ลู่วิ่งไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้าน

Table of Contents

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับใช้งานที่บ้าน

“ลู่วิ่งที่เหมาะสำหรับใช้ในบ้านต้องมีสามองค์ประกอบหลัก ขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่, มอเตอร์ที่เงียบแต่แรงพอ และความทนทานในระยะยาว”

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักวิ่งและคนรักสุขภาพทุกคน ผมหมิงเองครับ วันนี้ผมจะมาแชร์เรื่องลู่วิ่งในบ้านกันหน่อย หลังจากที่ผมได้ขายลู่วิ่งมาแล้วกว่าพันเครื่อง ผมเจอลูกค้าหลากหลายแบบมาก บางคนมีพื้นที่เล็ก บางคนมีปัญหาข้อเข่า บางคนอยากวิ่งตอนดึกๆ โดยไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

ตอนผมเริ่มวิ่งมาราธอนครั้งแรกที่ Amazing Thailand Marathon Bangkok สมัยก่อน ผมเองก็วิ่งบนลู่ในบ้านเกือบทั้งหมด เพราะตารางเวลาทำงานที่แน่นมาก บางวันกลับบ้านสองทุ่ม จะออกไปวิ่งข้างนอกก็ไม่ปลอดภัย

จากประสบการณ์ตรงและลูกค้าที่ผมได้พูดคุยด้วย ลู่วิ่งในบ้านที่ดีจริงๆ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  1. ต้องพับเก็บได้หรือมีขนาดที่เหมาะกับพื้นที่ – บ้านคนไทยส่วนใหญ่พื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมาก
  2. มอเตอร์ต้องเงียบ – เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นในบ้านหรือเพื่อนบ้าน
  3. ขนาดสายพานต้องเหมาะสม – สำหรับการใช้งานทั้งเดินและวิ่ง
  4. ความแข็งแรงโครงสร้าง – ต้องรับน้ำหนักได้ดีและไม่สั่นโคลงเวลาวิ่ง

ผมเคยคุยกับลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่งระดับล่างไป 3,000 บาท จากแพลตฟอร์มออนไลน์ดัง เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมใช้ได้แค่สองเดือนครึ่ง พอขึ้นไปวิ่งชันเขาที่ปรับความชันมัน บอกเลยว่าเสียงมอเตอร์ดังมาก แล้วมอเตอร์ก็พังในที่สุด” นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากเวลาซื้อลู่วิ่งราคาถูกเกินไป

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า ลู่วิ่งในบ้านที่มีมอเตอร์ต่ำกว่า 2.0 แรงม้าจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 1-2 ปีสำหรับคนที่ใช้งานประจำ (3-4 ครั้งต่อสัปดาห์) ขณะที่ลู่วิ่งมอเตอร์ 2.5 แรงม้าขึ้นไปจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5-7 ปี

ช่วงที่ผมซ้อมวิ่งเตรียมตัวสำหรับ Laguna Phuket Marathon เมื่อปีที่แล้ว ฝนตกหนักเกือบทั้งเดือน ผมเลยต้องพึ่งลู่วิ่งในบ้านแทบจะทุกวัน จนเพื่อนล้อว่า “หมิง มึงซ้อมวิ่งหรือซ้อมเป็นหนูแฮมสเตอร์วะเนี่ย” ตอนนั้นแหละที่ผมเห็นความแตกต่างชัดเจน ระหว่างลู่วิ่งราคาหมื่นกว่าบาทกับลู่วิ่งหลักแสน

ความแตกต่างที่เห็นชัดสุดคือระบบช็อคอัพ เวลาลงเท้าวิ่งแรงๆ ลู่ถูกๆ มันจะสั่นและกระแทกจนข้อเข่าเริ่มปวด ซึ่งผมเคยเจอหลายคนที่ต้องหยุดวิ่งเพราะปัญหานี้ แต่ลู่ที่มีระบบช็อคอัพดีๆ อย่างพวกที่มีสปริงหรือโช้คคู่ มันจะนุ่มกว่ามาก เหมือนวิ่งบนพื้นยางเลย

เมื่อเช้าผมเพิ่งคุยกับลูกค้าที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่ง เธอซื้อลู่วิ่งรุ่น A1 ไปเมื่อสามเดือนก่อน แกบอกว่า “พี่หมิง ของมันดีจริงๆ นะ ฉันต้องเลี้ยงลูกสองคนเลยไม่มีเวลาออกไปวิ่งข้างนอกเลย แถมตอนลูกนอนฉันถึงได้มีเวลาออกกำลัง ถ้าเสียงดังป่านนี้โดนด่าไปแล้ว” เธอวิ่งตอนสามทุ่มถึงสี่ทุ่มทุกวัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกหลับแล้ว

นี่แหละคือสิ่งที่ผมย้ำกับลูกค้าเสมอว่า อย่ามองแค่ราคา แต่ให้ดูว่ามันเหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณมั้ย ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องวิ่งตอนดึกๆ คุณต้องการลู่ที่เงียบ ถ้าคุณมีพื้นที่จำกัด คุณต้องการลู่ที่พับเก็บได้ ถ้าคุณมีปัญหาข้อเข่า คุณต้องการลู่ที่มีระบบลดแรงกระแทกที่ดี

ผมเองเคยผิดพลาดตอนซื้อลู่วิ่งเครื่องแรก ตอนนั้นมองแค่ว่าต้องถูก ต้องพับเก็บได้ แต่ไม่ได้เช็คเรื่องเสียงเลย ผลคือวันแรกที่เปิดวิ่งตอนสามทุ่ม ภรรยาผมนี่ลงมาดุเลย “หมิง! จะสร้างแผ่นดินไหวเหรอ!” ฮ่าๆ ตอนนั้นแหละที่ผมเรียนรู้ว่า material ของลู่วิ่งมันสำคัญมาก

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือเทรนด์การซื้อลู่วิ่งหลังโควิด มันเปลี่ยนไปมาก ก่อนโควิดคนซื้อลู่วิ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่ชอบวิ่งอยู่แล้วแต่ไม่มีเวลาไปฟิตเนส แต่หลังโควิดกลุ่มลูกค้าเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนแต่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ

เมื่อวานมีลูกค้าโทรมาปรึกษาว่า “พี่หมิง หนูเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย หนักสุดคือเดินเร็วๆ ควรเลือกยังไงดี?” ผมเลยแนะนำว่า ถ้าแค่เดินหรือวิ่งเหยาะๆ ลู่รุ่นเล็กพวก A1 ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าอนาคตตั้งใจจะซีเรียสกับการวิ่ง ควรลงทุนกับเครื่องที่มีมอเตอร์แรงหน่อย อย่างน้อย 3.5 แรงม้า เพราะสุดท้ายมันถูกกว่าการซื้อเครื่องใหม่ในอีก 1-2 ปี

ช่วงที่ผมเตรียมตัวไปวิ่ง Garmin Run Asia Series ผมลองใช้ลู่วิ่งหลายรุ่นมาก แล้วสังเกตว่า ลู่ที่มีหน้าจอแสดงผลครบถ้วนมันช่วยกระตุ้นให้เราวิ่งได้นานขึ้น เพราะเราเห็นแคลอรี่ เห็นระยะทาง เห็นเวลา มันเหมือนเป็นการท้าทายตัวเองไปในตัว

กรณีจริงคือมีลูกค้าคนหนึ่งซื้อลู่วิ่งไปตอนปีใหม่ แล้วเขาส่งรูปมาให้ดูตอนเดือนเมษา น้ำหนักลดไปเกือบ 10 กิโล เขาบอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะดูตัวเลขแคลอรี่แล้วมันท้าทาย วันไหนเผลอกินเยอะก็ต้องวิ่งให้ได้แคลอรี่ตามเป้า

 

การเลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับบ้านของคุณ

“ความท้าทายที่สุดของการมีลู่วิ่งในบ้านไม่ใช่การวิ่ง แต่เป็นการหาพื้นที่ให้มันต่างหาก”

ผมเคยไปติดตั้งลู่วิ่งให้ลูกค้าที่คอนโดหรูย่านสุขุมวิทคนหนึ่ง พอไปถึงนี่ผมอึ้งเลย คอนโดสวยมาก แต่พื้นที่แค่ 35 ตร.ม. ลูกค้าบอก “พี่หมิง เอาลู่มาไว้ตรงนี้ได้ป่ะ” แล้วชี้ไปที่ช่องว่างระหว่างเตียงกับโต๊ะทำงาน ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะมันแคบมาก

เรื่องพื้นที่นี่สำคัญมาก บ้านไทยโดยทั่วไปไม่ได้ออกแบบมาให้มีพื้นที่สำหรับอุปกรณ์ออกกำลังกายขนาดใหญ่ ผมเคยเจอลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งแบบไม่ได้วัดพื้นที่ก่อน พอเอาเข้าบ้านปรากฏว่าประตูแคบกว่าลู่วิ่ง เขาต้องรื้อบานประตูออกเพื่อขนลู่วิ่งเข้าบ้าน แล้วค่อยมาประกอบใหม่!

ตอนผมเริ่มวิ่งซ้อมมาราธอนครั้งแรก ผมก็เจอปัญหาเรื่องพื้นที่เหมือนกัน ตอนนั้นอยู่คอนโด 45 ตร.ม. ผมแก้ปัญหาด้วยการเลือกลู่วิ่งที่พับได้ ตอนไม่ใช้ก็พับเก็บไว้ข้างผนัง แล้วใช้แม่เหล็กติดผนังเพื่อยึดไม่ให้ล้ม

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า คนที่ล้มเลิกการออกกำลังกายที่บ้านส่วนใหญ่เป็นเพราะอุปกรณ์กินพื้นที่มากเกินไป จนรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่อยู่บ้าน ซึ่งสุดท้ายจะกลายเป็นความรู้สึกลบต่อการออกกำลังกาย

อีกเรื่องที่ต้องคำนึงคือพื้นผิว ผมเคยไปติดตั้งลู่วิ่งให้ลูกค้าในคอนโดหรูอีกที่หนึ่ง เขาไม่ยอมปูแผ่นรองลู่วิ่ง เพราะกลัวเสียความสวยงามของห้อง ผลคือหลังจากใช้ไปสามเดือน พื้นไม้ลามิเนตเริ่มยุบ! ลู่วิ่งบางรุ่นหนักถึง 100 กิโลเลยนะ แถมยังมีแรงกระแทกจากการวิ่งอีก

เมื่อปีที่แล้วตอนผมเตรียมตัวไปวิ่ง Amazing Thailand Marathon ผมตัดสินใจย้ายลู่วิ่งจากในห้องนอนไปไว้ที่ระเบียง เพื่อให้ได้วิวและอากาศดีๆ ตอนวิ่ง สุดท้ายแสงแดดทำให้พลาสติกบางส่วนของลู่วิ่งเสื่อมเร็วกว่าปกติ ฉะนั้นถ้าจะวางลู่วิ่งนอกบ้าน ต้องมีที่บังแดดบังฝนให้ดี

ลูกค้าที่ประทับใจผมมากคือคุณลุงวัย 65 ปี ที่พังงา แกซื้อลู่วิ่งไปตั้งในโรงรถที่แกแปลงเป็นห้องออกกำลังกายเล็กๆ แกส่งรูปมาให้ดู มีพัดลมตั้งพื้น มีทีวีจอเล็ก มีชั้นวางน้ำดื่ม ครบเครื่องมาก แกบอกว่า “คุณหมิง ผมออกจากบ้านไม่ค่อยได้ แต่ตอนนี้ผมเดินได้วันละ 5 กิโลโดยไม่ต้องห่วงเรื่องสุนัขไล่หรือฝนตก”

 

การเลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับบ้านของคุณ (ต่อ)

และที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือเรื่องของไฟฟ้าในบ้าน จริงๆ แล้วไม่ค่อยมีใครพูดถึงประเด็นนี้เท่าไหร่ แต่ผมเจอกับตัวเองเลย ตอนอยู่คอนโดเก่า ผมเปิดลู่วิ่งพร้อมกับเครื่องปรับอากาศกับทีวี ปรากฏว่าไฟดับซะงั้น! เพราะมันเกินกำลังไฟที่ห้องรับได้ ฉะนั้นถ้าคุณอยู่ในอาคารเก่าหรือบ้านที่ระบบไฟไม่ได้อัพเกรดมานาน ก็ต้องเช็คด้วยว่ากำลังไฟรับได้ไหม

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่งแพงมาก แบบเกือบแสน แต่เขาไม่มีพื้นที่ เขาบอกว่า “กูจะวางไว้กลางห้องนั่งเล่นแหละ อย่างน้อยเวลามีแขกมาก็เหมือนประกาศว่ากูเป็นคนรักสุขภาพ” ผมได้แต่หัวเราะ แต่พอเขาใช้จริงๆ มันไม่สะดวกเลย เพราะเวลาดูทีวีกับครอบครัว เขาต้องย้ายลู่วิ่งออกไปก่อน สุดท้ายเขายอมซื้อตัวที่พับเก็บได้แทน

อีกเรื่องที่ผมอยากแชร์คือเรื่องชั้นล่างของตึก ถ้าคุณอยู่คอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ชั้นบนๆ การวิ่งบนลู่วิ่งอาจจะส่งแรงสั่นสะเทือนลงไปรบกวนชั้นล่าง ผมเคยมีลูกค้าที่โดนเพื่อนบ้านชั้นล่างโทรมาบ่นว่าเสียงดังเหมือนช้างวิ่ง! แก้ปัญหาด้วยการซื้อแผ่นรองกันกระแทกแบบหนาพิเศษมาปูใต้ลู่วิ่ง ปัญหาหายเลย

ตอนผมย้ายเข้าบ้านใหม่ ผมวางแผนเรื่องห้องออกกำลังกายก่อนเลย กะว่าจะเอาห้องไหนเป็นห้องฟิตเนส ผมแนะนำให้เลือกห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะเชื่อผมเถอะ กลิ่นเหงื่อในห้องปิดที่มีลู่วิ่งนี่มันอยู่ได้เป็นวันเลยนะ!

ตอนผมซ้อมวิ่ง Laguna Phuket Marathon ผมวิ่งหนักมากเลย บางครั้งวิ่งถึง 25 กิโลบนลู่วิ่ง ทำให้ห้องมีกลิ่นเหงื่อสะสม สุดท้ายต้องติดเครื่องฟอกอากาศและพัดลมระบายอากาศเพิ่ม แล้วก็ซื้อแผ่นดับกลิ่นมาวางไว้ในห้อง

 

ลู่วิ่งเหมาะกับใครบ้าง?

“ลู่วิ่งเหมาะกับทุกคนที่อยากลงทุนกับสุขภาพ แต่ไม่อยากลงทุนกับเวลาเดินทางไปยิม”

เมื่อก่อนผมคิดว่าลู่วิ่งมันเหมาะกับคนที่จริงจังกับการวิ่งเท่านั้น แต่พอขายลู่วิ่งมาเกือบสิบปี ผมเห็นว่าจริงๆ แล้วเครื่องพวกนี้มันช่วยได้หลายกลุ่มมาก

มีคุณแม่ท้องแก่คนหนึ่งโทรมาปรึกษาผม “คุณหมิง ท้อง 8 เดือนแล้ว แต่หมอบอกให้ออกกำลังแบบเบาๆ จะซื้อลู่วิ่งมาเดินได้ไหม?” ผมแนะนำให้เธอเลือกรุ่นที่มีมือจับแน่นหนาและมั่นคง สุดท้ายเธอซื้อไปใช้ เธอบอกว่าช่วยให้เธอนอนหลับง่ายขึ้นและลดอาการปวดหลังได้มาก

อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือผู้สูงอายุ ผมประทับใจปู่วัย 75 ปีคนหนึ่งมาก แกเป็นแฟนประจำของร้าน ซื้อลู่วิ่งไปเดินวันละ 40 นาที ทุกวัน ตอนนี้แกอายุ 80 แล้ว ยังแข็งแรงมาก แกบอกว่า “ลุงไม่ได้วิ่งหรอก ลุงเดินแค่ 4 กิโล แต่เดินทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เดิน เพราะมีลู่อยู่ในบ้าน ฝนตกก็เดินได้ แดดร้อนก็เดินได้”

คนที่มีลูกเล็กๆ ก็เป็นกลุ่มที่ใช้ลู่วิ่งเยอะมาก ผมมีเพื่อนที่เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เขาไม่มีเวลาไปฟิตเนสเลย เพราะต้องดูแลลูกตลอด เขาเลยซื้อลู่วิ่งมาไว้ที่บ้าน แล้ววิ่งตอนลูกนอน หรือบางทีก็ปล่อยให้ลูกดูการ์ตูนข้างๆ ขณะที่เขาวิ่ง

คนที่ทำงานหนักก็เหมาะกับการมีลู่วิ่งที่บ้าน ผมเองตอนเตรียมตัววิ่ง Garmin Run Asia Series ช่วงนั้นงานหนักมาก บางวันกลับบ้านสี่ทุ่ม ไม่มีทางที่จะออกไปวิ่งข้างนอกได้ ลู่วิ่งช่วยผมได้มากจริงๆ เพราะผมสามารถวิ่งได้ทุกเวลาที่ว่าง แม้จะดึกแค่ไหนก็ตาม

แล้วที่ผมประทับใจสุดๆ คือน้องคนหนึ่งที่เป็นโรคซึมเศร้า เขาซื้อลู่วิ่งไปตอนโควิด เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมเครียดมาก ไม่อยากเจอคน แต่ก็รู้ว่าต้องออกกำลังกาย ลู่วิ่งช่วยผมมากเลย มันเหมือนเป็นเพื่อนผม ทุกวันผมต้องวิ่งสักระยะนึง เหมือนได้ปลดปล่อยความเครียด” แล้วเขาก็ยังใช้มันอยู่ทุกวันนี้ เขาบอกว่าเริ่มจากเดิน 10 นาที ตอนนี้วิ่งได้ชั่วโมงนึงแล้ว

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การออกกำลังกายแค่ 30 นาทีต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าได้ถึง 30% แถมช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนได้อีกด้วย นี่เป็นอีกเหตุผลที่ผมมักจะพูดกับลูกค้าเสมอว่า “คุณไม่ได้ซื้อแค่ลู่วิ่งนะ คุณซื้อสุขภาพที่ดีขึ้นต่างหาก”

และช่วงโควิดที่ผ่านมา คนที่มีลู่วิ่งที่บ้านได้เปรียบมาก ผมมีลูกค้าหลายคนโทรมาขอบคุณที่แนะนำให้ซื้อลู่วิ่งก่อนโควิดระบาด เพราะช่วงล็อกดาวน์ พวกเขายังคงออกกำลังกายได้ปกติ ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องงดการออกกำลังกาย

อีกกลุ่มที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกค้าของลู่วิ่งคือ “คนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย” ฟังดูแปลกใช่มั้ย? ผมเคยมีลูกค้าสาวคนนึงประมาณ 30 ต้นๆ เธอเดินเข้ามาในร้านแล้วบอกเลยว่า “พี่หมิง หนูเกลียดการออกกำลังกายนะ แต่หมอบังคับให้ออก” เธอเป็นโรคหัวใจเล็กน้อย หมอเลยแนะนำให้ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบาๆ

ผมแนะนำลู่วิ่ง A1 ให้เธอ เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เธอซื้อไปวางในห้องนอน ตั้งไว้หันหน้าเข้าทีวี เธอบอกว่าเธอจะเดินเฉพาะตอนดูซีรีส์เท่านั้น ผมคิดในใจว่า “แหม คงไม่ได้ใช้หรอก” แต่สุดท้ายเธอกลับใช้มันทุกวัน! เพราะเธอติดซีรีส์เกาหลีมาก พอดูไปเดินไป เวลาผ่านไปไวมาก แถมได้ออกกำลังกายโดยไม่รู้ตัว

หรืออย่างตอนที่วิกฤติฝุ่น PM 2.5 ปีที่แล้ว ลูกค้าโทรมาสั่งลู่วิ่งกันเยอะมาก เพราะออกไปวิ่งข้างนอกไม่ได้ แต่ตลกมากตรงที่พอฝุ่นหายไป บางคนก็กลับไปวิ่งข้างนอกเหมือนเดิม ลู่วิ่งเลยกลายเป็นที่แขวนผ้าไปซะงั้น โห ผมเห็นแล้วเจ็บใจแทนลู่วิ่งมาก

มีจุดหนึ่งที่ผมเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานนี้เอง คือคนที่ซื้อลู่วิ่งไปแล้วใช้จริงๆ จังๆ ทุกวัน มักจะเป็นคนที่มีกิจกรรมอื่นทำควบคู่ไปด้วย เช่น ดูทีวี ฟังพอดแคสต์ อ่านหนังสือ (อันหลังนี่ยากหน่อย) แต่ถ้าซื้อไปแล้วแค่มุ่งจะวิ่งอย่างเดียว ส่วนใหญ่จะเลิกใช้เร็วกว่า เพราะเบื่อ

ผมเองตอนซ้อมวิ่ง Amazing Thailand Marathon ก็ติดซีรีส์ Game of Thrones พอดี ผมเลยตั้งกฎว่าจะดูได้เฉพาะตอนวิ่งบนลู่เท่านั้น รู้ตัวอีกทีผมวิ่งได้ 15 กิโลต่อวันเลย เพราะอยากรู้ว่าเรื่องจะจบยังไง!

ที่ฮากว่านั้นคือ ผมมีลูกค้าคนนึงเป็นหมอ เธอซื้อลู่วิ่งไปวางในคลินิกของเธอเอง เธอบอกว่าจะได้ใช้ช่วงที่รอคนไข้ ผมว่ามันเป็นไอเดียที่ดีมาก และก็เป็นแรงบันดาลใจให้ลูกค้าด้วย เพราะเห็นหมอออกกำลังกายก่อนตรวจ ผมเคยถามเธอว่าคนไข้ว่าไง เธอบอกว่า “ส่วนใหญ่ก็ทึ่งนะ แต่มีบางคนก็บ่นว่า หมอมัวแต่วิ่ง เลยตรวจช้า” ฮ่าๆๆ

 

เปรียบเทียบลู่วิ่งแต่ละรุ่น เลือกให้เหมาะกับความต้องการ

“ลู่วิ่งเหมือนรองเท้า ไม่มีไซส์ที่ใช้ได้กับทุกคน แต่มีไซส์ที่เหมาะกับแต่ละคน”

เอาจริงๆ นะ ตอนผมเริ่มต้นขายลู่วิ่งใหม่ๆ ผมแทบจะไม่รู้อะไรเลย ขายตามสเปคอย่างเดียว แต่หลังจากที่ได้ลองใช้หลายรุ่น ได้ฟีดแบ็คจากลูกค้าหลายคน ผมถึงได้เข้าใจว่าลู่วิ่งแต่ละรุ่นมันมี character ของมันเอง

อย่างลู่วิ่งรุ่น A1 ที่ราคา 9,990 บาท ผมขอเรียกมันว่า “น้องเล็กจอมประหยัด” เพราะมันกินพื้นที่น้อยมาก พับเก็บง่าย เหมาะมากๆ สำหรับห้องเล็กๆ หรือคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย มันไม่ได้แรงมากขนาดที่จะวิ่งเร็วๆ ได้ตลอด แต่สำหรับคนที่แค่ต้องการเดินหรือวิ่งเหยาะๆ วันละ 30-40 นาที มันก็เพียงพอแล้ว

ลูกค้าผมคนนึงเป็นผู้สูงอายุวัย 68 ปี อยู่คอนโดขนาด 35 ตร.ม. ตัดสินใจซื้อรุ่น A1 นี้ไป เพราะพับเก็บได้ แถมน้ำหนักไม่มาก แกบอกว่า “ขนาดพอดีกับห้องมาก ไม่ได้ใช้ก็พับเก็บ พอจะใช้ก็เอาออกมาได้คนเดียว” ซึ่งกับคนวัยนี้แล้ว การที่สามารถจัดการอุปกรณ์ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญมาก

แต่ข้อเสียของน้องเล็กรุ่นนี้ก็คือแรงม้าแค่ 3.0 ถ้าใช้หนักๆ หรือคนตัวใหญ่ใช้ มอเตอร์จะฝืดและร้อนได้ง่าย ผมเคยเจอลูกค้าน้ำหนัก 95 กิโลซื้อไป แล้วมอเตอร์พังภายในปีเดียว ซึ่งผมก็เตือนเขาแล้วนะว่ารุ่นนี้รับน้ำหนักได้แค่ 100 กิโล มันค่อนข้างฝืด แต่เขาก็อยากประหยัด

ส่วนรุ่น A3 ราคา 14,900 บาท ผมเรียกมันว่า “พี่กลางมือโปร” เพราะมันเหมาะกับคนที่วิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว มอเตอร์ 3.5 แรงม้า มันวิ่งได้ต่อเนื่อง ไม่ฝืด สายพานกว้างกว่ารุ่น A1 ทำให้วิ่งสบายกว่า และที่สำคัญคือความชันปรับได้ถึง 15 ระดับ ซึ่งช่วยให้การซ้อมวิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น

ผมมีเพื่อนที่เป็นนักวิ่งมาราธอนแบบจริงจัง เลือกรุ่นนี้ไป เขาบอกว่ามันเพียงพอสำหรับการซ้อมปกติ แม้ไม่ใช่รุ่นท็อปสุด แต่ความคุ้มค่าต่อราคา มันอยู่ตรงกลางพอดี ไม่แพงเกินไป แต่ก็ไม่ขาดอะไรที่จำเป็น แถมยังพับเก็บได้ซึ่งเป็นพอยต์สำคัญสำหรับบ้านที่พื้นที่จำกัด

ตัวที่น่าสนใจมากคือรุ่น A5 ราคา 25,900 บาท ซึ่งเป็น “พี่ใหญ่ตัวจริง” เลย มอเตอร์แรงถึง 5.0 แรงม้า ปรับความเร็วได้สูงสุด 20 กม./ชม. ซึ่งความเร็วขนาดนี้นี่แทบจะวิ่งแข่งได้เลยนะ! แถมความชันก็ปรับได้หลายระดับ พื้นที่วิ่งกว้างใหญ่ รองรับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล

รุ่นนี้ผมเคยขายให้ซุปเปอร์สตาร์คนหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยชื่อนะ) เขาเป็นนักแสดงที่ฟิตมาก หุ่นดีมาก ชอบวิ่งมาราธอนด้วย เขาซื้อไปวางที่บ้านเพื่อซ้อมวิ่งช่วงที่ตารางเวลายุ่ง หรือตอนที่เขาไม่อยากให้แฟนคลับเห็นหน้าเหงื่อโทรมๆ ระหว่างวิ่งตามสวน เขาบอกว่า “หมิง รุ่นนี้ใช่เลย มันเหมือนกับลู่ที่ฟิตเนสเลย แต่ไม่ต้องไปฟิตเนส”

แต่มีข้อควรระวังนะ รุ่น A5 นี้ตัวเครื่องใหญ่กว่ารุ่นอื่นมาก น้ำหนักเครื่องก็เยอะถึง 102 กิโล ถึงจะพับเก็บได้ แต่ก็ไม่ควรพับบ่อย ฉะนั้นต้องมีพื้นที่ถาวรให้มันจริงๆ

อีกรุ่นที่ได้รับความนิยมคือรุ่น SONIC ราคา 17,900 บาท รุ่นนี้ค่อนข้างพิเศษตรงที่มันมีระบบปรับความชันอัตโนมัติ ซึ่งคุณไม่ต้องลงจากลู่เพื่อไปปรับด้วยมือ แค่กดปุ่มบนแผงควบคุม มันจะปรับให้เองเลย

ผมนี่ประทับใจรุ่นนี้มาก เพราะเคยทดลองใช้ตอนซ้อมวิ่ง Laguna Phuket Marathon ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีเนินเยอะ การมีลู่ที่ปรับความชันได้ง่ายๆ มันช่วยจำลองเส้นทางได้ใกล้เคียงมาก ทำให้ร่างกายชินกับการวิ่งขึ้นเนินก่อนไปวิ่งจริง

ส่วนลู่วิ่งระดับโปรเกรดจัมโบ้อย่างรุ่น X10, X20, REAL ราคาตั้งแต่ 40,000 – 80,000 บาท พวกนี้เทียบได้กับที่ใช้ในฟิตเนสหรือโรงแรมเลย มอเตอร์ AC ไม่ใช่ DC ซึ่งทนทานกว่ามาก ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่า ไม่ร้อน พื้นที่วิ่งกว้างใหญ่ ระบบรองรับแรงกระแทกดีมาก

 

เปรียบเทียบลู่วิ่งแต่ละรุ่น เลือกให้เหมาะกับความต้องการ (ต่อ)

พวกรุ่นระดับพรีเมียมที่ผมเล่าไปนั้น ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นพวกโครงการคอนโดหรือบ้านจัดสรรที่อยากมีห้องฟิตเนสไว้เป็นจุดขาย ผมเคยไปติดตั้งให้คอนโดหรูย่านสุขุมวิทแห่งหนึ่ง เจ้าของโครงการสั่งลู่วิ่งรุ่น X10 ไปตั้ง 5 เครื่อง แพงหูฉี่เลย แต่พอได้เห็นห้องฟิตเนสที่เสร็จแล้ว โอ้โห มันดูเป๊ะมาก ลู่สีดำเงาวาววับตั้งเรียงกัน มีทีวีแขวนเหนือลู่แต่ละตัว

มีเรื่องตลกเล็กน้อยตอนติดตั้ง พนักงานของโครงการคนหนึ่งเห็นลู่แล้วบอกว่า “เฮ้ย แพงอะไรอย่างนี้ เอาเงินไปกินหมูกระทะ 30 รอบยังไม่หมดเลย” ผมได้แต่ยิ้ม แอบคิดในใจว่า “นั่นแหละ เพราะงั้นถึงต้องมีลู่วิ่ง” 555

ในฐานะคนที่วิ่งมาราธอนมาหลายรายการแล้ว ผมขอแชร์อะไรจากใจจริงๆ เลยนะ ลู่วิ่งระดับหมื่นกว่าบาทพวก A3, SONIC ที่ผมเล่ามา มันเพียงพอสำหรับนักวิ่งทั่วไปแล้ว แม้แต่นักวิ่งที่ซ้อมมาราธอนด้วย ไม่ต้องไปเสียแสนจริงๆ ถ้าซื้อไว้ใช้ในบ้าน

แต่ถ้าคุณเป็นเศรษฐีจริงๆ อยากได้ของที่ดีที่สุด ก็เชิญตามสบายนะครับ จ่ายยังไม่พอ อยากจ่ายเพิ่ม ผมรับอยู่! 555

พูดถึงลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าบ้าง อย่างรุ่น CX7 และ CX8 ราคา 55,900 และ 59,000 บาทตามลำดับ พวกนี้เป็นพระเอกช่วงไฟดับเลย! เวลาไฟดับบ่อยๆ หรืออยู่พื้นที่ห่างไกล ลู่พวกนี้ใช้แรงของเราเองในการขับเคลื่อนสายพาน ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเลย

ผมขายลู่ CX8 ไปให้รีสอร์ทเล็กๆ บนเกาะในกระบี่แห่งหนึ่ง ที่นั่นไฟชอบดับบ่อย เจ้าของรีสอร์ทบอกว่า แขกประทับใจมาก ไฟดับยังวิ่งได้ แถมมันให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งจริงกว่าลู่ไฟฟ้าอีก เพราะเราต้องออกแรงดันสายพานเอง

ตัวลู่ CX8 ที่ออกแบบโค้งเว้าแบบ Curve นี่ฉลาดมาก มันทำให้วิ่งเหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ เพราะเราต้องเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อให้สายพานเคลื่อนที่ คล้ายกับการวิ่งในธรรมชาติ ไม่เหมือนลู่ไฟฟ้าที่สายพานวิ่งเอง เราแค่ต้องก้าวตาม

แต่แน่นอนว่ามันก็มีข้อเสีย คือวิ่งเหนื่อยกว่ามาก ผมลองวิ่ง 5 กิโลบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้า เหนื่อยกว่าวิ่ง 10 กิโลบนลู่ไฟฟ้าอีก! มันเป็นการออกกำลังที่หนักกว่า แต่ถ้าคุณเป็นสายฮาร์ดคอร์ อันนี้เหมาะมาก

 

ลู่วิ่งไฟฟ้ากับการฝึกซ้อมวิ่งมาราธอน

“ลู่วิ่งไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือออกกำลังกาย แต่เป็นเหมือนคู่ซ้อมที่อดทนรอคุณได้ทุกเวลา”

ตอนผมเตรียมตัวไปวิ่ง Amazing Thailand Marathon ปีที่แล้ว ผมฝึกวิ่งบนลู่วิ่งเกือบ 70% ของทั้งหมด เพราะตารางงานผมยุ่งมาก ช่วงหลังๆ ผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อวิ่งก่อนไปทำงาน หรือไม่ก็กลับมาวิ่งตอนห้าทุ่ม

มีคืนหนึ่งผมกลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน แต่ยังต้องซ้อมตามตารางวิ่งระยะไกล 25 กิโล ตอนนั้นคือนึกในใจเลยว่า “จะไปวิ่งข้างนอกตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ?” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้าน ติดแอร์เย็นๆ ดูซีรีส์ไปด้วย วิ่งไปด้วย 25 กิโลผ่านไปแบบรู้สึกว่าเหนื่อยน้อยกว่าที่คิด

ลู่วิ่งช่วยผมเรื่องการฝึกซ้อมสม่ำเสมอได้มากจริงๆ เพราะไม่มีข้ออ้างเรื่องสภาพอากาศ เวลา หรือความปลอดภัย มันพร้อมให้เราใช้งานได้ทุกเมื่อ

คนมักจะบอกว่าวิ่งบนลู่วิ่งกับวิ่งบนถนนมันไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้วมันก็ไม่เหมือนกันล่ะ แต่ไม่ได้แปลว่าลู่วิ่งใช้ซ้อมไม่ได้ สิ่งที่ผมทำคือปรับความชันของลู่วิ่งเพิ่มขึ้นอีก 1% เพื่อจำลองแรงต้านของลมและถนนให้ใกล้เคียงกับการวิ่งข้างนอกมากขึ้น

มีสิ่งหนึ่งที่วิ่งบนลู่ทำได้ดีกว่าวิ่งบนถนนคือการซ้อมแบบ interval training เพราะคุณสามารถควบคุมความเร็วได้แม่นยำ ผมมักจะตั้งโปรแกรมสลับระหว่างวิ่งเร็ว 1 นาที พักเดินเหยาะๆ 1 นาที ทำแบบนี้ 10-15 รอบ มันช่วยเพิ่มความเร็วได้ดีมาก

หลายคนชอบบ่นว่าวิ่งบนลู่น่าเบื่อ ผมเคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งผมเริ่มทดลองเปลี่ยนโปรแกรมการวิ่ง ลองปรับความชันบ้าง ลองเล่นเกมกับตัวเองบ้าง เช่น วิ่งเร็วตอนโฆษณา หรือวิ่งเร็วขึ้นตอนที่เพลงถึงท่อนฮุค มันสนุกขึ้นเยอะเลย

อีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ ลู่วิ่งช่วยให้เราฝึกวิ่งในจังหวะที่สม่ำเสมอได้ดีมาก เพราะสายพานมันบังคับความเร็วให้เราต้องวิ่งตาม ไม่เหมือนวิ่งข้างนอกที่บางทีเราเผลอเร่งบ้าง ช้าบ้าง การฝึกรักษาจังหวะบนลู่วิ่งแล้วค่อยเอาไปใช้บนถนนจริง ช่วยให้ผมประหยัดพลังงานได้มากตอนวิ่งมาราธอน

มีเทคนิคหนึ่งที่ผมใช้ประจำตอนซ้อมมาราธอนคือ “การจำลองเส้นทางแข่ง” เช่น ก่อนไปวิ่ง Laguna Phuket Marathon ซึ่งมีเนินเยอะ ผมจะศึกษาแผนที่เส้นทาง ดูว่าช่วงไหนเป็นเนิน ช่วงไหนเป็นทางลง แล้วมาตั้งโปรแกรมลู่วิ่งให้ใกล้เคียงที่สุด ทำให้ร่างกายชินกับแรงกระแทกและแรงเค้นที่จะเกิดในวันแข่งจริง

ลู่วิ่งยังช่วยเรื่องการฝึกด้านจิตใจด้วย การวิ่งระยะยาวบนลู่มันเป็นการทดสอบความอดทนทางจิตใจมากกว่าวิ่งข้างนอกซะอีก เพราะมันไม่มีวิวให้ดูเพลิน ไม่มีจุดหมายปลายทางชัดเจน แค่วิ่งอยู่กับที่ ถ้าคุณผ่านการวิ่ง 30 กิโลบนลู่วิ่งได้ จิตใจคุณพร้อมสำหรับทุกอย่างแล้วล่ะ

ผมเคยมีลูกค้าที่เป็นนักวิ่งอัลตร้าใช้ลู่วิ่งซ้อมในช่วงฤดูฝน เขาบอกว่าเขาทำ “mental training” โดยการวิ่งบนลู่โดยไม่ดูอะไรเลย ไม่ฟังเพลง ไม่ดูทีวี จ้องแต่ผนังเปล่าๆ วิ่งติดต่อกัน 4-5 ชั่วโมง เพื่อฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ผมนี่ทึ่งมาก เพราะผมทำไม่ได้แน่ๆ

 

การดูแลรักษาลู่วิ่งให้ใช้งานได้นาน

ผมมีประสบการณ์สุดช็อคเมื่อสองปีก่อน ตอนที่ลูกค้าโทรมาด่าผมเปรี้ยงเลย “ลู่วิ่งพังแล้ว! อายุแค่ปีเดียว! ของกาก!” ผมตกใจมาก รีบไปเช็คที่บ้านเขา พอเปิดฝาครอบมอเตอร์ดู โอ้โห…เจอฝุ่นเต็มไปหมด หนาเป็นเซนติเมตร แถมน้ำมันหล่อลื่นก็ไม่เคยเติม สายพานแห้งกรอบ

ผมถามเขาว่า “คุณเคยหยอดน้ำมันหล่อลื่นมั้ย?” เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้างงๆ “หยอดน้ำมัน? ต้องหยอดด้วยเหรอ?” ตอนนั้นผมได้แต่นึกในใจว่า “เหมือนคุณซื้อรถมาแล้วไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเลยนั่นแหละ”

ลู่วิ่งมันก็เหมือนเครื่องจักรทั่วไป ต้องการการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลา โดยเฉพาะการหยอดน้ำมันหล่อลื่นใต้สายพาน ซึ่งควรทำทุก 1-2 เดือนขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน

ผมเคยถามลูกค้าที่ใช้ลู่วิ่งมา 7 ปีแล้วยังเหมือนใหม่ว่าทำยังไง เขาบอกว่า “ง่ายมาก วิ่งเสร็จทุกครั้งผมจะเช็ดเหงื่อที่หยดลงบนลู่ แล้วทุกเดือนผมจะยกสายพานขึ้นมาดูดฝุ่นข้างใน หยอดน้ำมันตามจุด ขันน็อตที่หลวม” นี่แหละคือความลับของลู่วิ่งอายุยืน

เรื่องการทำความสะอาด นี่เป็นอีกจุดที่คนมักมองข้าม ผมยังจำวันที่เข้าไปซ่อมลู่วิ่งในคอนโดหรูได้ ลู่วิ่งพังเพราะมีเศษเหรียญไปติดในมอเตอร์! เจ้าของเขาเองก็งงว่ามันไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง สันนิษฐานว่าน่าจะหล่นจากกระเป๋ากางเกงตอนวิ่ง

อีกเรื่องคือการปรับตั้งสายพาน ผมเคยไปติดตั้งลู่วิ่งให้ลูกค้า แล้วแนะนำวิธีปรับตั้ง แต่เขาไม่ฟัง บอกว่า “ไม่เป็นไร ผมดูในยูทูปเอาเองได้” สามเดือนต่อมาเขาโทรมาบอกว่าสายพานเบี้ยว พอไปดู ปรากฏว่าเขาปรับสายพานแน่นเกินไป ทำให้สายพานยืดและมอเตอร์ทำงานหนักเกินความจำเป็น

ลู่วิ่งรุ่นใหม่ๆ หลายรุ่นมีระบบหยอดน้ำมันอัตโนมัติ เช่น รุ่น A3 ที่มีระบบแทงค์เติมอัตโนมัติ แต่ก็ต้องเติมน้ำมันลงในแทงค์ตามกำหนดอยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ผมเปรียบมันเหมือนน้ำยาฉีดกระจกรถยนต์ มันฉีดเองได้ แต่คุณต้องเติมน้ำยาลงไปก่อน

เรื่องสายไฟก็สำคัญ ผมมีลูกค้าคนหนึ่งโทรมาบอกว่าลู่วิ่งชอบดับกะทันหัน พอไปตรวจดู พบว่าเขาใช้สายพ่วงต่อยาวมาจากปลั๊กอีกห้องหนึ่ง สายพ่วงเล็กและบางมาก รับกำลังไฟไม่พอ ทำให้ไฟตก ผมเลยแนะนำให้ใช้สายไฟที่มีขนาดหนาพอ หรือดีที่สุดคือเสียบโดยตรงกับเต้าเสียบที่ผนัง

ตอนผมใช้ลู่วิ่งเอง ผมมีกระดาษบันทึกวันที่หยอดน้ำมันแปะไว้ข้างลู่วิ่งเลย เพราะเคยลืมว่าหยอดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แล้วต้องเสียเงินซ่อมสายพานไป 3,000 บาท ซึ่งถ้าหยอดน้ำมันตามกำหนด แค่ขวดละ 200-300 บาท ก็พอแล้ว

อีกปัญหาใหญ่คือฝุ่น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ฝุ่นละอองมันจะสะสมในระบบมอเตอร์ ทำให้ความร้อนระบายได้ไม่ดี ผมมีทริคเล็กๆ คือใช้เครื่องเป่าลมหรือเครื่องดูดฝุ่นเป่าที่ช่องระบายอากาศของมอเตอร์ทุก 2-3 เดือน เพื่อไล่ฝุ่นออกมา

เรื่องสุดท้ายที่หลายคนไม่รู้คือ ความชื้น ลู่วิ่งกับความชื้นเป็นศัตรูกัน ผมเคยมีลูกค้าวางลู่วิ่งไว้ในห้องใต้ดินที่ชื้นมาก ผลคือแผงวงจรเกิดสนิม พังภายในปีเดียว ถ้าบ้านคุณมีความชื้นสูง ควรใช้เครื่องดูดความชื้นหรืออย่างน้อยก็เปิดพัดลมให้อากาศถ่ายเทดี

 

ประโยชน์ของการมีลู่วิ่งในบ้าน

“การมีลู่วิ่งในบ้านเหมือนมีตั๋วฟรีไปสู่สุขภาพที่ดีกว่า ไม่ต้องง้อสภาพอากาศ ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย และที่สำคัญ ไม่มีข้ออ้างแบบ ‘ไม่มีเวลา’ อีกต่อไป”

ตอนผมเริ่มขายลู่วิ่งใหม่ๆ ผมมักจะได้ยินข้อสงสัยว่า “ทำไมต้องซื้อลู่วิ่ง? ออกไปวิ่งข้างนอกก็ได้ ฟรีด้วย” ซึ่งผมก็เข้าใจความคิดนี้ดี เพราะผมเองก็เคยคิดแบบนั้น

แต่แล้ววันหนึ่ง ผมมาถึงจุดเปลี่ยนหลังจากที่ลงสมัครวิ่ง Amazing Thailand Marathon แล้วเริ่มซ้อม ทุกอย่างดูดีในสองสัปดาห์แรก วิ่งตอนเย็นหลังเลิกงาน ไปวิ่งที่สวนใกล้บ้าน แต่แล้ววันหนึ่งฝนตกหนัก ตกติดต่อกัน 3 วัน ผมพลาดการซ้อมไป 3 วันเต็มๆ

ถัดมาเป็นช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูงมาก หมอแนะนำให้งดออกกำลังกายกลางแจ้ง ผมก็พลาดการซ้อมอีก 5 วัน จากนั้นก็มีงานต่างจังหวัด ไม่ได้วิ่งอีก 3 วัน พอกลับมา ก็เป็นช่วงที่ต้องทำงานดึก หมดแรงจะวิ่ง พลาดอีก 2 วัน ปรากฏว่าเดือนเดียวผมพลาดซ้อมไปเกือบครึ่งเดือน!

ตอนนั้นแหละที่ผมตัดสินใจซื้อลู่วิ่งมาไว้ที่บ้าน และมันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะแย่แค่ไหน งานจะเลิกดึกแค่ไหน ผมก็วิ่งได้ ผลคือผมซ้อมได้สม่ำเสมอขึ้นมาก และเมื่อวิ่งมาราธอนจริงๆ ผมทำเวลาได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก

มีงานวิจัยหนึ่งที่ผมอ่านพบว่า คนที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายในบ้านมีแนวโน้มที่จะออกกำลังกายสม่ำเสมอมากกว่าคนที่ต้องเดินทางไปยิมถึง 73% ซึ่งผมว่ามันสมเหตุสมผลนะ เพราะเวลาเราเหนื่อยๆ กลับจากที่ทำงาน ความคิดที่จะขับรถไปยิมหรือสวนสาธารณะมันเป็นอุปสรรคใหญ่มาก

เรื่องความปลอดภัยก็สำคัญ ผมมีลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบวิ่งมาก แต่เธออาศัยอยู่ในย่านที่ค่อนข้างเปลี่ยว เธอเคยโดนจี้ชิงทรัพย์ตอนออกไปวิ่งตอนเช้ามืด หลังจากนั้นเธอก็ไม่กล้าออกไปวิ่งคนเดียวอีกเลย สุดท้ายเธอตัดสินใจซื้อลู่วิ่งมาไว้ที่บ้าน และกลับมาวิ่งได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง

อีกกรณีคือคุณพ่อวัย 45 ปีคนหนึ่ง เขาเพิ่งมีลูกคนแรก เขาบอกผมว่า “พี่หมิง ผมไม่กล้าทิ้งเมียกับลูกไปวิ่งข้างนอกเลย กลัวว่าถ้ามีอะไรฉุกเฉินจะช่วยไม่ทัน” ลู่วิ่งทำให้เขาได้ออกกำลังกาย ในขณะที่ยังอยู่ในบ้านดูแลครอบครัวได้

ลูกค้าที่เป็นแพทย์คนหนึ่งของผมบอกว่า เธอทำงานเข้าเวรดึกบ่อย บางครั้งกลับบ้านตี 3 ตี 4 แต่นอนไม่หลับ เพราะยังอะดรีนาลีนพุ่ง เธอใช้ลู่วิ่งช่วยระบายความเครียดและช่วยให้หลับง่ายขึ้น เธอบอกว่า “ถ้าไม่มีลู่วิ่งที่บ้าน ป่านนี้คงเครียดจนป่วยไปแล้ว”

ด้านสุขภาพ ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเองด้วย ก่อนมีลู่วิ่ง ผมออกกำลังกายแบบขาดๆ หายๆ น้ำหนักตัวขึ้นๆ ลงๆ ตลอด แต่พอมีลู่วิ่งที่บ้าน ผมสามารถควบคุมน้ำหนักได้คงที่ ความดันเลือดลดลง ระดับคอเลสเตอรอลดีขึ้น

ที่สำคัญอีกอย่างคือเรื่องเวลา การมีลู่วิ่งที่บ้านประหยัดเวลาได้มาก ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องรอคิวใช้เครื่อง ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องล็อกเกอร์ เอาเวลาที่ประหยัดได้ไปวิ่งเพิ่มอีก 10-15 นาทีดีกว่า

ลูกค้าที่เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่คนหนึ่งบอกผมว่า “ตารางงานผมแน่นมาก บางวันประชุมตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม การมีลู่วิ่งที่บ้านทำให้ผมยังวิ่งได้ตอนตี 5 ก่อนไปทำงาน หรือวิ่งตอน 4 ทุ่มหลังกลับบ้าน มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว”

 

สาระน่ารู้จากงานวิจัย ทำไมการวิ่งถึงสำคัญ?

“การวิ่งไม่ได้แค่ทำให้หุ่นดี แต่ยังช่วยให้อายุยืน สมองแข็งแรง และมีความสุขมากขึ้น”

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การวิ่งเพียง 5-10 นาทีต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 45% และลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้ 30% นี่เป็นผลจากการศึกษาติดตามคนกว่า 55,000 คนเป็นเวลา 15 ปี ที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา

ตอนผมเริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมวิ่งเพราะอยากลดน้ำหนักอย่างเดียว แต่พอได้ศึกษาลึกๆ ถึงได้รู้ว่าประโยชน์ของการวิ่งมันมากกว่านั้นเยอะมาก

มีงานวิจัยที่น่าสนใจมากที่ผมไปอ่านเจอเมื่อเตรียมตัวไปวิ่ง Garmin Run Series พบว่าการวิ่งไม่ได้แค่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ แต่มันยังกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองใหม่ในส่วนที่เกี่ยวกับความจำด้วย นักวิจัยติดตามคนกลุ่มหนึ่งที่อายุเกิน 60 ปี พบว่าคนที่วิ่งเป็นประจำมีปริมาณสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (ส่วนที่เกี่ยวกับความจำ) ใหญ่กว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายถึง 2%

อีกเรื่องที่ผมทึ่งมากคือผลต่อการนอนหลับ มีลูกค้าวัย 50+ ที่มีปัญหานอนไม่หลับมานาน เขาซื้อลู่วิ่งไปใช้ตอนเย็นๆ แค่วิ่งเบาๆ 30 นาที ผ่านไปสองเดือน เขาโทรมาขอบคุณผมมาก บอกว่าเดี๋ยวนี้นอนหลับสบายขึ้นเยอะ ไม่ต้องกินยานอนหลับแล้ว

ถามว่ามันเวิร์กจริงไหม? มีงานวิจัยในวารสาร Sleep Medicine ยืนยันว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิค (เช่น การวิ่ง) เพียง 30 นาทีต่อวัน สามารถช่วยให้นอนหลับได้เร็วขึ้น 55% และยังเพิ่มคุณภาพการนอนหลับได้ถึง 13%

ตัวผมเองมีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูงมาตั้งแต่อายุ 35 หมอเคยบอกว่าต้องกินยาไปตลอด แต่หลังจากที่ผมเริ่มวิ่งอย่างสม่ำเสมอ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ความดันของผมลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ จนหมอถึงกับแปลกใจ ขนาดถามผมว่ากินยาอะไรเสริมหรือเปล่า

ผมไปค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Hypertension ที่ศึกษาคนกว่า 800 คนพบว่า การวิ่งแค่ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดความดันโลหิตได้ประมาณ 5-7 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเทียบเท่ากับผลของยาลดความดันโลหิตบางตัวเลย

เรื่องสุดท้ายที่ผมชอบมากคือผลต่อสุขภาพจิต ตอนที่ผมเตรียมตัวไปวิ่ง Laguna Phuket Marathon เป็นช่วงที่งานหนักมาก ความเครียดสูง แต่ทุกครั้งที่ได้วิ่ง ผมรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไป กลับมาสดชื่นขึ้นทุกที

มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า การวิ่งเพียง 15 นาที สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะซึมเศร้าได้ถึง 26% เพราะการวิ่งกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่ทำให้เรามีความสุข

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับลู่วิ่งในบ้าน

“ไม่มีคำถามไหนที่โง่เกินไป มีแต่คำตอบที่ไม่ชัดเจนพอ”

1.ลู่วิ่งกินไฟมากไหม? คิดเป็นค่าไฟเดือนละเท่าไหร่?

จากประสบการณ์ตรงและข้อมูลจากลูกค้า ลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไปที่ใช้มอเตอร์ขนาด 2.0-3.5 แรงม้า จะใช้ไฟประมาณ 0.5-1.5 หน่วยต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ใช้และความเร็วที่วิ่ง

ถ้าคุณวิ่งวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ คิดเป็นค่าไฟประมาณ 75-225 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้าเทียบกับค่าสมาชิกฟิตเนสที่อย่างต่ำเดือนละ 1,500 บาท ก็ถือว่าคุ้มมาก

ผมเคยมีลูกค้าที่กลัวเรื่องค่าไฟมาก เขาถึงกับติดมิเตอร์วัดไฟเฉพาะจุดเพื่อดูว่าลู่วิ่งกินไฟเท่าไหร่ ผลปรากฏว่าหลังใช้ไป 3 เดือน ค่าไฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 150 บาท เขาบอกว่า “ผมวิ่งวันละชั่วโมงนะ แค่นี้ถือว่าคุ้มมาก เทียบกับไปฟิตเนสแล้วเสียทั้งค่าสมาชิก ค่าน้ำมันรถ ค่าเวลา”

2.ลู่วิ่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านหรือไม่?

เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของลู่วิ่งและการติดตั้ง ลู่วิ่งระดับเริ่มต้นมักจะมีเสียงดังกว่าลู่ระดับกลางและระดับสูง

จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมอยู่คอนโดและใช้ลู่วิ่งรุ่น A3 เสียงที่ดังส่วนใหญ่มาจากฝีเท้ากระทบสายพาน ไม่ใช่เสียงมอเตอร์ ผมแก้ปัญหาด้วยการใช้แผ่นรองกันกระแทกหนาๆ รองใต้ลู่วิ่ง และวิ่งในรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม เพื่อนบ้านบอกว่าแทบไม่ได้ยินเสียงเลย

ลูกค้าคนหนึ่งของผมเป็นนักดนตรี เขากังวลเรื่องเสียงมาก เขาใช้วิธีดาวน์โหลดแอพวัดเดซิเบลมาวัดเสียงลู่วิ่งตอนเปิดใช้งาน พบว่าลู่วิ่งทำเสียงประมาณ 65-75 เดซิเบล ซึ่งเทียบเท่ากับเสียงพูดคุยทั่วไป วางที่ถูกวิธีและรองด้วยแผ่นกันกระแทกคุณภาพดี ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

3.จำเป็นต้องซื้อลู่วิ่งราคาแพงไหม? หรือรุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอ?

คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและความถี่ในการใช้

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย วิ่งหรือเดินแค่ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่เกิน 30 นาที ลู่วิ่งรุ่นเริ่มต้นราคาหมื่นต้นๆ อย่าง A1 ก็เพียงพอแล้ว

แต่ถ้าคุณเป็นนักวิ่งที่ซีเรียส วิ่ง 5-6 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรือกำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ควรลงทุนกับลู่วิ่งที่มีคุณภาพดีขึ้น อย่างน้อยรุ่น A3 หรือดีกว่า

ผมเคยมีลูกค้าคู่สามีภรรยาที่ทั้งคู่วิ่งมาราธอน พวกเขาเลือกซื้อลู่วิ่งรุ่น A5 ไปใช้ที่บ้าน แม้ราคาจะสูงกว่าปกติ แต่เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายต่อการใช้งาน (พวกเขาใช้ลู่วิ่งรวมกันวันละ 2-3 ชั่วโมง) มันคุ้มค่ามากในระยะยาว

4.ลู่วิ่งที่บ้านใช้ซ้อมมาราธอนได้จริงหรือ?

ได้อย่างแน่นอน ผมเองใช้ลู่วิ่งซ้อมมาราธอนมาแล้วหลายรายการ ทั้ง Amazing Thailand Marathon Bangkok, Laguna Phuket Marathon และ Garmin Run Asia Series

กุญแจสำคัญคือต้องจำลองสภาพการวิ่งจริงให้ได้มากที่สุด เช่น ปรับความชันเพิ่มขึ้น 1% เพื่อจำลองแรงต้านลม ฝึกวิ่งระยะยาวบนลู่อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และออกไปวิ่งข้างนอกบ้างเพื่อให้ร่างกายชินกับสภาพพื้นผิวจริง

ลูกค้าคนหนึ่งของผมใช้ลู่วิ่งซ้อมเตรียมตัวไปวิ่ง 100 กิโลเมตร ที่ประเทศญี่ปุ่น เขาทำได้ดีมาก จบการแข่งขันอย่างสวยงาม เขาบอกว่า “90% ของการซ้อมผมทำบนลู่วิ่งที่บ้าน ออกไปวิ่งข้างนอกเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ที่มีเวลาเท่านั้น”

5.ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่นไหนที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ?

สำหรับผู้สูงอายุ คุณสมบัติสำคัญของลู่วิ่งคือ

  1. มือจับที่มั่นคง แข็งแรง จับได้ถนัดมือ
  2. ระบบเซฟตี้หยุดฉุกเฉิน (Safety Key) ที่ใช้งานง่าย
  3. การเริ่มและหยุดเครื่องที่นุ่มนวล ไม่กระชาก
  4. ระบบลดแรงกระแทกที่ดี เพื่อปกป้องข้อต่อ

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งให้ผู้สูงอายุหลายร้อยเครื่อง ผมพบว่ารุ่น A1 และ A3 ค่อนข้างเหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ปุ่มควบคุมมีขนาดใหญ่ อ่านง่าย และมีระบบความปลอดภัยที่ดี

คุณลุงอายุ 78 ปีที่ซื้อลู่วิ่ง A1 ไปเมื่อปีที่แล้ว บอกผมว่า “ลุงวิ่งไม่ไหวแล้ว แต่เดินได้ ลุงเดินวันละ 40 นาที ทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้เดิน” ตอนนี้แกอายุ 79 แล้ว ยังใช้ลู่วิ่งเป็นประจำ แข็งแรงมาก

6.ลู่วิ่งใช้พื้นที่เท่าไหร่ และสามารถพับเก็บได้จริงหรือ?

ลู่วิ่งทั่วไปต้องการพื้นที่ประมาณ 80 x 170 เซนติเมตร สำหรับตัวเครื่อง และควรเผื่อพื้นที่ว่างรอบๆ อีกประมาณ 50 เซนติเมตรเพื่อความปลอดภัย รวมแล้วประมาณ 180 x 270 เซนติเมตร

ลู่วิ่งแบบพับเก็บได้ เช่น รุ่น A1, A3 และ A5 สามารถพับเก็บได้จริง แต่ต้องเข้าใจว่าพับแล้วก็ยังกินพื้นที่อยู่ดี เพียงแต่กินพื้นที่น้อยลงและตั้งขึ้น ไม่ใช่พับเล็กจนเก็บใต้เตียงได้

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่งอยู่คอนโดขนาด 35 ตร.ม. เขาใช้วิธีตั้งลู่วิ่งไว้ตรงกลางห้อง ตอนไม่ได้ใช้ก็พับเก็บและเข็นไปชิดผนัง เขาบอกว่า “พื้นที่มันจำกัด แต่เราจัดการได้ ถ้ารักการออกกำลังกายจริงๆ พื้นที่ไม่ใช่ปัญหา”

7.กรณีไฟดับ ลู่วิ่งไฟฟ้าจะเป็นอันตรายหรือไม่?

ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ลู่วิ่งไฟฟ้าทุกรุ่นจะหยุดทำงานทันทีเมื่อไฟดับ สายพานจะหยุดหมุนอย่างช้าๆ ไม่กระชาก ไม่มีอันตราย

ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์ตอนไฟดับขณะกำลังวิ่งบนลู่กับลูกค้าที่มาทดลองใช้ที่ร้าน เขาตกใจมาก แต่พอเห็นว่าลู่ค่อยๆ หยุดอย่างนุ่มนวล ก็หายกังวล เขายังพูดติดตลกว่า “คนจะซื้อวิ่งได้แค่ 2 นาที ไฟดับซะงั้น อาจจะเป็นสัญญาณให้ออกไปวิ่งข้างนอกบ้างมั้ง” 555

8.ลู่วิ่งไฟฟ้าซ่อมยากไหม หาอะไหล่ลำบากหรือเปล่า? (ต่อ)

พังมักเป็นเพราะการใช้งานผิดวิธีหรือขาดการบำรุงรักษา อะไหล่ทั่วไปเช่น สายพาน น้ำมันหล่อลื่น ลูกปืน หาซื้อได้ไม่ยาก มีขายทั้งในร้านและออนไลน์

ผมมีลูกค้าที่ใช้ลู่วิ่ง A3 มา 6 ปีแล้ว นึกว่าเขาคงต้องซ่อมหลายครั้ง แต่เขาบอกว่าซ่อมแค่ครั้งเดียวตอนปีที่ 4 เพราะสายพานเริ่มสึก ค่าซ่อมประมาณ 2,500 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพง เมื่อเทียบกับการใช้งานมานานขนาดนั้น

ส่วนลู่รุ่นที่ผมขายปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือสายพานหลวม ซึ่งแก้ไขได้ง่ายมาก แค่ปรับตึงสายพานด้วยประแจหกเหลี่ยมที่มากับเครื่อง ไม่ต้องเรียกช่าง ผมเคยสอนลูกค้าสาวอายุ 60+ ทำ เธอทำได้เองภายใน 5 นาที

แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจไว้เลยว่า ลู่วิ่งก็เหมือนรถยนต์ ยิ่งราคาถูก ยิ่งต้องการการบำรุงรักษามากกว่า และมีโอกาสเสียสูงกว่า ลู่วิ่งราคาหลักหมื่นต้นๆ อาจจะใช้ชิ้นส่วนที่ด้อยคุณภาพกว่าลู่หลักหมื่นปลายหรือหลักแสน

9.วิธีเลือกลู่วิ่งอย่างไรให้เหมาะกับตัวเองที่สุด?

เลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับตัวเองโดยพิจารณาจาก

  1. วัตถุประสงค์การใช้งาน (เพื่อเดิน, วิ่งเหยาะๆ, หรือวิ่งเร็ว)
  2. ความถี่ในการใช้ (2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือทุกวัน)
  3. น้ำหนักตัวของผู้ใช้
  4. พื้นที่ที่มีในบ้าน
  5. งบประมาณ

ผมเคยให้คำปรึกษาลูกค้าคนหนึ่งที่น้ำหนัก 95 กิโล เขาตั้งใจจะซื้อลู่วิ่งรุ่น A1 เพราะราคาถูก แต่ผมแนะนำให้ซื้อรุ่น A3 ดีกว่า เพราะรองรับน้ำหนักได้ถึง 120 กิโล เขาฟังคำแนะนำและซื้อรุ่น A3 ไป ใช้งานมา 2 ปีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าซื้อ A1 ไป มอเตอร์คงพังไปแล้ว

ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์คนหนึ่ง ผมแนะนำรุ่น SONIC ที่มีมือจับใหญ่ แข็งแรง และมั่นคงเป็นพิเศษ เธอใช้เดินเพื่อออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ และบอกว่าช่วยให้คลอดง่ายขึ้น แถมหลังคลอดก็ยังใช้ลดน้ำหนักได้ดีอีก

10.ลู่วิ่งสามารถทดแทนการวิ่งกลางแจ้งได้ 100% หรือไม่?

ในฐานะคนที่วิ่งทั้งบนลู่และกลางแจ้ง ผมยอมรับว่าไม่มีอะไรทดแทนความรู้สึกของการวิ่งกลางแจ้งได้ 100% แต่ลู่วิ่งสามารถทดแทนได้ 90% โดยเฉพาะในแง่ของประโยชน์ต่อสุขภาพ

ลู่วิ่งอาจไม่ให้ประสบการณ์ด้านทัศนียภาพหรือความท้าทายของเส้นทางธรรมชาติ แต่มันกลับมีข้อดีบางอย่างที่การวิ่งกลางแจ้งไม่มี เช่น

  1. ควบคุมจังหวะการวิ่งได้แม่นยำกว่า
  2. ไม่มีอันตรายจากการจราจรหรือสุนัขไล่กัด
  3. ไม่ต้องกังวลเรื่องมลพิษหรือฝุ่น PM 2.5
  4. สามารถวิ่งได้ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร

ผมเคยคุยกับนักวิ่งมาราธอนมืออาชีพที่ทำลายสถิติระดับประเทศ เขาบอกว่าเขาฝึกซ้อมบนลู่วิ่ง 70% ของการซ้อมทั้งหมด โดยเฉพาะการซ้อมแบบ interval training ที่ต้องการความแม่นยำในการควบคุมความเร็ว

11.เด็กๆ ใช้ลู่วิ่งได้หรือไม่?

จากประสบการณ์และการสังเกตของผม เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีไม่ควรใช้ลู่วิ่งโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล เพราะเด็กอาจไม่เข้าใจระบบความปลอดภัยและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

สำหรับเด็กอายุ 12-16 ปี สามารถใช้ลู่วิ่งได้ แต่ควรใช้ที่ความเร็วต่ำก่อน และควรมีผู้ใหญ่คอยดูแลในช่วงแรกๆ

ผมเคยมีลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปให้ลูกชายอายุ 14 ปีที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียนใช้ซ้อม เขาบอกว่า “เราให้ลูกใช้แค่โปรแกรมที่กำหนดไว้ ไม่ให้ปรับความเร็วเกิน 10 กม./ชม. และใช้ได้แค่ตอนเราอยู่บ้านเท่านั้น” เขาบอกว่าลูกชายฟิตขึ้นมาก และมีวินัยในการซ้อมมากขึ้น

12.ถ้าอยู่คอนโด มีวิธีลดเสียงและแรงสั่นสะเทือนอย่างไร?

นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยมากจากลูกค้าที่อยู่คอนโด เรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือนเป็นปัญหาที่แก้ได้ด้วยวิธีง่ายๆ แต่ต้องทำอย่างครบถ้วน

  1. ใช้แผ่นรองกันกระแทกใต้ลู่วิ่ง (แผ่นโฟม EVA หนาอย่างน้อย 10 มม.)
  2. วางลู่วิ่งห่างจากผนังและอย่าให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของลู่สัมผัสกับผนัง
  3. ตรวจสอบและขันน็อตทุกตัวให้แน่น เพื่อป้องกันเสียงเกิดจากการสั่น
  4. ให้ทุกคนในบ้านสวมรองเท้าวิ่งเวลาใช้ลู่วิ่ง ไม่วิ่งเท้าเปล่า
  5. วางลู่วิ่งบนพื้นที่มั่นคง ไม่วางบนพรม

ผมเคยไปติดตั้งลู่วิ่งให้ลูกค้าที่อยู่คอนโดชั้น 25 ที่มีพื้นไม้ลามิเนต เขากังวลมากเรื่องรบกวนชั้นล่าง เราแก้ปัญหาด้วยการวางแผ่นรองกันกระแทกทั้งตัวลู่ แล้วเสริมด้วยการปูพรมหนาทั้งห้อง ผลคือเจ้าของห้องชั้นล่างบอกว่าแทบไม่ได้ยินเสียงหรือรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเลย

สรุป ลงทุนกับลู่วิ่งคือลงทุนกับสุขภาพระยะยาว

“ราคาของลู่วิ่งอาจจะทำให้คุณสะดุดใจ แต่ค่ารักษาพยาบาลจากการไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้คุณสะดุดมากกว่า”

หลังจากที่ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองและลูกค้าหลายร้อยคนที่ซื้อลู่วิ่งไป ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า การลงทุนกับลู่วิ่งคือการลงทุนกับสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่ง

ลองคิดง่ายๆ ลู่วิ่งรุ่น A3 ราคา 14,900 บาท ถ้าใช้งานได้ 5 ปี เฉลี่ยวันละ 8 บาท ถามว่าคุณยอมจ่าย 8 บาทต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น น้ำหนักที่ลดลง หัวใจที่แข็งแรงขึ้น และความเสี่ยงโรคต่างๆ ที่ลดลงหรือไม่?

ผมมีลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านอาหารดังย่านทองหล่อ เขาซื้อลู่วิ่งไปตั้งที่บ้าน แล้วใช้วิ่งทุกเช้าก่อนไปทำงาน เขาบอกว่า “ก่อนหน้านี้ผมป่วยบ่อย เป็นหวัดทุก 2-3 เดือน ต้องปิดร้านพักบ่อย แต่พอมาวิ่งสม่ำเสมอ ปีที่ผ่านมาผมไม่เป็นหวัดเลยสักครั้ง แค่นี้ก็คุ้มค่ากับลู่วิ่งแล้ว”

เพื่อนผมที่เป็นหมอบอกว่า ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ ที่มาจากการขาดการออกกำลังกาย เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 – 100,000 บาทต่อปี ยังไม่รวมค่ายาที่ต้องกินต่อเนื่อง และคุณภาพชีวิตที่ลดลง

ลู่วิ่งไม่ใช่แค่อุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่มันเป็นการลงทุนในอนาคตของคุณ เงินที่จ่ายไปจะกลับมาในรูปของสุขภาพที่ดี อายุที่ยืนยาวขึ้น และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม

ผมขอยกคำพูดของลูกค้าคนหนึ่งที่เพิ่งผ่าการผ่าตัดหัวใจมาได้ไม่นาน เขาบอกว่า “ผมเสียเงินไปกับการผ่าตัดเกือบล้านบาท และต้องพักฟื้นเป็นเดือน ถ้าผมรู้จักการออกกำลังกายมาก่อน คงไม่ต้องมานอนโรงพยาบาล” หลังจากที่เขาหายดี เขาซื้อลู่วิ่งรุ่น A3 ไปตั้งที่บ้าน และเดินวันละ 30 นาทีตามที่หมอแนะนำ

สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากถึงทุกคนว่า การมีลู่วิ่งไม่ได้รับประกันว่าคุณจะสุขภาพดี ถ้าคุณซื้อไปแล้วไม่ใช้ มันก็เป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าคุณตั้งใจจริงๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ลู่วิ่งคือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายนั้นได้ง่ายขึ้น