก 5 นาที เป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองและความคิดของตัวเองอย่างแท้จริง ผมพบว่าระหว่างวิ่งตามเส้นทางประจำ สมองจะเข้าสู่โหมดอัตโนมัติในการวิ่ง ปลดปล่อยพลังงานสมองส่วนใหญ่ไว้สำหรับความคิดสร้างสรรค์

4. การเคลื่อนไหวทำให้สมองเชื่อมโยงเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

“สมองของเราวิวัฒนาการมาให้คิดได้ดีที่สุดขณะเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งอยู่กับที่ การวิ่งเป็นการนำสมองกลับไปทำงานในสภาพแวดล้อมที่มันถูกออกแบบมา”

จากการศึกษาในปี 2022 พบว่า การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง 2 ซีกพร้อมกัน ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล (สมองซีกซ้าย) กับความคิดสร้างสรรค์ (สมองซีกขวา) ดีขึ้น ผมสังเกตว่าช่วงวิ่งจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลหรือความคิดที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกันได้อย่างน่าประหลาด

5. เสียงเท้าและการหายใจช่วยดึงสมาธิแบบธรรมชาติ

“จังหวะเท้ากระทบพื้น… หนึ่ง-สอง… หนึ่ง-สอง… ลมหายใจเข้า-ออก… เข้า-ออก… คือทำนองดนตรีที่ทำให้เกิดสมาธิลึกโดยไม่ต้องพยายาม”

ระหว่างวิ่ง จังหวะเท้าและลมหายใจสร้างความเป็นจังหวะ (rhythm) ที่ช่วยให้สมองเข้าสู่ภาวะคล้ายการทำสมาธิโดยไม่ต้องนั่งนิ่งๆ จังหวะสม่ำเสมอนี้ช่วยให้สมองเข้าสู่ “flow state” หรือภาวะจิตไหลลื่น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมกับการคิดสร้างสรรค์ เคยมีครั้งที่ผมแก้ปัญหาธุรกิจที่ติดขัดมานานได้ระหว่างวิ่ง เพราะจังหวะวิ่งที่สม่ำเสมอช่วยให้ความคิดเป็นระเบียบขึ้น

6. ได้โอกาสทบทวนปัญหาแบบไม่มีแรงกดดัน

“ต่างจากการประชุม ระหว่างวิ่งไม่มีใครคอยจับผิด ไม่มีใครเร่งให้ตอบ จึงเป็นเวลาที่ปล่อยให้สมองทำงานโดยไม่มีแรงกดดัน”

การวิ่งให้พื้นที่และเวลาที่ปลอดภัยในการคิดทบทวน เราสามารถพิจารณาปัญหาที่เผชิญโดยไม่มีแรงกดดันให้ต้องได้คำตอบในทันที ไม่มีเจ้านายหรือลูกค้าคอยเร่ง ทำให้สามารถมองปัญหาจากหลายมุม ผมมักวิ่งกับโจทย์หรือปัญหาในหัว ปล่อยให้มันอยู่ในความคิดระหว่างวิ่งโดยไม่บังคับให้ได้คำตอบ และบ่อยครั้งที่คำตอบจะมาเองในที่สุด

7. ระหว่างวิ่งคือช่วงเวลาที่จิตใต้สำนึกทำงาน

“เวลาวิ่ง สมองส่วนรู้สึกตัวทำงานน้อยลง แต่จิตใต้สำนึกกลับทำงานหนักขึ้น นี่คือช่วงเวลาที่ ‘นักคิดตัวจริง’ ในตัวเราได้ลงมือทำงาน”

ขณะวิ่ง สมองส่วนรู้สึกตัว (conscious mind) มักจดจ่อกับการเคลื่อนไหวและสิ่งรอบตัว ในขณะที่จิตใต้สำนึก (subconscious mind) ซึ่งมีพลังในการประมวลผลมากกว่า ได้ทำงานกับปัญหาที่เราคิดค้างไว้ก่อนหน้า เคยมีครั้งที่ผมคิดชื่อแคมเปญการตลาดไม่ออกมาหลายวัน แต่ระหว่างวิ่งในวันที่ห้า ชื่อแคมเปญดีๆ ก็ผุดขึ้นมาเองโดยที่ไม่ได้พยายามคิด

8. เหงื่อออก ความเครียดหาย – สมองพร้อมคิดเรื่องยาก

“พอร่างกายได้เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ความตึงเครียดสะสมค่อยๆ คลายออก สมองจึงพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ”

การวิ่งเป็นการระบายความเครียดและความกังวลที่ดีเยี่ยม เมื่อความเครียดลดลง ทำให้ระดับคอร์ติซอลในเลือดลดลง ส่งผลให้สมองสามารถคิดอย่างชัดเจนและสร้างสรรค์มากขึ้น ผมเคยมีปัญหาทะเลาะกับหุ้นส่วนธุรกิจ ตอนนั้นโกรธมาก คิดอะไรไม่ออก พอไปวิ่ง 5 กิโล กลับมาก็มองเห็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้

9. ความมั่นใจจากการวิ่งช่วยเสริมพลังการตัดสินใจ

“ทุกครั้งที่วิ่งเสร็จ ผมรู้สึกชนะตัวเอง และความรู้สึกนี้ไม่ได้หายไปง่ายๆ มันติดตัวมาถึงโต๊ะทำงาน ทำให้กล้าตัดสินใจมากขึ้น”

เมื่อเราทำสำเร็จในการวิ่งตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะวิ่งระยะทางมากขึ้นหรือเร็วขึ้น จะสร้างความรู้สึกประสบความสำเร็จ (sense of achievement) ซึ่งส่งผลให้มีความมั่นใจในการตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ด้วย ผมเคยวิ่งฮาล์ฟมาราธอนในวันอาทิตย์ แล้ววันจันทร์ต่อมาก็ตัดสินใจปิดดีลธุรกิจสำคัญที่ลังเลมานาน พลังจากการชนะตัวเองในการวิ่งทำให้มีความมั่นใจในการตัดสินใจเชิงธุรกิจ

10. เวลาวิ่ง = เวลาคิดไอเดียสำคัญที่มักหลุดจากโต๊ะทำงาน

“บนโต๊ะทำงานคือที่ที่เราจัดการกับงานประจำ แต่ระหว่างวิ่งคือที่ที่เราคิดเรื่องใหญ่ ภาพกว้าง และทิศทางใหม่ๆ”

ในชีวิตประจำวัน เรามักทำงานตามกรอบและระบบที่วางไว้ แต่ระหว่างวิ่ง สมองมีอิสระมากกว่าที่จะคิดภาพใหญ่และค้นพบโอกาสใหม่ๆ ผมวางแผนขยายธุรกิจและคิดแผนระยะยาวระหว่างวิ่งเสมอ เพราะมันให้มุมมองที่กว้างกว่าและสดใหม่กว่าการนั่งในห้องประชุม

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในปี 2021 ที่ศึกษาซีอีโอ 300 คน พบว่า 82% ของพวกเขารายงานว่าการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดมักเกิดขึ้นนอกสำนักงาน โดยกิจกรรมที่พบบ่อยที่สุดคือการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการวิ่งและการเดิน

 

โค้ชหมิงเคยคิดงานสำคัญออกระหว่างวิ่งจริงไหม?

ยกตัวอย่างแคมเปญที่เกิดขึ้นตอนวิ่ง

“แคมเปญ ‘Run at Home Challenge’ ที่สร้างยอดขายลู่วิ่งกว่า 200 เครื่องในช่วงโควิด เกิดขึ้นตอนที่ผมวิ่งรอบสวนลุมในวันที่ประกาศล็อกดาวน์ครั้งแรก”

เมื่อต้นปี 2020 ตอนที่โควิดระบาดและมีการล็อกดาวน์ครั้งแรก ผมคิดว่าธุรกิจลู่วิ่งคงแย่แน่ๆ แต่ระหว่างที่วิ่งรอบสวนลุมวันสุดท้ายก่อนปิดสวน ผมเกิดแรงบันดาลใจจากผู้คนที่แห่กันมาวิ่งวันสุดท้าย

ผมคิดได้ว่า “ถ้าคนมีความต้องการวิ่งมากขนาดนี้ แต่ไม่มีที่วิ่ง ทำไมเราไม่สร้างแคมเปญให้คนวิ่งที่บ้าน?” ผมวิ่งกลับบ้านพร้อมกับรายละเอียดแคมเปญ “Run at Home Challenge” ที่เกิดขึ้นในหัว

เราเปิดตัวแคมเปญนี้ภายใน 48 ชั่วโมง นำเสนอลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้ที่บ้านได้อย่างสะดวก พร้อมโปรแกรมการแข่งขันออนไลน์ ผลลัพธ์คือยอดขายลู่วิ่งเพิ่มขึ้น 300% ในช่วงล็อกดาวน์

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ โปรแกรม “วิ่ง 30 วัน คิดงานออก” ที่เราใช้เป็นคอนเทนต์การตลาดในปัจจุบัน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่ผมวิ่งฝ่าฝนตอนเช้ามืด ผมคิดว่า “ถ้าผมเองยังวิ่งท่ามกลางฝนตกได้ เพราะรู้ว่ามันมีคุณค่าทั้งกับสุขภาพและความคิดสร้างสรรค์ ทำไมไม่แชร์ประสบการณ์นี้กับคนอื่น?” โปรแกรมนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีและสร้างชุมชนนักวิ่งนักคิดที่แข็งแกร่ง

ทำไมช่วงเวลาวิ่งถึงเป็นจังหวะทองของความคิด?

“คุณเคยสังเกตไหมว่า ความคิดดีๆ มักเกิดขึ้นตอนกำลังอาบน้ำ ตอนขับรถ หรือก่อนนอน? เหตุผลเดียวกันกับตอนวิ่ง – สมองได้พัก จากการคิดแบบมุ่งเป้าและปล่อยให้ความคิดลอยไปเอง”

จากประสบการณ์ตรงและการศึกษางานวิจัยมากมาย ผมพบว่าช่วงวิ่งเป็นจังหวะทองของความคิดเพราะ

  1. สมองอยู่ในสภาวะ Default Mode Network (DMN) – เป็นสภาวะที่สมองปล่อยให้ความคิดล่องลอยอย่างอิสระ ไม่ถูกบังคับให้จดจ่อกับงานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ งานวิจัยพบว่าสภาวะนี้เอื้อต่อการเกิดความคิดสร้างสรรค์
  2. การผ่อนคลายที่กระตือรือร้น (Active Relaxation) – วิ่งทำให้ร่างกายทำงาน แต่สมองผ่อนคลาย เป็นสภาวะที่เหมาะกับการคิดนอกกรอบ
  3. Temporo-spatial Disconnection – การเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องช่วยให้สมองหลุดออกจากการยึดติดกับสถานที่และเวลาปัจจุบัน ทำให้สามารถมองภาพกว้างและคิดไกลไปในอนาคตได้ดีขึ้น

ผมเคยไปวิ่งมาราธอนที่โตเกียว ระหว่างวิ่งที่กิโลเมตรที่ 30 ตอนที่เหนื่อยมาก กลับเกิดความคิดว่า “ธุรกิจก็เหมือนวิ่งมาราธอน – ไม่ใช่แค่วิ่งเร็ว แต่ต้องอดทนในระยะยาว” ซึ่งนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้มุ่งเน้นความยั่งยืนมากกว่าผลกำไรระยะสั้น

 

จะวิ่งยังไงให้คิดงานออกได้จริง?

ควรตั้งคำถามในหัวก่อนเริ่มวิ่ง

“ก่อนออกไปวิ่ง ผมมักตั้งคำถามไว้ในใจ 1-2 ข้อ แล้วปล่อยให้มันอยู่เบื้องหลังความคิด ไม่เร่งคำตอบ คล้ายกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ให้งอกเอง”

จากประสบการณ์ 20 ปีในการใช้การวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ผมแนะนำให้

  1. ตั้งคำถามที่ชัดเจนแต่เปิดกว้าง – เช่น “มีวิธีไหนบ้างที่จะเพิ่มยอดขายในช่วงหน้าฝน?” ดีกว่า “จะขายของยังไงดี?”
  2. ไม่ควรตั้งคำถามมากเกินไป – 1-2 คำถามต่อการวิ่งหนึ่งครั้งเป็นจำนวนที่เหมาะสม
  3. ไม่ต้องคิดตอบตลอดเวลา – แค่ตั้งคำถามไว้แล้วปล่อยให้สมองทำงานในเบื้องหลัง ไม่ต้องเค้นคำตอบ
  4. ใช้คำถามที่เริ่มด้วย “อะไรถ้า…” หรือ “มีวิธีไหนบ้างที่…” – คำถามแบบนี้เปิดโอกาสให้ความคิดสร้างสรรค์ทำงาน

ผมเคยมีปัญหากับลูกค้ารายใหญ่ที่ไม่พอใจกับบริการ ก่อนวิ่งผมตั้งคำถามว่า “มีวิธีไหนบ้างที่จะแก้ไขสถานการณ์และรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว?” ระหว่างวิ่ง ผมไม่ได้พยายามคิดหาคำตอบ แต่ปล่อยใจไปกับวิวและจังหวะการวิ่ง พอวิ่งได้ครึ่งทาง คำตอบก็ผุดขึ้นมาเอง เราควรเสนอโปรแกรมที่ปรึกษาสุขภาพฟรีเพิ่มเติมเพื่อสร้างคุณค่าที่แตกต่าง

เพลงแบบไหนช่วยดึงเราเข้าสู่ “โหมดสร้างสรรค์”?

“เพลงที่มีจังหวะสม่ำเสมอ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ประมาณ 120-140 BPM ช่วยให้สมองทำงานในจังหวะที่เหมาะกับการคิดสร้างสรรค์”

เรื่องเพลงนี่ผมมีทฤษฎีส่วนตัวจากการทดลองกับตัวเองมานาน พบว่า

  1. เพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง – ดนตรีประเภทอิเล็กทรอนิกส์ แจ๊ส หรือคลาสสิกที่ไม่มีเนื้อร้อง ช่วยให้สมองไม่ถูกรบกวนด้วยการประมวลผลภาษา
  2. จังหวะสม่ำเสมอ – เพลงที่มีจังหวะประมาณ 120-140 BPM สอดคล้องกับอัตราการเต้นของหัวใจขณะวิ่งเบาๆ ช่วยให้เข้าสู่สภาวะ Flow
  3. ความคุ้นเคย vs. ความแปลกใหม่ – เพลงที่คุ้นเคยช่วยให้รู้สึกสบายใจ แต่เพลงที่ไม่เคยฟังมาก่อนกระตุ้นการคิดนอกกรอบ ผมจึงมักผสมทั้งสองแบบไว้ในเพลย์ลิสต์

ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยในปี 2022 พบว่า การฟังเพลงที่มีอารมณ์ในแง่บวกระหว่างออกกำลังกายช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ถึง 23% เมื่อเทียบกับการไม่ฟังเพลง

ผมมีเพลย์ลิสต์เฉพาะสำหรับวิ่งเพื่อคิดงาน แยกจากเพลย์ลิสต์สำหรับวิ่งเพื่อทำเวลา เพราะจุดประสงค์ต่างกัน

วิ่งในสวน หรือบนลู่วิ่ง – แบบไหนเหมาะกับการคิดงาน?

“ทั้งสองแบบดีคนละแบบ – วิ่งในสวนให้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติและการเปลี่ยนวิว ส่วนลู่วิ่งให้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้สำหรับความคิดที่ต้องการความต่อเนื่อง”

การวิ่งแต่ละแบบมีข้อดีต่างกันในแง่ของการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

วิ่งในสวนหรือกลางแจ้ง

  • ให้กำลังใจจากธรรมชาติ การได้เห็นต้นไม้ ท้อง

ฟ้า และสัมผัสอากาศบริสุทธิ์

  • กระตุ้นความคิดใหม่ๆ จากการเปลี่ยนวิวและสิ่งแวดล้อม
  • เหมาะกับการคิดไอเดียแบบ breakthrough หรือแก้ปัญหาที่ต้องการมุมมองใหม่

วิ่งบนลู่วิ่ง

  • ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศ เส้นทาง หรือความปลอดภัย จึงมีสมาธิกับความคิดได้มากกว่า
  • สามารถควบคุมความเร็วและความหนักได้แม่นยำ
  • เหมาะกับการคิดเชิงวิเคราะห์ที่ต้องการความต่อเนื่อง หรือการแก้ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน

งานวิจัยในปี 2023 พบว่า การวิ่งกลางแจ้งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์แบบ divergent thinking (การคิดแตกกระจาย) ได้ดีกว่า ในขณะที่การวิ่งบนลู่วิ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าในการกระตุ้น convergent thinking (การคิดรวมศูนย์) ซึ่งเป็นการคิดเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

ผมใช้ทั้งสองแบบสลับกันตามลักษณะงานที่ต้องคิด ถ้าต้องการไอเดียใหม่ๆ จะวิ่งนอกบ้าน แต่ถ้าต้องการคิดแก้ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน จะเลือกวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้าน

 

ใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าให้เกิดไอเดียต้องเลือกยังไง? (รีวิวจากโค้ชหมิง)

โค้ชหมิงเลือกใช้รุ่น A1 / A5 เพราะอะไร?

“ผมเลือกลู่วิ่งโดยดูที่การก้าวอย่างธรรมชาติ และการทำงานเงียบ เพราะจะทำให้สมองไม่ถูกดึงความสนใจ ลู่วิ่งรุ่น A5 มีความนิ่งและเงียบพอที่ผมจะเข้าสู่ Flow State ได้”

สำหรับการใช้ลู่วิ่งในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ผมให้ความสำคัญกับปัจจัยต่อไปนี้

  1. ความเงียบของมอเตอร์ – เสียงดังรบกวนความคิด ลู่วิ่งรุ่น A5 ด้วยมอเตอร์ DC 5.0 แรงม้า ทำงานเงียบกว่ารุ่นอื่นอย่างชัดเจน ทำให้ไม่ดึงความสนใจออกจากความคิด
  2. ความนิ่งและมั่นคง – ลู่วิ่งที่สั่นหรือกระตุกทำให้เสียสมาธิและรบกวนจังหวะการคิด รุ่น A5 มีโครงสร้างแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล
  3. ขนาดพื้นที่วิ่งกว้าง – พื้นที่วิ่งที่กว้างทำให้มั่นใจและไม่ต้องกังวลเรื่องการก้าวผิดพลาด รุ่น A5 มีพื้นที่วิ่งกว้าง 58 x 145 cm ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ
  4. ระบบซับแรงกระแทก – ลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้า ทำให้วิ่งได้นานขึ้นโดยไม่มีความเจ็บปวดมารบกวนความคิด รุ่น A5 มีโช้คสปริงคู่ที่ช่วยลดแรงกระแทกได้ดี

สำหรับผู้เริ่มต้น หรือคนที่มีพื้นที่จำกัด รุ่น A1 ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยคุณสมบัติพับเก็บง่ายและขนาดกะทัดรัด ทำให้เหมาะกับการใช้งานในอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด

ฝนตก แดดแรง ไม่มีข้ออ้าง ถ้ามีลู่วิ่งดีที่บ้าน

“ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญของการใช้การวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ลู่วิ่งที่บ้านช่วยรักษาความสม่ำเสมอนั้นไว้ ไม่ว่าฝนจะตก หรือแดดจะแรงแค่ไหน”

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมแนะนำให้มีลู่วิ่งที่บ้านคือ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนสมองอย่างสม่ำเสมอ ลู่วิ่งที่บ้านช่วยขจัดข้ออ้างเรื่องสภาพอากาศ เวลา หรือความปลอดภัย

นอกจากนี้ ลู่วิ่งที่บ้านยังมีข้อดีในแง่

  • สามารถวิ่งได้ทุกเวลา รวมถึงเวลาที่ความคิดสร้างสรรค์มักจะสูง เช่น ช่วงเช้าตรู่หรือดึก
  • สามารถปรับแต่งสภาพแวดล้อมเพื่อกระตุ้นความคิด เช่น เปิดเพลงที่ชอบ หรือนำกระดานไวท์บอร์ดไว้ใกล้ๆ เพื่อจดความคิดที่เกิดขึ้นทันที
  • วิ่งได้ในชุดอะไรก็ได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องสายตาคนอื่น ทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อความคิดสร้างสรรค์

ผมเองใช้ลู่วิ่งที่บ้านอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะในวันที่มีงานสำคัญหรือจำเป็นต้องคิดไอเดียใหม่ๆ

แอปที่ใช้จดไอเดียทันทีหลังวิ่ง (Notion, Otter, Voice Memo)

“ไอเดียที่เกิดขึ้นระหว่างวิ่งมักหายไปเร็วเหมือนความฝัน ถ้าไม่จดไว้ทันที ผมพกโทรศัพท์ติดตัวเสมอเพื่อบันทึกเสียงหรือพิมพ์โน้ตทันทีที่มีความคิดดีๆ แวบเข้ามา”

เทคนิคการบันทึกความคิดระหว่างหรือหลังวิ่งที่ผมแนะนำ

  1. Voice Memo – แอปที่มีในโทรศัพท์ทุกเครื่อง เหมาะสำหรับบันทึกความคิดระหว่างวิ่ง เพียงกดปุ่มเดียวและพูด
  2. Otter.ai – แอปที่ถอดเสียงเป็นข้อความได้อัตโนมัติ เหมาะสำหรับคนที่ชอบพูดความคิดออกมาแล้วอยากได้เป็นข้อความทันที
  3. Notion – เหมาะสำหรับจัดระเบียบความคิดหลังวิ่งเสร็จ สามารถแบ่งหมวดหมู่ ใส่แท็ก และเชื่อมโยงความคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน
  4. Note ด่วน – บางครั้งผมใช้วิธีง่ายๆ คือพักวิ่งชั่วคราวและจดบนแอป Notes ทันทีที่มีความคิดสำคัญแวบเข้ามา

สิ่งสำคัญคือต้องทำให้การบันทึกความคิดเป็นเรื่องง่าย มีแรงเสียดทานน้อยที่สุด เพราะความคิดสร้างสรรค์มักจะหายไปอย่างรวดเร็วถ้าไม่ได้บันทึกไว้

ผมใช้วิธีพกโทรศัพท์ระหว่างวิ่งด้วยซองรัดแขน และตั้งค่าให้สามารถเข้าถึงแอป Voice Memo ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีไอเดียดีๆ ก็หยุดวิ่งสักครู่เพื่อบันทึกเสียง

 

ถ้าเหนื่อยมาก จะยังคิดงานได้จริงหรือ?

วิ่งเร็วหรือช้าแค่ไหนจึงเหมาะกับการกระตุ้นสมอง?

“ความเร็วที่เหมาะกับการคิดงานคือความเร็วที่คุณยังสามารถพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้โดยไม่หอบ นั่นคือประมาณ 50-70% ของความเร็วสูงสุด”

จากประสบการณ์และงานวิจัยที่ผมได้ศึกษา พบว่าความเข้มข้นในการวิ่งมีผลต่อการทำงานของสมองในแง่ความคิดสร้างสรรค์ ดังนี้

  • การวิ่งเบาถึงปานกลาง (50-70% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด) – เหมาะที่สุดสำหรับความคิดสร้างสรรค์ เพราะร่างกายไม่เครียดเกินไป แต่ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง
  • การวิ่งหนัก (>80% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด) – อาจไม่เหมาะกับการคิดสร้างสรรค์ เพราะสมองมุ่งความสนใจไปที่การจัดการกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย อย่างไรก็ตาม บางคนรายงานว่าได้แรงบันดาลใจหลังการวิ่งหนักเสร็จแล้ว
  • การวิ่งเบามาก (เดินเร็ว) – มีงานวิจัยแสดงว่าแม้แต่การเดินเร็วก็สามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือวันที่ร่างกายต้องการพัก

สำหรับผม การวิ่งที่ความเร็วประมาณ 6-8 กม./ชม. เป็นโซนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการคิดงาน ซึ่งลู่วิ่งสามารถปรับความเร็วให้อยู่ในระดับนี้ได้อย่างแม่นยำ

ถ้าวิ่งแล้วคิดไม่ออก ควรพักหรือปรับจังหวะยังไง?

“ถ้าวิ่งแล้วคิดไม่ออก อย่าเพิ่งท้อ ลองปรับความเร็วลง เปลี่ยนเพลง หรือแม้แต่เปลี่ยนโจทย์ที่คิด บางครั้งสมองแค่ต้องการสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปเล็กน้อย”

เมื่อประสบปัญหาวิ่งแล้วคิดไม่ออก ผมมีเทคนิคที่ใช้ได้ผลดังนี้

  1. ปรับความเร็ว – บางครั้งการวิ่งเร็วเกินไปทำให้สมองโฟกัสที่ร่างกายมากเกินไป หรือช้าเกินไปจนไม่กระตุ้นสมองเพียงพอ การปรับความเร็วอาจช่วยได้
  2. เปลี่ยนโจทย์ชั่วคราว – ถ้าติดกับปัญหาหนึ่ง ลองเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นก่อน แล้วค่อยกลับมา บ่อยครั้งที่คำตอบปรากฏเมื่อเราไม่ได้พยายามคิดมันโดยตรง
  3. ทบทวนคำถามให้ชัดเจนขึ้น – บางครั้งปัญหาอยู่ที่คำถามไม่ชัดเจนพอ ลองปรับคำถามให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
  4. ยอมรับว่าบางวันเป็นแค่วันวิ่งเพื่อสุขภาพ – ไม่ทุกครั้งที่วิ่งแล้วจะต้องได้ไอเดียเจ๋งๆ บางครั้งผลลัพธ์อาจเป็นแค่ร่างกายที่แข็งแรงขึ้นและจิตใจที่สงบขึ้น ซึ่งก็มีคุณค่ามากพอแล้ว
  5. ลองวิ่งแบบช่วง (Interval) – สลับระหว่างวิ่งเร็วและวิ่งช้า ซึ่งอาจกระตุ้นสมองในรูปแบบที่แตกต่างออกไป

งานวิจัยในปี 2021 แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบช่วง (HIIT) อาจกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท BDNF ที่ช่วยในการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง

คนไม่ชอบวิ่ง แต่อยากใช้เทคนิคนี้ ควรเริ่มจากอะไร?

“ถ้าไม่ชอบวิ่ง เริ่มจากการเดินเร็วบนลู่วิ่งที่ความเร็ว 4-5 กม./ชม. แค่ 15-20 นาที คุณจะแปลกใจที่พบว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวเบาๆ ก็ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้”

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบวิ่งแต่อยากใช้การเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ผมมีคำแนะนำดังนี้

  1. เริ่มจากการเดินเร็ว – การเดินเร็วบนลู่วิ่งที่ความเร็ว 4-5 กม./ชม. ให้ประโยชน์คล้ายกับการวิ่งในแง่การกระตุ้นความคิด โดยไม่หนักเท่า
  2. ลองปรับความชันแทนความเร็ว – การเดินบนลู่วิ่งที่ปรับความชันให้สูงขึ้น เช่น 5-10% ช่วยเพิ่มความเข้มข้นโดยไม่ต้องวิ่ง
  3. ใช้กิจกรรมแอโรบิคอื่นๆ – การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิค ก็สามารถให้ผลคล้ายกัน ขอเพียงเป็นกิจกรรมที่มีจังหวะสม่ำเสมอและไม่ต้องใช้ความคิดซับซ้อน
  4. สร้างนิสัยการเคลื่อนไหวขณะคิด – ลองเดินไปมาในห้องขณะประชุมทางโทรศัพท์ หรือยืนทำงานที่โต๊ะยืน ซึ่งดีกว่าการนั่งนิ่งๆ
  5. เริ่มจากเวลาสั้นๆ แล้วค่อยๆ เพิ่ม – เริ่มจาก 10-15 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 20-30 นาที เมื่อรู้สึกสบายขึ้น

ผมมีลูกค้าที่ไม่ชอบวิ่งเลย แต่เธอเริ่มจากการเดินเร็วบนลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น A1 ที่ความเร็ว 5 กม./ชม. วันละ 15 นาทีในตอนเช้า เธอรายงานว่าสัปดาห์แรกยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่พอเข้าสัปดาห์ที่สอง เธอเริ่มสังเกตว่าความคิดในการทำงานลื่นไหลขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังจากเดินเสร็จใหม่ๆ

 

สรุปจากโค้ชหมิง ลองวิ่งก่อนคิด แล้วคุณจะเจอ “ไอเดียที่โต๊ะทำงานให้ไม่ได้”

ข้อดีของการคิดงานขณะวิ่งที่มากกว่าการออกกำลังกาย

“การวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์คือการลงทุนเวลาที่คุ้มค่าที่สุด คุณได้ทั้งสุขภาพกายและความคิดใหม่ๆ ในเวลาเดียวกัน แทนที่จะแยกเวลาสำหรับออกกำลังกายและคิดงาน”

ข้อดีของการใช้การวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ที่มากกว่าแค่ประโยชน์ด้านสุขภาพ

  1. ประหยัดเวลา – ทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งดูแลสุขภาพและพัฒนาความคิด
  2. ลดความรู้สึกผิด – หลายคนรู้สึกผิดเมื่อใช้เวลาออกกำลังกายแทนที่จะทำงาน แต่เมื่อการวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงาน ความรู้สึกผิดนี้จะหายไป
  3. สร้างความสมดุลให้ชีวิต – แทนที่จะแยกชีวิตเป็นส่วนๆ (งาน สุขภาพ ความคิดสร้างสรรค์) การวิ่งเพื่อคิดงานช่วยบูรณาการทุกอย่างเข้าด้วยกัน
  4. ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น – เวลา 30 นาทีของการวิ่งอาจให้ไอเดียที่มีค่ามากกว่าการนั่งคิดที่โต๊ะ 3 ชั่วโมง
  5. ลดความเครียดจากงาน – การวิ่งช่วยให้มองปัญหาในงานด้วยมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้น ไม่เครียดหรือกดดันจนเกินไป

อยากให้ลอง! 7 วัน 7 ไอเดีย ลองวิ่งวันละ 30 นาที แล้วจดไว้

“ลองท้าตัวเองดู – วิ่ง 30 นาทีทุกวันเป็นเวลา 7 วัน แต่ละวันตั้งคำถามหรือโจทย์ไว้ในใจหนึ่งข้อก่อนวิ่ง ผมเชื่อว่าคุณจะได้อย่างน้อย 3-4 ไอเดียที่ใช้ได้จริง”

ผมขอเสนอแผน 7 วันสำหรับผู้ที่อยากทดลองใช้การวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

วันที่ 1 ตั้งคำถามเกี่ยวกับความท้าทายที่กำลังเผชิญในงาน วันที่ 2 คิดถึงโอกาสใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้สำรวจ วันที่ 3 มองหาวิธีพัฒนากระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วันที่ 4 คิดถึงวิธีแก้ปัญหาที่ติดขัดมานาน วันที่ 5 ไตร่ตรองถึงเป้าหมายและวิสัยทัศน์ระยะยาว วันที่ 6 มองหาวิธีสร้างความแตกต่างในสิ่งที่คุณทำ วันที่ 7 สังเคราะห์ความคิดทั้งหมดที่ได้มาในสัปดาห์นี้

วิธีทำโจทย์

  1. ก่อนวิ่ง ตั้งโจทย์ของวันนั้นไว้ในใจ (ประมาณ 1 นาที)
  2. วิ่งหรือเดินเร็วอย่างน้อย 30 นาที โดยไม่พกโทรศัพท์หรืออย่างน้อยปิดการแจ้งเตือน
  3. หลังวิ่งเสร็จ จดบันทึกความคิดที่เกิดขึ้นทันที (ประมาณ 5 นาที)
  4. ปลายสัปดาห์ ทบทวนโน้ตทั้งหมดและดูว่ามีไอเดียไหนที่สามารถนำไปใช้ได้จริง

ผมเชื่อว่าแม้แต่ผู้ที่ไม่เคยใช้การวิ่งเพื่อการคิดมาก่อน ก็จะประหลาดใจกับผลลัพธ์ที่ได้

แชร์ประสบการณ์กับโค้ช #คิดงานระหว่างวิ่ง

“ผมอยากชวนทุกคนแชร์ประสบการณ์การคิดงานระหว่างวิ่ง มาเล่าให้ฟังว่าคุณเจอไอเดียอะไรที่น่าสนใจระหว่างวิ่ง ด้วยแฮชแท็ก #คิดงานระหว่างวิ่ง”

ชุมชนนักวิ่งนักคิดเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก การได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนที่ใช้การวิ่งในการกระตุ้นความคิดเหมือนกัน ช่วยให้เราได้เทคนิคใหม่ๆ และแรงบันดาลใจ

ผมเปิดกลุ่มเฟซบุ๊ก “Run & Think Thailand” เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเทคนิคการวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์โดยเฉพาะ เชิญทุกคนมาแชร์เรื่องราวและไอเดียที่เกิดขึ้นระหว่างวิ่ง

เวลาผมโพสต์ลงโซเชียล ผมมักใช้แฮชแท็ก #คิดงานระหว่างวิ่ง เพื่อให้คนที่สนใจเรื่องนี้ค้นเจอได้ง่าย เมื่อชุมชนเติบโตขึ้น เราจะมีองค์ความรู้มากมายเกี่ยวกับวิธีการใช้การวิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งกับร่างกายและความคิด

 

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิ่งเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

1. วิ่งนานเท่าไหร่จึงจะเริ่มรู้สึกว่าสมองทำงานได้ดีขึ้น?

โดยทั่วไป การวิ่งประมาณ 10-15 นาทีเริ่มส่งผลดีต่อสมอง แต่ช่วงที่ให้ผลดีที่สุดสำหรับความคิดสร้างสรรค์มักอยู่ที่ราว 20-40 นาทีหลังจากเริ่มวิ่ง ตอนนี้ร่างกายอบอุ่นแล้ว การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และสารเอ็นดอร์ฟินเริ่มหลั่ง เราไม่จำเป็นต้องวิ่งนานเกิน 45-60 นาทีเพื่อประโยชน์ด้านความคิด บางคนพบว่าการวิ่งนานเกินไปกลับทำให้สมองเหนื่อยล้าและคิดได้ไม่ดีเท่าที่ควร

2. จะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างวิ่งเป็นความคิดที่ดีจริง ไม่ใช่แค่รู้สึกดีเพราะสารเอ็นดอร์ฟิน?

ความคิดที่ดีจริงจะยังคงอยู่และมีเหตุผลแม้หลังจากหยุดวิ่งแล้ว ผมแนะนำให้บันทึกความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างวิ่ง แล้วกลับมาทบทวนหลังจากพักผ่อนแล้ว 1-2 ชั่วโมง หรือในวันถัดไป ถ้ามันยังคงฟังดูดีและมีเหตุผล นั่นมักเป็นสัญญาณว่ามันเป็นความคิดที่มีคุณค่าจริง ไม่ใช่แค่ผลจากฮอร์โมนแห่งความสุข

3. มีช่วงเวลาไหนในวันที่เหมาะกับการวิ่งเพื่อคิดงานมากที่สุด?

ตามงานวิจัย ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับความคิดสร้างสรรค์ เพราะสมองยังสดใหม่ และระดับคอร์ติซอลธรรมชาติที่สูงขึ้นในตอนเช้าจะเสริมด้วยการวิ่ง ช่วยกระตุ้นสมองได้ดี แต่หากคุณเป็นคนกลางคืน การวิ่งช่วงเย็นหลังเลิกงานก็มีประโยชน์ในการช่วยผ่อนคลายความเครียดจากวันทำงาน ทำให้มองปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

4. จะเริ่มใช้การวิ่งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์อย่างไรถ้าไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย?

เริ่มจากการเดินเร็วสลับวิ่งเบาๆ ช่วงละ 1-2 นาที ทำทั้งหมด 20-30 นาที เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นเคย ค่อยๆ เพิ่มช่วงเวลาวิ่งและลดช่วงเวลาเดิน จุดสำคัญคือการทำกิจกรรมที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจโดยไม่หนักเกินไปจนไม่สามารถคิดอะไรได้ ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะควบคุมความเร็วและหยุดพักได้ง่าย

5. การวิ่งช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้ในทุกประเภทงานหรือไม่?

การวิ่งมีประโยชน์มากที่สุดกับงานที่ต้องการความคิดนอกกรอบ การแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ หรือการมองภาพรวม แต่อาจไม่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลละเอียด หรืองานที่ต้องคำนวณซับซ้อน งานวิจัยพบว่าการวิ่งกระตุ้น divergent thinking (การคิดแตกกระจาย) ได้ดีกว่า convergent thinking (การคิดรวมศูนย์)

6. มีอาหารหรือเครื่องดื่มที่ควรทานก่อนวิ่งเพื่อช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้นหรือไม่?

อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและโปรตีนในปริมาณพอเหมาะจะช่วยให้มีพลังงานสม่ำเสมอระหว่างวิ่ง เช่น กล้วย+นมถั่วเหลือง หรือขนมปังโฮลเกรน+อะโวคาโด หลีกเลี่ยงน้ำตาลปริมาณมากที่อาจทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นลงรวดเร็ว กาแฟในปริมาณพอเหมาะ (1-2 แก้ว) ก่อนวิ่งช่วยกระตุ้นสมองได้ดี งานวิจัยพบว่าคาเฟอีนเสริมประสิทธิภาพของการออกกำลังกายในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

7. จะจัดการกับความคิดที่วิ่งพล่านในหัวระหว่างวิ่งอย่างไร ให้จับประเด็นสำคัญได้?

เทคนิคที่ผมใช้คือการกำหนดโฟกัส 1-2 ประเด็นก่อนเริ่มวิ่ง แล้วปล่อยให้ความคิดวิ่งไปเอง เมื่อมีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมา ลองทวนซ้ำในใจ 2-3 รอบ หรือสร้างภาพจำลองเพื่อเชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังเห็นระหว่างวิ่ง เทคนิคการจำแบบ “memory palace” ช่วยได้มาก ถ้ามีความคิดมากมายจนจับประเด็นไม่ได้ ให้หยุดพักและบันทึกเสียงสั้นๆ ก่อนวิ่งต่อ

8. การวิ่งบนลู่วิ่งกับการวิ่งกลางแจ้ง อะไรดีกว่ากันสำหรับการคิดงาน?

ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกัน การวิ่งกลางแจ้งให้การกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ซึ่งอาจนำไปสู่ความคิดใหม่ๆ ที่ไม่คาดคิด และได้รับประโยชน์จากการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่การวิ่งบนลู่วิ่งให้สภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ไม่มีสิ่งรบกวน และเหมาะกับการคิดอย่างมีโฟกัส งานวิจัยพบว่าการวิ่งกลางแจ้งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์แบบแตกกระจาย (divergent) ได้ดีกว่า ในขณะที่ลู่วิ่งอาจเหมาะกับการคิดเชิงวิเคราะห์มากกว่า

9. การฟังพอดแคสต์หรือหนังสือเสียงระหว่างวิ่งจะรบกวนความคิดสร้างสรรค์หรือไม่?

ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ ถ้าคุณต้องการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์อย่างอิสระ การฟังเพลงหรือเสียงธรรมชาติจะดีกว่า แต่ถ้าต้องการไอเดียใหม่จากการเรียนรู้ พอดแคสต์หรือหนังสือเสียงอาจช่วยได้ งานวิจัยพบว่าสมองสามารถทำงานสร้างสรรค์ในเบื้องหลังแม้ขณะรับข้อมูลเข้ามาใหม่ แต่ประสิทธิภาพอาจลดลง ผมแนะนำให้แบ่งการวิ่งเป็นช่วง – ช่วงแรกฟังเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจ ส่วนช่วงหลังวิ่งในความเงียบเพื่อให้สมองประมวลผลสิ่งที่ได้ฟังมา

10. วิธีแก้ปัญหาเมื่อความคิดดีๆ มาตอนวิ่งกลางแจ้ง แต่ไม่สามารถจดบันทึกได้ทันที?

เทคนิคที่ใช้ได้ผลคือการสร้างการเชื่อมโยงความคิดกับสิ่งที่มองเห็นระหว่างวิ่ง (ต้นไม้ ป้าย สิ่งก่อสร้าง) เพื่อช่วยจำ หรือใช้เทคนิคทางความจำเช่น “เทคนิคการจำเลข” เช่น ถ้ามีไอเดีย 3 ข้อ ให้เชื่อมโยงแต่ละข้อกับรูปร่างของตัวเลข อีกวิธีคือการท่องซ้ำคำสำคัญเป็นจังหวะตามการวิ่ง หากมีความคิดสำคัญมาก ให้หยุดวิ่งชั่วคราวและใช้แอพบันทึกเสียงในโทรศัพท์ ซึ่งทำได้รวดเร็วกว่าการพิมพ์

 

สรุป ถึงเวลาปลดล็อคความคิดด้วยการวิ่ง

การวิ่งไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังในการปลดล็อคศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา งานวิจัยสนับสนุนอย่างชัดเจนว่าการวิ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด เพิ่มการผลิตสารสื่อประสาทเพื่อการเรียนรู้และความจำ และช่วยให้สมองเข้าสู่สภาวะที่พร้อมสำหรับการคิดสร้างสรรค์

จากประสบการณ์ 20 ปีในฐานะนักวิ่งและนักธุรกิจ ผมพบว่าไอเดียที่ดีที่สุดของผมเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างการวิ่ง ไม่ใช่ตอนนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรืออยู่ในห้องประชุม

ลองคิดดู หากคุณวิ่งแค่ 30 นาทีต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์ จะเกิดอะไรขึ้นกับความคิดและผลงานของคุณในระยะยาว นี่ไม่ใช่แค่การลงทุนในสุขภาพ แต่เป็นการลงทุนในศักยภาพการคิดและสร้างสรรค์ของคุณเอง

อย่ารอให้ไอเดียหรือแรงบันดาลใจมาหาคุณที่โต๊ะทำงาน ออกไปวิ่ง และปล่อยให้ความคิดวิ่งไปพร้อมกับคุณ แล้วคุณจะพบว่า ระหว่างก้าวขาไปข้างหน้านั้นเอง ที่ความคิดของคุณก้าวไปได้ไกลที่สุด

ในโลกที่ความคิดสร้างสรรค์มีค่ามากกว่าที่เคย การวิ่งอาจเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่คุณกำลังมองหา เริ่มต้นวันนี้ โดยการสวมรองเท้าวิ่ง และปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ