วิธีแก้อาการจุกท้องขณะวิ่ง พร้อมสาเหตุและการป้องกัน

วิธีแก้อาการจุกท้องขณะวิ่ง พร้อมสาเหตุและการป้องกัน

หากคุณเคยวิ่งออกกำลังกายแล้วเจอปัญหา วิ่งแล้วจุกท้อง วิ่งแล้วเจ็บท้อง หรือ วิ่งแล้วปวดท้องน้อย คุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่เจอปัญหานี้แน่นอน ตามการศึกษาจาก Journal of Sports Science (2023) พบว่าเกือบ 70% ของนักวิ่งมือใหม่มักประสบปัญหาอาการจุกท้องในช่วง 3 เดือนแรกของการเริ่มวิ่ง แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีวิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง พร้อมคำอธิบายที่จะทำให้คุณเข้าใจสาเหตุและวิธีป้องกันอย่างครบถ้วน

สารบัญ

5 วิธีแก้ไขอาการจุกท้องระหว่างวิ่งแบบทันที

วิ่งแล้วจุก ทำไงดี? เมื่อเกิดอาการขึ้นมาระหว่างวิ่ง สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือไม่ตื่นตระหนก เพราะอาการนี้เป็นเรื่องปกติที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในนักวิ่งมือใหม่ จากการศึกษาในวารสาร Sports Medicine Research (2024) พบว่าการปรับเปลี่ยนการหายใจและท่าทางการวิ่งสามารถบรรเทาอาการจุกได้ถึง 85% ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที

1. ปรับการหายใจให้ถูกจังหวะ เมื่อเกิดอาการจุกท้องขณะวิ่ง

สิ่งแรกที่ควรทำคือปรับการหายใจให้ช้าลงและลึกขึ้น หายใจเข้าทางจมูกให้ลึกจนรู้สึกว่าท้องป่อง แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อกะบังลมคลายตัวและลดอาการจุกได้

2. แก้ไขท่าทางการวิ่ง การปรับท่าวิ่งเป็นสิ่งสำคัญ วิ่งยังไงไม่ให้จุก

คำตอบคือต้องวิ่งในท่าที่ถูกต้อง ยืดตัวตรง ไม่ก้มหน้าหรืองอหลัง เพราะการก้มตัวจะทำให้อวัยวะภายในถูกบีบ ส่งผลให้เกิดอาการจุกท้องด้านซ้ายหรือจุกท้องด้านขวาได้

3. ลดความเร็วชั่วคราว

เมื่อเริ่มรู้สึกจุก ให้ลดความเร็วลงประมาณ 20-30% จากความเร็วปกติ แต่ไม่ต้องหยุดวิ่งทันที การลดความเร็วจะช่วยให้ร่างกายปรับตัวและจัดการกับอาการจุกได้ดีขึ้น โดยควรรักษาความเร็วระดับนี้ไว้ประมาณ 2-3 นาทีหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

4. นวดเบาๆ บริเวณที่จุก

ใช้นิ้วกดนวดเบาๆ บริเวณที่มีอาการจุก โดยนวดเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้น แต่ต้องระวังไม่นวดแรงเกินไปเพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้

5. ยืดกล้ามเนื้อส่วนบน

ขณะที่ยังวิ่งอยู่ ให้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะสลับกับปล่อยลง 2-3 ครั้ง การยืดส่วนบนของร่างกายจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในช่องท้องและลดแรงกดที่อาจก่อให้เกิดอาการจุกได้

วิธีเหล่านี้สามารถใช้แก้ไขอาการจุกท้องขณะวิ่งได้ทันที แต่ที่สำคัญคือการป้องกันไม่ให้เกิดอาการในครั้งต่อไป โดยควรระวังเรื่องอาหารก่อนวิ่ง และฝึกฝนการหายใจที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ

สาเหตุของอาการจุกท้องขณะวิ่ง

ก่อนจะเรียนรู้วิธีป้องกันอาการ วิ่งแล้วจุก อย่างมีประสิทธิภาพ เราควรทำความเข้าใจสาเหตุของการเกิดอาการนี้ก่อน ตามการศึกษาจาก Clinical Journal of Sport Medicine (2024) พบว่าอาการจุกท้องระหว่างวิ่งเกิดจากการที่กะบังลมถูกกดทับในระหว่างที่ร่างกายเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการ จุกเสียด และ เจ็บท้อง ได้

สาเหตุทางกายภาพ

วิ่งแล้วเจ็บท้อง มักเกิดจากการหายใจที่ไม่ถูกจังหวะ โดยเฉพาะในนักวิ่งมือใหม่ที่ยังไม่สามารถควบคุมการหายใจให้สอดคล้องกับจังหวะการวิ่งได้ดีพอ นอกจากนี้ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวก็มีส่วนสำคัญ หากกล้ามเนื้อส่วนนี้ไม่แข็งแรงพอ จะทำให้เกิด อาการจุกท้องขณะวิ่ง ได้ง่าย

การ วอร์มอัพไม่เพียงพอ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการ จุกท้องด้านขวา หรือ จุกท้องด้านซ้าย เพราะกล้ามเนื้อยังไม่พร้อมสำหรับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องและกะบังลม

สาเหตุจากพฤติกรรม

การรับประทานอาหารก่อนวิ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการ จุกเสียดท้อง เมื่อร่างกายต้องทำงานในการย่อยอาหารพร้อมๆ กับการวิ่ง จะทำให้เลือดที่ควรไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต้องแบ่งไปที่ระบบย่อยอาหารด้วย ส่งผลให้เกิดอาการ เสียดท้อง และ จุกเสียด ได้

นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากเกินไปก่อนวิ่งก็อาจทำให้เกิดอาการ จุกท้อง ได้เช่นกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเครื่องดื่มที่มีฟองก๊าซ ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดแรงดันในกระเพาะอาหารมากขึ้น

การวิ่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การก้มหน้ามากเกินไป หรือการงอหลังขณะวิ่ง จะทำให้อวัยวะภายในถูกกดทับ และส่งผลให้เกิด อาการจุกท้อง ได้ง่าย โดยเฉพาะในนักวิ่งที่เพิ่งเริ่มฝึกใหม่และยังไม่คุ้นเคยกับท่าทางการวิ่งที่ถูกต้อง

วิธีป้องกันอาการจุกท้องก่อนวิ่ง

สำหรับคนที่มักเจอปัญหา วิ่งแล้วจุกท้อง อยู่บ่อยๆ การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการแก้ไขเมื่อเกิดอาการ ตามการศึกษาของ Running Science Quarterly (2024) พบว่าการเตรียมร่างกายที่ดีก่อนวิ่งสามารถลดโอกาสเกิดอาการจุกท้องได้มากถึง 90%

การเตรียมตัวก่อนวิ่งอย่างถูกวิธี

เรื่องสำคัญที่สุดคือการจัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม หากคุณเคยมีอาการ วิ่งแล้วเจ็บท้อง หรือ จุกเสียดท้อง ลองสังเกตว่าคุณรับประทานอาหารก่อนวิ่งห่างกันกี่ชั่วโมง สำหรับมื้อหนัก ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนวิ่ง แต่ถ้าเป็นอาหารเบาๆ เช่น กล้วยหนึ่งผล หรือขนมปังโฮลวีทแผ่นเดียว สามารถรับประทานได้ก่อนวิ่ง 1-2 ชั่วโมง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนวิ่งคือ อาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด หรืออาหารที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดอาการ จุกท้องด้านขวา หรือ จุกท้องด้านซ้าย ได้ง่าย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและน้ำอัดลม เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะและแก๊สได้

การดื่มน้ำก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน แต่ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมากในครั้งเดียวก่อนวิ่ง ให้จิบน้ำทีละน้อยแต่บ่อยครั้งจะดีกว่า โดยเฉพาะในช่วง 30 นาทีก่อนวิ่ง ควรดื่มน้ำประมาณ 200-300 มิลลิลิตร เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำแต่ก็ไม่มากจนเกิดอาการ จุกเสียด

การวอร์มอัพที่ถูกต้อง

การวอร์มอัพที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน อาการจุกท้องขณะวิ่ง ควรเริ่มจากการเดินเร็วประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็นวิ่งเหยาะๆ อีก 5 นาที ระหว่างนี้ให้เน้นการหายใจที่สม่ำเสมอและลึก เพื่อให้กล้ามเนื้อกะบังลมได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ท่าบริหารกล้ามเนื้อแกนกลางก่อนวิ่งก็มีความสำคัญ เริ่มจากการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องเบาๆ การบิดลำตัว และการยืดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อแกนกลางพร้อมทำงาน ลดโอกาสเกิดอาการ เสียดท้อง หรือ จุกเสียดท้อง ระหว่างวิ่ง

นอกจากนี้ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อขาและสะโพกก็สำคัญ เพราะกล้ามเนื้อเหล่านี้เชื่อมโยงกับการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลาง การยืดเหยียดที่ดีจะช่วยให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่น ลดแรงกระแทกที่อาจส่งผลต่ออาการจุกท้องได้

โปรแกรมเสริมสร้างความแข็งแรงป้องกันอาการจุก

หลายคนอาจไม่รู้ว่าการที่เรามีอาการ วิ่งแล้วปวดท้อง หรือ วิ่งแล้วจุกท้อง บ่อยๆ นั้น สาเหตุหลักอาจมาจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางที่ไม่เพียงพอ ซึ่งการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนนี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการจุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การฝึกการหายใจที่ถูกต้อง

การหายใจที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกัน อาการจุกท้องขณะวิ่ง เราสามารถฝึกการหายใจแบบกะบังลมได้ทุกวัน โดยเริ่มจากการนอนหงายบนพื้น วางมือบนหน้าท้อง หายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องพองขึ้น แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกให้ท้องแฟบลง ทำเช่นนี้วันละ 5-10 นาที

วิธีหายใจขณะวิ่ง ที่ถูกต้องนั้น ให้นับจังหวะการวิ่งและการหายใจให้สัมพันธ์กัน ลองหายใจเข้าช้าๆ นับ 1-2-3 แล้วหายใจออกนับ 1-2-3 เช่นกัน การฝึกแบบนี้จะช่วยให้คุณหายใจได้เป็นจังหวะและลดโอกาสเกิดอาการ จุกเสียด ได้

ท่าออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง

การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางจะช่วยป้องกัน วิ่งแล้วเจ็บท้อง ได้ดี เริ่มจากท่าแพลงก์ ซึ่งเป็นท่าที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง และสะโพกไปพร้อมกัน ควรเริ่มจากการทำ 20-30 วินาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นตามความแข็งแรงที่มากขึ้น

การทำ ซิทอัพแล้วเจ็บหน้าท้อง ในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้นและช่วยรองรับแรงกระแทกขณะวิ่งได้ดีขึ้น ควรทำท่าบริหารหน้าท้องหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงานครบทุกมุม

นอกจากนี้ การ เกร็งหน้าท้อง ในชีวิตประจำวันก็สำคัญ ลองฝึกเกร็งหน้าท้องเบาๆ ขณะทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ขณะนั่งทำงาน หรือยืนรอลิฟต์ วิธีนี้จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้โดยไม่ต้องเสียเวลาพิเศษ

เมื่อกล้ามเนื้อแกนกลางแข็งแรงขึ้น คุณจะสามารถ วิ่งยังไงให้ได้นานๆ โดยไม่ต้องกังวลกับอาการจุกท้อง แถมยังช่วยให้ท่าทางการวิ่งดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บอื่นๆ อีกด้วย

สิ่งที่ต้องทำเมื่อเริ่มกลับมาวิ่งหลังจากมีอาการจุกท้อง

หลายคนมักสงสัยว่า ออกกำลังกายแล้วปวด ควรออกต่อไหม โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการจุกท้องระหว่างวิ่ง คำตอบคือ หากอาการไม่รุนแรง คุณสามารถกลับมาวิ่งได้ แต่ควรค่อยๆ เริ่มต้นอย่างระมัดระวัง

การกลับมาวิ่งหลังจากมีอาการจุก ควรเริ่มด้วย วิ่งสลับเดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้ปรับตัวและทำให้เราสามารถควบคุมการหายใจได้ดีขึ้น เริ่มจากการวิ่งช้าๆ 1-2 นาที สลับกับการเดินเร็ว 1 นาที ทำแบบนี้สัก 15-20 นาที

วิธีหายใจตอนวิ่ง ในช่วงแรกของการกลับมาวิ่ง ให้เน้นการหายใจแบบช้าและลึก อย่าพยายามวิ่งเร็วหรือไกลเกินไป เพราะอาจทำให้การหายใจผิดจังหวะและเกิดอาการจุกซ้ำได้ หากมีอาการจุกท้องตรงท้องน้อย ให้หยุดพักทันที และปรับการหายใจให้เข้าที่ก่อนจะเริ่มวิ่งใหม่

การปรับความเร็วและระยะทาง

วิธีวิ่งไม่ให้เหนื่อย และไม่เกิดอาการจุกซ้ำ คือการค่อยๆ เพิ่มความเร็วและระยะทาง ในสัปดาห์แรกของการกลับมาวิ่ง ควรลดระยะทางลงประมาณ 50% จากที่เคยวิ่งได้ และวิ่งด้วยความเร็วที่สามารถพูดคุยได้สบายๆ

สำหรับคนที่สงสัยว่า กินข้าวเสร็จ ออกกำลังกายได้ไหม หลังจากเคยมีอาการจุก ควรรอให้ย่อยอาหารเรียบร้อยก่อน โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังมื้อหนัก หรือ 1-2 ชั่วโมงสำหรับมื้อเบา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการ จุกเสียดท้อง ซ้ำ

การดูแลร่างกายหลังวิ่ง

หลังวิ่งควรกินอะไร เป็นคำถามที่พบบ่อย โดยเฉพาะหลังจากเคยมีอาการจุกท้อง ควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม เช่น กล้วย นม หรือแซนด์วิชไข่ และที่สำคัญคือการดื่มน้ำเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำระหว่างวิ่ง

การ บิดตัวแล้วมีเสียงลม หลังวิ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะร่างกายกำลังปรับสมดุล แต่หากรู้สึกไม่สบายท้องมาก ควรพักการวิ่งสัก 1-2 วัน และกลับมาเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เคล็ดลับพิเศษสำหรับการป้องกันอาการจุกท้อง

วิ่งยังไงให้เร็ว และไม่จุกท้อง เป็นเรื่องที่หลายคนอยากรู้ ความจริงแล้วมีเทคนิคมากมายที่จะช่วยให้คุณวิ่งได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการจุก โดยเฉพาะเรื่องจังหวะการหายใจที่ถูกต้อง เมื่อ ออกกำลังกายจนเหนื่อยเราจะหายใจเร็วขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้นเพื่อส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่กำลังทำงานหนัก

เทคนิคการจัดการอาหารและเครื่องดื่ม

เรื่องสำคัญที่สุดคือ กินอะไรให้วิ่งได้นาน โดยไม่จุก ควรเลือกอาหารที่ย่อยง่ายและให้พลังงานดี เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผลไม้ หรือโยเกิร์ต แต่ต้องระวังปริมาณและเวลาในการรับประทาน หากคุณรู้สึก แน่นท้อง จุกท้อง หลังกินอาหาร ให้เว้นระยะเวลาก่อนวิ่งให้มากขึ้น

การพัฒนาความแข็งแรงของร่างกาย

ปวดท้อง เสียดท้อง มักเกิดจากกล้ามเนื้อแกนกลางที่ไม่แข็งแรงพอ การทำ ปั่นจักรยานกับวิ่ง สลับกันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้หลายส่วน โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง ออกกำลังกายแล้วปวดตัว มากเกินไป

ที่สำคัญ หากคุณเริ่มมีอาการ รู้สึกมีอะไรเคลื่อนไหวในท้อง หรือ หน้าท้องตึงเกิดจากอะไร ระหว่างวิ่ง อย่าเพิ่งตกใจ ให้ค่อยๆ ปรับจังหวะการหายใจและลดความเร็วลง จนกว่าอาการจะดีขึ้น

เทคนิคการสร้างความคุ้นเคยให้ร่างกาย

หลายคนสงสัยว่า วิ่งช่วยลดพุงไหม คำตอบคือได้ แต่ต้องวิ่งอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ การฝึกวิ่งอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายปรับตัวและแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดอาการ ปวดท้องจุกเสียดเกิดจากอะไร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าคุณมีอาการ เจ็บพุงแบบจุกๆ ในช่วงแรกของการวิ่ง ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ควรค่อยๆ ปรับและพัฒนาการวิ่งของคุณ โดยเริ่มจากระยะสั้นๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวและแข็งแรงขึ้นเอง


ปัญหาที่มักพบเมื่อเริ่มต้นวิ่ง: จากจุกท้องสู่การแก้ไขที่ถูกต้อง

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มวิ่ง นอกจากอาการ จุกท้อง แล้ว ยังอาจพบปัญหาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น วิ่งแล้วหายใจไม่ทัน หรือ วิ่งแล้วปวดขา ควรวิ่งต่อไหม เรามาทำความเข้าใจและเรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้กัน

การจัดการกับปัญหาที่พบบ่อย

เมื่อคุณรู้สึก วิ่งแล้วเจ็บหน้าอก หรือ วิ่งแล้วเจ็บหัวใจ ควรหยุดพักทันที และสังเกตอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ แต่ถ้าเป็นเพียงอาการเหนื่อยปกติ อาจเกิดจากการที่ร่างกายยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกาย

วิธีแก้ปวดขาจากการวิ่ง ที่ได้ผลดีคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังวิ่ง และการนวดเบาๆ บริเวณที่ปวด ถ้ามีอาการ ขาปั้น เกิดจาก การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป ควรพักให้เพียงพอและค่อยๆ เพิ่มระยะทางการวิ่ง

การปรับตัวสู่การวิ่งระยะยาว

หากคุณตั้งเป้าหมายจะ วิ่งยังไงให้ได้นานๆ สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นฐานที่ดี เริ่มจากการ วิ่งสลับเดิน เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการวิ่งให้มากขึ้น

การ เกร็งหน้าท้องตลอดเวลา ขณะวิ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้กล้ามเนื้อทำงานตามธรรมชาติ แต่ยังคงรักษาท่าทางการวิ่งที่ถูกต้อง หลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย และหายใจเป็นจังหวะ

การวิ่งในสภาพอากาศต่างๆ

เมื่อ หายใจเข้าแล้วเจ็บท้อง ขณะวิ่งในอากาศเย็น ให้สวมเสื้อผ้าที่อุ่นพอดี และอบอุ่นร่างกายให้ดีก่อนวิ่ง การวิ่งในอากาศร้อนก็ต้องระวังเช่นกัน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและเลือกช่วงเวลาที่อากาศไม่ร้อนจัด

สำหรับผู้ที่มีอาการ ปวดท้องตอนเช้า ทุกวัน ควรปรับเวลาวิ่งให้เหมาะสม อาจเลือกวิ่งในช่วงเย็นแทน หรือรอให้ร่างกายตื่นตัวเต็มที่ก่อนออกวิ่งในตอนเช้า


การดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการจุกท้องรุนแรง

บางครั้งอาการ จุกท้องเกิดจากอะไร อาจรุนแรงจนทำให้เราต้องหยุดวิ่งกะทันหัน ในกรณีนี้เราควรรู้จักวิธีจัดการกับสถานการณ์อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อเกิด อาการเสียดท้องเกิดจากอะไร ที่รุนแรงกว่าปกติ

วิธีบรรเทาอาการแบบเร่งด่วน

เมื่อเกิด อาการเสียดท้อง อย่างรุนแรง สิ่งแรกที่ควรทำคือหยุดวิ่งทันที และเริ่มการหายใจแบบลึกๆ ช้าๆ หากมี ตะคริวที่ท้อง แก้ยังไง ให้ค่อยๆ นวดบริเวณที่มีอาการเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ

วิธีแก้อาการจุกไข่ หรือจุกบริเวณท้องอื่นๆ คือการยืนตรง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แล้วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยๆ ก้มตัวลงพร้อมกับหายใจออก ทำซ้ำ 2-3 ครั้งหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

การสังเกตอาการผิดปกติ

หากคุณมีอาการ ปวดท้องจุกเสียดเกิดจากอะไร ที่ไม่ใช่แค่อาการปกติระหว่างวิ่ง โดยเฉพาะถ้ามี รู้สึกมีอะไรเคลื่อนไหวในท้อง ผิดปกติ หรือ ปวดท้อง เสียดท้อง รุนแรง ควรหยุดวิ่งและพิจารณาไปพบแพทย์

การกลับมาวิ่งหลังหายจากอาการรุนแรง

เมื่อ ออกกำลังกายแล้วปวดตัว ควรออกต่อไหม คำตอบคือควรพักให้ร่างกายฟื้นตัวก่อน แล้วค่อยๆ กลับมาวิ่งใหม่ โดยเริ่มจากการเดินเร็วก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็น วิ่งออกกำลังกาย เบาๆ

ระหว่างการฟื้นตัว อาจทดลอง การวิ่งออกกำลังกาย แบบเบาๆ ถ้ารู้สึกว่ามีอาการ ตึงหน้าท้อง หรือไม่สบายตัว ให้หยุดและกลับไปเดินแทน การฟังสัญญาณร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

การเตรียมตัวกลับมาวิ่งหลังการพักฟื้น

ในการกลับมาวิ่งหลังจากมีอาการจุกรุนแรง การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดอาการซ้ำ เริ่มจากการ เกร็งหน้าท้อง แล้วเจ็บ เบาๆ เพื่อทดสอบความพร้อมของกล้ามเนื้อ ถ้าไม่มีอาการเจ็บปวด จึงค่อยเริ่มการวิ่งเบาๆ

10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการจุกท้องขณะวิ่ง

Q : วิ่งแล้วจุกท้อง เกิดจากอะไร?

A : อาการจุกท้องขณะวิ่งมักเกิดจากการหายใจไม่ถูกจังหวะ การกินอาหารก่อนวิ่งเร็วเกินไป หรือการวอร์มอัพไม่เพียงพอ เมื่อวิ่ง ความดันในท้องจะเพิ่มขึ้นและดันกะบังลม ทำให้เกิดอาการจุก

Q : กินข้าวเสร็จ ออกกำลังกายได้ไหม?

A : ควรรอ 2-3 ชั่วโมงหลังมื้อหนัก และ 1-2 ชั่วโมงหลังมื้อเบาก่อนออกวิ่ง เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานเสร็จสิ้น และป้องกันอาการจุกเสียดท้อง

Q : วิ่งยังไงไม่ให้จุก?

A : วิ่งในท่าที่ถูกต้อง หลังตรง หายใจเป็นจังหวะ วอร์มอัพก่อนวิ่ง และหลีกเลี่ยงการกินอาหารหนักก่อนวิ่ง จะช่วยป้องกันอาการจุกได้

Q : วิ่งแล้วจุก ควรหยุดวิ่งไหม?

A : หากอาการไม่รุนแรง ให้ลดความเร็วลงและปรับการหายใจ แต่ถ้าอาการรุนแรง ควรหยุดพักและค่อยๆ เดินช้าๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น

Q : วิธีหายใจตอนวิ่งที่ถูกต้องทำอย่างไร?

A : หายใจเข้าทางจมูกลึกๆ และหายใจออกทางปาก โดยทำเป็นจังหวะสัมพันธ์กับการก้าวเท้า เช่น หายใจเข้า 2 ก้าว หายใจออก 2 ก้าว

Q : วิ่งแล้วจุกท้องด้านขวา อันตรายไหม?

A : โดยทั่วไปไม่อันตราย มักเกิดจากการทำงานของกะบังลมที่ถูกกดทับ แต่หากอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย ควรปรึกษาแพทย์

Q : ทำไมวิ่งแล้วเจ็บท้องด้านซ้าย?

A : มักเกิดจากการที่กระเพาะอาหารถูกกดทับขณะวิ่ง โดยเฉพาะหากมีอาหารในกระเพาะ หรือการหายใจไม่ถูกจังหวะ

Q : วิ่งแล้วเจ็บหน้าอก เป็นเพราะอะไร?

A : อาจเกิดจากการหายใจไม่เพียงพอ หรือการทำงานหนักเกินไปของหัวใจ หากมีอาการรุนแรงหรือเป็นบ่อย ควรปรึกษาแพทย์ทันที

Q : วิธีเตรียมตัวก่อนวิ่งที่ถูกต้องทำอย่างไร?

A : วอร์มอัพอย่างน้อย 5-10 นาที เลือกเวลาอาหารที่เหมาะสม ดื่มน้ำพอประมาณ และสวมใส่ชุดที่สบาย ไม่รัดแน่นเกินไป

Q : จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องหยุดวิ่งเมื่อมีอาการจุก?

A : หากมีอาการปวดรุนแรง หายใจลำบาก หรือจุกท้องมากจนทนไม่ไหว ควรหยุดวิ่งทันที และรอให้อาการดีขึ้นก่อนเริ่มวิ่งใหม่

บทสรุป

การวิ่งแล้วจุกท้องเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและแก้ไขได้ด้วยการเตรียมตัวที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการปรับวิธีหายใจตอนวิ่ง การเลือกเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานอาหาร และการวอร์มอัพอย่างถูกต้อง หากคุณมีอาการจุกเสียดท้องหรือวิ่งแล้วเจ็บท้อง อย่าลืมฟังสัญญาณร่างกายและปรับการวิ่งให้เหมาะสม การวิ่งออกกำลังกายอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณวิ่งยังไงให้ได้นานๆ และมีความสุขกับการวิ่งมากขึ้น

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *