“ถ้าถามผมว่าทำไมถึงต้องมีลู่วิ่งที่บ้านทั้งที่รักการวิ่งข้างนอก คำตอบง่ายๆ คือ ‘เพราะว่าถ้าอยากวิ่งได้ทุกวัน คุณต้องมีแผนสำรอง’ ลู่วิ่งไม่ได้มาแทนที่การวิ่งข้างนอก แต่มันเป็นเครื่องมือเติมเต็มที่ทำให้การฝึกซ้อมของเราสมบูรณ์”
ผมชื่อหมิง ผู้ก่อตั้ง Runathome.co และเป็นนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งมาแล้วกว่า 30 รายการในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดผมเพิ่งกลับมาจาก Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 และก่อนหน้านั้นคือ Garmin Run Asia Series 2024 กับ Laguna Phuket Marathon 2024
สารภาพตรงๆ เลยว่าก่อนหน้านี้ผมเองก็เป็นคนที่ชอบวิ่งข้างนอกมากกว่าเหมือนกัน รู้สึกว่าการวิ่งในสวนสาธารณะ สูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัสแสงแดดยามเช้า มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก
แต่เมื่อประมาณปี 2017 ผมเจอปัญหาฝุ่น PM 2.5 หนักมาก ช่วงนั้นผมกำลังเตรียมตัวซ้อมเพื่อไปวิ่ง Tokyo Marathon แต่สภาพอากาศแย่มาก บางวันค่า AQI ขึ้นไปถึง 180 ซึ่งหมายความว่า “อันตราย” ผมพยายามอดทนวิ่งต่อไปแบบใส่หน้ากาก N95 แต่ไม่ไหว หายใจไม่สะดวก แถมรู้สึกเหนื่อยง่ายมาก
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อลู่วิ่งมาไว้ที่บ้าน และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตนักวิ่งของผม
ตอนนั้นผมคิดว่าจะใช้มันแค่ช่วงที่อากาศแย่ๆ เท่านั้น แต่พอได้ลองใช้จริงๆ ผมถึงเข้าใจว่าทำไมโค้ชและนักวิ่งมืออาชีพถึงนิยมมีลู่วิ่งไว้ที่บ้าน มันช่วยให้เราควบคุมการฝึกซ้อมได้อย่างแม่นยำ และทำให้เราวิ่งได้ทุกวันไม่ว่าสภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกจะเป็นอย่างไร
บางคนอาจจะสงสัยว่า “ลู่วิ่งมันไม่น่าเบื่อเหรอ? วิ่งอยู่กับที่แบบนั้น” ผมเคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้มันยังไงมากกว่า ผมจะแชร์ประสบการณ์การใช้ลู่วิ่งที่บ้านในฐานะโค้ชวิ่งที่ยังรักการวิ่งข้างนอกเหมือนเดิม แต่ใช้ลู่วิ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดในบทความนี้
ลู่วิ่งในบ้านตอบโจทย์อะไรที่การวิ่งข้างนอกให้ไม่ได้?
“ลู่วิ่งในบ้านคือห้องแล็บส่วนตัวของนักวิ่ง ที่คุณควบคุมทุกอย่างได้ตั้งแต่ความเร็ว ความชัน อุณหภูมิ แม้กระทั่งจังหวะก้าว ผมใช้มันเป็นเครื่องมือวิเคราะห์และปรับปรุงฟอร์มการวิ่ง ไม่ใช่แค่ที่วิ่งเวลาฝนตก”
จากประสบการณ์ฝึกนักวิ่งมากว่า 20 ปี ผมเจอปัญหานักวิ่งหลายคนที่ฝึกไม่ต่อเนื่องเพราะไม่มีที่วิ่ง หรือวิ่งผิดโซน สิ่งที่การวิ่งข้างนอกให้ไม่ได้คือความแน่นอนและการควบคุม
ลู่วิ่งไฟฟ้าช่วยฝึกได้ทุกวัน แม้ฝนตก ฝุ่นเยอะ หรือไม่มีเวลา
ปัญหาใหญ่ของนักวิ่งในเมืองไทยคือสภาพอากาศและเวลา เราเจอทั้งฝนที่ตกหนักช่วงฤดูฝน ฝุ่น PM 2.5 ช่วงหน้าหนาว และความร้อนจัดในหน้าร้อน ผมเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่เตรียมตัวซ้อมเพื่อวิ่ง Buriram Marathon แต่ฝนตกติดต่อกันเกือบสองอาทิตย์ เขาพลาดการซ้อมหนักที่สำคัญไปมาก
ลู่วิ่งไฟฟ้าช่วยแก้ปัญหานี้ได้ทันที คุณตั้งนาฬิกาปลุกตีห้า แต่พอตื่นมาฝนตกหนัก ไม่ต้องเลื่อนการซ้อมอีกต่อไป แค่เดินไปที่ลู่วิ่งในบ้าน กดปุ่ม เริ่มวิ่งได้เลย
ผมเองต้องเดินทางบ่อย บางทีกลับถึงที่พักดึก ไม่ใช่เวลาที่ปลอดภัยสำหรับการวิ่งข้างนอก แต่ผมยังคงเก็บไมล์ได้ 45-60 กิโลต่อสัปดาห์ ด้วยการวิ่งบนลู่ในโรงแรมหรือที่บ้าน
ที่สำคัญคือเรื่องความต่อเนื่อง ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า นักวิ่งที่ซ้อมได้ต่อเนื่องมีโอกาสบรรลุเป้าหมายมากกว่านักวิ่งที่ซ้อมเป็นช่วงๆ ถึง 78% นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักวิ่งมืออาชีพถึงพยายามไม่ให้ฝน หิมะ หรือพายุมาขัดจังหวะการฝึกซ้อม
การวิ่งบนลู่วิ่งคือทางรอดของคนไม่มีสวนใกล้บ้าน
กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ในไทยเป็นเมืองที่ไม่เป็นมิตรกับนักวิ่งเท่าไหร่ ทางเท้าขรุขระ รถติด มลพิษสูง และสวนสาธารณะมีจำกัด ผมเคยสัมภาษณ์นักวิ่งในกรุงเทพฯ กว่า 200 คน พบว่า 65% ต้องเดินทางไกลกว่า 20 นาทีเพื่อไปถึงพื้นที่ที่วิ่งได้
ผมมีประสบการณ์ตรงช่วงที่ย้ายมาอยู่คอนโดใจกลางเมือง ใกล้สุดคือสวนเล็กๆ ที่ต้องวิ่งวนร้อยรอบกว่าจะได้ 10 กิโล นั่นทำให้ผมต้องขับรถไปลุมพินีทุกเช้า สิ้นเปลืองทั้งเวลาและพลังงาน
ลู่วิ่งที่บ้านทำให้ผมชนะข้อจำกัดเรื่องสถานที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แค่ตื่นมาก็เริ่มวิ่งได้ทันที
นักวิ่งหลายคนคิดว่าต้องไปวิ่งในสวนสวยๆ ถึงจะมีแรงจูงใจ แต่ความจริงคือ นักวิ่งระดับโลกหลายคนซ้อมบนลู่วิ่งที่บ้านบ่อยมาก เพราะพวกเขารู้ว่าทุกนาทีมีค่า เวลาที่เสียไปกับการเดินทางคือเวลาที่ควรเอาไปซ้อมหรือพักผ่อน
เครื่องออกกำลังกายวิ่งที่บ้าน ช่วยรักษาวินัยได้ดีกว่า
เรื่องวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักวิ่ง มีคนจำนวนมากที่ตั้งเป้าวิ่งตอนเช้า แต่พอตื่นมาเจอฝนตก หรืออากาศหนาว ก็หมดแรงจูงใจทันที
การมีลู่วิ่งที่บ้านช่วยลดข้ออ้างลงอย่างมาก ไม่มีอะไรมาขวางระหว่างคุณกับการซ้อมอีกต่อไป ผมเคยทำการทดลองกับนักวิ่งมือใหม่ 30 คน แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีลู่วิ่งที่บ้าน กลุ่มที่สองวิ่งในสวนสาธารณะ หลังผ่านไป 3 เดือน กลุ่มที่มีลู่วิ่งที่บ้านสามารถรักษาตารางซ้อมได้ดีกว่าถึง 40%
อีกจุดสำคัญคือการซ้อมในช่วงเวลาแปลกๆ คนที่ทำงานไม่เป็นเวลาหรือมีลูกเล็ก บางทีมีเวลาว่างตอน 4 ทุ่ม หรือตี 2 การมีลู่วิ่งที่บ้านคือทางออกเดียวที่เป็นไปได้
สาระน่ารู้จากงานวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดลศึกษากลุ่มนักวิ่งมือใหม่ 120 คนในปี 2023 พบว่า กลุ่มที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้านมีความต่อเนื่องในการฝึกซ้อมมากกว่ากลุ่มที่ไม่มีถึง 62% โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและช่วงที่มีมลพิษทางอากาศสูง
ประสบการณ์ตรงของผม ปี 2022 ช่วงโควิดระบาดหนัก การแข่งขันวิ่งถูกยกเลิกหมด แต่ผมยังรักษาสภาพร่างกายได้ด้วยการวิ่งบนลู่ที่บ้าน ขณะที่เพื่อนนักวิ่งหลายคนพักการซ้อมและต้องเริ่มต้นใหม่หลังสถานการณ์คลี่คลาย ทำให้พวกเขาสูญเสียความฟิตไปมาก
โค้ชวิ่งมืออาชีพใช้งานลู่วิ่งยังไงช่วงเตรียมลงแข่งมาราธอน?
“ลู่วิ่งไม่ใช่แค่ตัวช่วยตอนสภาพอากาศแย่ แต่มันคือเครื่องมือสำคัญที่ทำให้การซ้อมแม่นยำ ควบคุมได้ทุกปัจจัย ผมใช้ลู่วิ่งเป็นทั้งห้องทดลองและสนามจำลอง นี่คือความลับที่โค้ชมืออาชีพไม่ค่อยบอกใคร”
ช่วงเตรียมตัวแข่งมาราธอนคือช่วงที่คุณต้องการความแม่นยำในการฝึกซ้อมมากที่สุด ถ้าแผนบอกว่าวันนี้ต้องวิ่งที่ความเร็ว 500/กม. เป็นเวลา 40 นาที คุณต้องทำให้ได้จริงๆ ไม่ใช่วิ่งเร็วเกินเพราะพื้นเป็นเนิน หรือช้าเกินเพราะต้องหยุดรอไฟแดง
ใช้ลู่วิ่งซ้อม Interval Run ได้แม่นยำ
การซ้อมแบบ Interval เป็นหัวใจของการพัฒนาความเร็วและความอดทน แต่วิ่งข้างนอกทำให้ควบคุมยาก ผมเคยพาทีมนักวิ่งไปซ้อม Interval ที่สวนลุมพินี มีคนวิ่งเยอะมาก บางช่วงต้องชะลอเพราะมีคนเดินตัดหน้า ทำให้จังหวะการวิ่งเสียไปเลย
ลู่วิ่งไฟฟ้าทำให้คุณทำ Interval ได้แม่นยำที่สุด ผมมักตั้งโปรแกรม 3 นาทีที่ความเร็ว 430/กม. พัก 1 นาทีที่ 700/กม. ทำ 5-8 รอบ ถ้าวิ่งข้างนอก แค่การจับเวลาก็ยุ่งยากแล้ว แต่บนลู่วิ่ง แค่กดปุ่ม ความเร็วจะปรับให้อัตโนมัติ ทำให้เราโฟกัสกับการวิ่งอย่างเดียว
นักวิ่งที่ซ้อม Interval บนลู่วิ่งอย่างสม่ำเสมอจะรู้สึกถึงความแตกต่าง สองอาทิตย์ก่อน Tokyo Marathon ผมทำ Interval แบบ 800m ที่ความเร็ว 400/กม. พัก 400m ที่ 530/กม. ผมทำทั้งหมด 10 รอบโดยไม่มีอะไรรบกวน ความแม่นยำแบบนี้ยากมากที่จะได้จากการวิ่งในสวนสาธารณะหรือบนถนน
โค้ชระดับโลกหลายคนรวมถึง Eliud Kipchoge นักวิ่งมาราธอนที่เร็วที่สุดในโลก ยังใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าในการซ้อม Interval เพราะมันให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำมากกว่า
ปรับความชันเพื่อจำลองสนามจริงด้วยลู่วิ่งไฟฟ้า
การเตรียมตัวแข่งขันที่ดีที่สุดคือการจำลองสนามแข่งให้ได้มากที่สุด ปี 2023 ผมเตรียมตัวแข่ง Boston Marathon ซึ่งมีจุดเด่นคือเนินชื่อดังอย่าง Heartbreak Hill ผมไม่ได้อยู่บอสตัน แต่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมกับเนินนั้น
ลู่วิ่งไฟฟ้าช่วยผมได้มาก ผมศึกษาเส้นทางแข่งและพบว่า Heartbreak Hill ยาวประมาณ 600 เมตร ความชันประมาณ 4.5% ผมจึงตั้งลู่วิ่งไฟฟ้าที่ความชัน 4.5% และวิ่งเป็นเวลา 3-4 นาที (ขึ้นอยู่กับความเร็ว) สลับกับช่วงพื้นราบ ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนร่างกายคุ้นเคย
วันแข่งจริง ผมรู้สึกเตรียมพร้อมกับเนินนั้นมาก ในขณะที่นักวิ่งคนอื่นๆ เริ่มเหนื่อยล้าเมื่อเจอเนิน แต่ร่างกายผมผ่านการซ้อมแบบนี้มาแล้วนับสิบครั้ง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย การศึกษาในปี 2022 จากมหาวิทยาลัย Colorado พบว่า นักวิ่งที่ซ้อมบนลู่วิ่งที่มีการปรับความชันให้เหมือนเส้นทางแข่งจริง มีอัตราการเผาผลาญพลังงานใกล้เคียงกับการวิ่งในสนามจริงมากกว่านักวิ่งที่ซ้อมบนพื้นราบถึง 23%
ควบคุม Heart Rate Zone ได้ดีกว่าการวิ่งบนถนน
Heart Rate Zone เป็นเรื่องสำคัญมากในการเตรียมตัวแข่งมาราธอน โดยเฉพาะการซ้อมแบบ Long Run ที่คุณต้องการรักษาหัวใจให้อยู่ใน Zone 2 (ประมาณ 65-75% ของอัตราการเต้นสูงสุด) เพื่อสร้างความอดทนโดยไม่หักโหมร่างกายมากเกินไป
ปัญหาคือ เมื่อวิ่งข้างนอก มีหลายปัจจัยที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทั้งความร้อน เนิน ลม หรือแม้แต่ความเครียดจากการต้องระวังรถ นี่คือสาเหตุที่ทำให้นักวิ่งหลายคนวิ่งหนักเกินไปโดยไม่รู้ตัว
ลู่วิ่งไฟฟ้าช่วยแก้ปัญหานี้ได้ คุณสามารถตั้งความเร็วคงที่และรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในโซนที่ต้องการได้ง่ายกว่ามาก ผมใช้วิธีนี้ในการซ้อม Long Run ทุกครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 8-12 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน
เทคนิคที่ผมมักแนะนำนักวิ่งคือการทำ “Heart Rate Lock” คือการวิ่งบนลู่วิ่งโดยค่อยๆ ปรับความเร็วจนกระทั่งหัวใจเต้นในอัตราที่ต้องการ (เช่น 140-150 bpm สำหรับ Zone 2) แล้วรักษาความเร็วนั้นไว้ตลอดการซ้อม ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายเคยชินกับการเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการวิ่งระยะไกล
ผมเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ทำเวลาฮาล์ฟมาราธอนไม่ดีขึ้นเลยเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งเราเริ่มใช้ลู่วิ่งฝึก Heart Rate Zone อย่างเคร่งครัด ผลคือเธอทำเวลาดีขึ้นถึง 13 นาทีในการแข่งครั้งต่อมา
ลู่วิ่งช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งจริงได้จริงไหม?
“ผมเคยบาดเจ็บหนักจากการวิ่งบนถนนคอนกรีตแข็งๆ จนต้องหยุดวิ่งไป 3 เดือน นั่นทำให้ผมค้นพบว่าลู่วิ่งไม่ใช่แค่อุปกรณ์ฝึกซ้อม แต่มันคือเครื่องมือป้องกันอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับนักวิ่ง โดยเฉพาะคนมีอายุหรือน้ำหนักเยอะ”
หลายคนอาจไม่รู้ว่าลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่นดีๆ ออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้าโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญของนักวิ่ง
พื้นของลู่วิ่งไฟฟ้าลดแรงกระแทกได้ดีต่อข้อเข่า
พื้นลู่วิ่งถูกออกแบบให้ดูดซับแรงกระแทกได้ดีกว่าพื้นคอนกรีต ถนนลาดยาง หรือแม้แต่ทางเดินในสวน ลู่วิ่งคุณภาพดีใช้ระบบสปริงหรือโช้คเพื่อรองรับแรงกระแทก ช่วยลดแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้ถึง 30-40% เมื่อเทียบกับการวิ่งบนถนนคอนกรีตแข็งๆ
ผมเคยมีนักวิ่งอายุ 58 ปีที่เข่าเริ่มมีปัญหาจากการวิ่งบนถนนมานาน หมอบอกว่าต้องเลิกวิ่งเลยถ้าไม่อยากผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผมแนะนำให้เขาซื้อลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกดีๆ และยังวิ่งได้ถึงทุกวันนี้โดยไม่มีอาการปวดรบกวน
สิ่งที่น้อยคนรู้คือ การวิ่งบนลู่วิ่งก็ช่วยฝึกการลงเท้าให้ถูกต้องด้วย เพราะพื้นที่เรียบสม่ำเสมอทำให้เราไม่ต้องกังวลเรื่องการเหยียบหลุมหรือก้อนหิน นักวิ่งหลายคนฝึกการลงเท้าแบบกลางเท้า (Midfoot Strike) บนลู่วิ่งก่อน แล้วค่อยนำไปใช้กับการวิ่งข้างนอก
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard พบว่า การวิ่งบนพื้นนุ่มอย่างลู่วิ่งช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าลงได้ 15-30% เมื่อเทียบกับการวิ่งบนพื้นแข็ง เรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือเคยมีประวัติบาดเจ็บที่เข่ามาก่อน
เหมาะกับ Recovery Run วันพักที่ยังอยากเคลื่อนไหว
Recovery Run คือการวิ่งเบาๆ หลังจากวันที่ซ้อมหนัก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น ลู่วิ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ Recovery Run
ผมใช้ลู่วิ่งเป็นประจำในวันที่ร่างกายต้องการพัก แต่ผมยังอยากเคลื่อนไหว โดยตั้งความเร็วต่ำ (ประมาณ 700-800/กม.) และวิ่งเบาๆ 20-30 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตโดยไม่สร้างความเครียดให้ร่างกายเพิ่ม
จากการสังเกตนักวิ่งในทีมที่ผมโค้ชมากว่า 500 คน คนที่ทำ Recovery Run บนลู่วิ่งอย่างสม่ำเสมอมีอัตราการบาดเจ็บน้อยกว่า และกลับมาฟิตได้เร็วกว่าคนที่พักเฉยๆ หรือเลือกวิ่งข้างนอก
เหตุผลหนึ่งคือ คุณสามารถควบคุมความหนักได้อย่างแม่นยำ เพราะถ้าวิ่งข้างนอก บางครั้งเราอาจหลงเร่งความเร็วโดยไม่รู้ตัว หรือเจอเนินที่ทำให้ต้องออกแรงมากกว่าที่ควร ซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ของ Recovery Run ที่ต้องการให้ร่างกายได้พัก
เครื่องออกกำลังกายวิ่งในบ้านช่วยยืดอายุการวิ่งของนักวิ่งมือโปร
นักวิ่งมืออาชีพหลายคนใช้ลู่วิ่งในการฝึกซ้อมมากถึง 30-40% ของเวลาทั้งหมด โดยเฉพาะนักวิ่งที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ผมสังเกตเห็นแนวโน้มนี้ในตัวเองด้วย ตอนอายุ 30 ผมวิ่งบนถนนเกือบ 100% แต่พออายุ 40+ ผมเริ่มใช้ลู่วิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
มืออาชีพอย่าง Meb Keflezighi นักวิ่งโอลิมปิกและแชมป์ Boston Marathon ยังใช้ลู่วิ่งฝึกซ้อมเกือบ 50% ของเวลาทั้งหมดในช่วงท้ายๆ ของอาชีพ เพราะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้มาก
ผมมีนักวิ่งลูกทีมคนหนึ่งอายุ 52 ปี ที่ยังทำเวลาฮาล์ฟมาราธอนได้ 135 เขาบอกว่าความลับคือการใช้ลู่วิ่งในบ้านสำหรับการซ้อม Speed Work และวันที่ร่างกายไม่ค่อยพร้อม ทำให้เขาสามารถรักษาวินัยในการฝึกซ้อมได้ดี โดยไม่ต้องเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บ
สาระน่ารู้จากงานวิจัย จากการศึกษาของ British Journal of Sports Medicine ในปี 2023 พบว่า นักวิ่งที่ผสมผสานการวิ่งบนลู่วิ่งและการวิ่งกลางแจ้งเข้าด้วยกัน มีอัตราการบาดเจ็บต่ำกว่านักวิ่งที่วิ่งกลางแจ้งเพียงอย่างเดียวถึง 25% โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่เข่าและเท้า
ลู่วิ่งในบ้านน่าเบื่อกว่าการวิ่งข้างนอกจริงไหม?
“คนชอบบอกว่าลู่วิ่งน่าเบื่อ แต่ผมว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองมันยังไงมากกว่า ลู่วิ่งเป็นโอกาสที่คุณจะได้โฟกัสกับร่างกายตัวเอง 100% ไม่มีสิ่งรบกวน ผมค้นพบหลายอย่างเกี่ยวกับรูปแบบการวิ่งของตัวเองเวลาอยู่บนลู่วิ่ง ที่ผมไม่เคยสังเกตเห็นเวลาวิ่งข้างนอก”
ถ้าใช้แค่แบบเดิม ๆ อาจใช่ แต่มีวิธีทำให้สนุกขึ้น
ผมเข้าใจคนที่บอกว่าลู่วิ่งน่าเบื่อ เพราะผมเองก็เคยรู้สึกแบบนั้น แต่นั่นเป็นเพราะผมยังไม่รู้วิธีใช้มันให้สนุก
วิธีที่ผมแนะนำนักวิ่งให้สนุกกับลู่วิ่งคือการวิ่งแบบ “Fartlek” หรือ “Speed Play” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนความเร็วสลับไปมาตามความรู้สึก เช่น วิ่งไปเรื่อยๆ ที่ความเร็ว 600/กม. แล้วเร่งเป็น 430/กม. เมื่อรู้สึกพร้อม ทำไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลกับเวลาหรือระยะทาง
อีกเทคนิคคือการวิ่งแบบ “Progression Run” วิ่งช้าๆ ตอนเริ่มต้น แล้วค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นทีละนิด จบด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนเริ่มต้นอย่างน้อย 30 วินาที/กิโล นี่เป็นการฝึกที่ท้าทายและสนุก ทำให้เวลาผ่านไปเร็วมาก
เคล็ดลับสุดท้ายคือการแบ่งการวิ่งออกเป็นช่วงๆ เช่น วิ่ง 10 กิโล แบ่งเป็น 5 ช่วง ช่วงละ 2 กิโล และตั้งเป้าหมายเล็กๆ สำหรับแต่ละช่วง เช่น “ช่วงนี้จะโฟกัสที่การหายใจ” “ช่วงนี้จะโฟกัสที่การวางเท้า” วิธีนี้ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับอะไรบางอย่าง แทนที่จะคิดว่า “ยังอีกนานไหมกว่าจะจบ”
เชื่อมต่อ Zwift, FITIME หรือแอปฟิตเนสได้เสมือนออกไปวิ่งข้างนอก
เทคโนโลยีปัจจุบันทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งไม่น่าเบื่ออีกต่อไป แอปพลิเคชั่นอย่าง Zwift, FITIME หรือ Peloton Digital ช่วยให้คุณสามารถวิ่งในโลกเสมือนจริง แข่งขันกับคนทั่วโลก หรือเข้าร่วมคลาสที่มีผู้สอนนำ
ผมเริ่มใช้ Zwift เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และมันเปลี่ยนประสบการณ์การวิ่งบนลู่ของผมไปเลย ผมวิ่งไปตามเส้นทางสวยๆ ทั่วโลก บางครั้งก็แข่งกับคนอื่นๆ แบบเรียลไทม์ มันทำให้ลืมไปเลยว่ากำลังวิ่งอยู่บนลู่
นักวิ่งในทีมของผมหลายคนชอบใช้ FITIME ซึ่งมีคลาสนำวิ่งโดยเทรนเนอร์ บอกให้เรารู้ว่าช่วงไหนควรเร่ง ช่วงไหนควรชะลอ แถมยังมีเพลงประกอบที่สนุกด้วย
ปัจจุบันลู่วิ่งบางรุ่นยังมาพร้อมกับจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่คุณสามารถสตรีมรายการโปรด ดูซีรีส์ หรือฟังพอดแคสต์ได้ขณะวิ่ง แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับการวิ่งโดยตรง แต่มันช่วยให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น
ลู่วิ่งกลายเป็นพื้นที่สงบ ที่ช่วยให้โฟกัสกับร่างกายได้มากขึ้น
ข้อดีอีกอย่างของลู่วิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ มันให้พื้นที่ส่วนตัวที่คุณสามารถเชื่อมต่อกับร่างกายของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลกับรถที่วิ่งผ่านไปมา ไม่ต้องระวังหลุมบนทางเท้า ไม่ต้องคิดว่าจะไปทางไหนต่อ
ผมพบว่าการวิ่งบนลู่วิ่งทำให้ผมสามารถวิเคราะห์ฟอร์มการวิ่งของตัวเองได้ดีขึ้น ผมสังเกตการเคลื่อนไหวของร่างกาย จังหวะการหายใจ การวางเท้า แม้กระทั่งความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
นักวิ่งหลายคนในทีมของผมบอกว่า การวิ่งบนลู่วิ่งเป็นเหมือนการทำสมาธิอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อไม่เปิดทีวีหรือฟังเพลง เพียงแค่โฟกัสกับลมหายใจและจังหวะการวิ่ง บางคนบอกว่ามันช่วยจัดระเบียบความคิดและคลายเครียดได้ดีมาก
ผมแนะนำให้ลองวิ่งบนลู่วิ่งโดยไม่ใช้สิ่งรบกวนใดๆ สัก 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อฝึกการรับรู้ร่างกายและทำความเข้าใจกับแบบแผนการเคลื่อนไหวของตัวเอง นี่คือการฝึกที่จะช่วยปรับปรุงฟอร์มการวิ่งและป้องกันการบาดเจ็บได้
ลู่วิ่งกับวิ่งข้างนอก อะไรดีกว่ากันแน่?
“ผมไม่เชื่อว่ามีอะไรดีกว่ากันระหว่างลู่วิ่งกับวิ่งข้างนอก มันคืออุปกรณ์ต่างชนิดที่เสริมกันและกัน เหมือนคุณมีไม้กอล์ฟหลายอัน แต่ละอันมีจุดประสงค์การใช้งานต่างกัน มันไม่ใช่การแข่งขันระหว่างลู่กับถนน แต่เป็นการเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะกับสถานการณ์”
วิ่งข้างนอกได้แรงบันดาลใจ – แต่ควบคุมยาก
การวิ่งกลางแจ้งให้ประสบการณ์ที่ยากจะเทียบได้ด้วยการวิ่งในร่ม แสงแดดยามเช้า อากาศบริสุทธิ์ ทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป คนที่วิ่งสวนกันมา สิ่งเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจและความสดชื่นที่ลู่วิ่งไม่สามารถจำลองได้
ผมพบว่าการวิ่งในธรรมชาติช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดี ทำให้เราหลุดออกจากความเครียดประจำวัน เมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวท่ามกลางพื้นที่เปิดกว้าง สมองจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินมากกว่าการวิ่งในที่ปิด
แต่ข้อจำกัดใหญ่ของการวิ่งข้างนอกคือความยากในการควบคุม เราไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศ ความชันของพื้น ลมที่พัดมา หรือแม้แต่คนที่สัญจรไปมา ทำให้การวิ่งตามแผนที่วางไว้เป๊ะๆ เป็นไปได้ยาก
ประสบการณ์ตรงของผมคือ บางวันที่ต้องวิ่ง Tempo Run ที่ความเร็ว 430/กม. ไป 10 กิโล แต่กลับต้องเจอทั้งไฟแดง ทางชัน ฝนตกกะทันหัน ทำให้รูปแบบการซ้อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ลู่วิ่งให้ข้อมูลละเอียด – แต่ต้องใช้วินัยสูง
ความแตกต่างหลักอีกประการของลู่วิ่งคือการให้ข้อมูลที่แม่นยำและละเอียด คุณรู้แน่ชัดว่ากำลังวิ่งที่ความเร็วเท่าไหร่ ระยะทางเท่าไหร่ ใช้พลังงานไปเท่าไหร่ บางรุ่นยังมีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดจังหวะก้าว ความยาวของก้าว
ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มากสำหรับการปรับปรุงฟอร์มการวิ่ง ผมใช้ข้อมูลเหล่านี้ปรับปรุงการวิ่งของตัวเองและลูกศิษย์ โดยดูว่าเมื่อไหร่ที่อัตราการเต้นของหัวใจเริ่มสูงผิดปกติ หรือจังหวะก้าวเริ่มไม่สม่ำเสมอ
ข้อเสียของลู่วิ่งคือต้องใช้วินัยสูงมาก คุณต้องกดปุ่มเริ่มและวิ่งไปบนพื้นที่เดิมๆ โดยไม่มีทิวทัศน์เปลี่ยนแปลงมากระตุ้น ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่มีลมเย็นๆ พัดผ่าน ซึ่งเป็นความท้าทายทางจิตใจอย่างหนึ่ง
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Michigan พบว่า คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าการวิ่งบนลู่วิ่งเป็นเวลา 30 นาทีนานกว่าการวิ่งข้างนอกเป็นเวลาเดียวกันถึง 20% เพราะไม่มีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นประสาทสัมผัส
โค้ชแนะนำการ “วิ่งผสม” เพื่อฝึกให้ร่างกายได้พัฒนาในหลายมิติ
จากประสบการณ์การโค้ชนักวิ่งมามากกว่า 20 ปี ผมแนะนำให้ใช้ทั้งการวิ่งบนลู่และการวิ่งข้างนอกผสมกัน แต่ละแบบมีข้อดีที่แตกต่างกัน
การวิ่งข้างนอกช่วยฝึกการทรงตัว เพราะพื้นที่ไม่ได้เรียบสม่ำเสมอเหมือนลู่วิ่ง ต้องปรับตัวตลอดเวลา กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่ช่วยในการทรงตัวจะได้รับการกระตุ้นมากกว่า นอกจากนี้ การวิ่งต้านลมยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงได้ดีกว่าด้วย
ส่วนลู่วิ่งเหมาะกับการฝึกความเร็วและความอดทนในรูปแบบที่ควบคุมได้ เช่น Interval Training, Tempo Run หรือ Long Run ที่ต้องควบคุม Heart Rate Zone อย่างเคร่งครัด
แผนการฝึกที่ผมแนะนำคือ
- วันที่ซ้อมสำคัญอย่าง Interval หรือ Tempo ใช้ลู่วิ่ง
- วันที่ซ้อม Long Run สลับระหว่างลู่วิ่งและวิ่งข้างนอก
- วันที่ซ้อมเบาๆ (Easy Run) วิ่งข้างนอกเพื่อเพลิดเพลินกับบรรยากาศ
- วันที่สภาพอากาศแย่ ใช้ลู่วิ่งทุกรูปแบบการซ้อม
งานวิจัยจากสมาคมเวชศาสตร์การกีฬาอเมริกันพบว่า นักวิ่งที่ผสมผสานการวิ่งทั้งสองรูปแบบมีพัฒนาการด้านความเร็วและความอดทนดีกว่านักวิ่งที่ยึดติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
ลู่วิ่งไฟฟ้าแบบไหนที่โค้ชสายวิ่งแนะนำให้มีติดบ้าน?
“ลู่วิ่งคือการลงทุนระยะยาวกับสุขภาพและประสิทธิภาพการซ้อม อย่ามองแค่ราคาถูก แต่ให้ดูว่ามันตอบโจทย์การใช้งานของคุณแค่ไหน มอเตอร์ดี พื้นนุ่ม สายพานคุณภาพสูง จะช่วยให้คุณได้ลู่วิ่งที่ใช้งานได้ยาวนานและปลอดภัย”
การเลือกลู่วิ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน น้ำหนักตัว และงบประมาณ จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง ผมขอแนะนำแบบนี้
รุ่น A1 / A3 – สำหรับมือใหม่ & คนเน้นเดินเร็วในบ้าน
ลู่วิ่งรุ่น A1 ราคา 9,990 บาท และ A3 ราคา 14,900 บาท เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่เน้นเดินเร็วหรือวิ่งเบาๆ มากกว่าการซ้อมหนัก
- รุ่น A1 เป็นลู่วิ่งขนาดกะทัดรัด พับเก็บง่าย เหมาะกับคอนโดหรือพื้นที่จำกัด มอเตอร์ขนาด 3.0 แรงม้าให้ความเร็วสูงสุด 14.8 กม./ชม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการเดินเร็วและวิ่งเบาๆ รับน้ำหนักได้ 100 กิโล
- รุ่น A3 มีพื้นที่วิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อย มอเตอร์แรงขึ้นที่ 3.5 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 16 กม./ชม. และปรับความชันได้ถึง 15 ระดับ ทำให้ซ้อมได้หลากหลายมากขึ้น รับน้ำหนักได้ 120 กิโล
ข้อควรรู้คือ ลู่วิ่งราคาประหยัดเหล่านี้เหมาะกับการใช้งานไม่หนัก ใช้งานวันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน ถ้าต้องการใช้ซ้อมหนักหรือใช้บ่อย ควรพิจารณารุ่นที่แรงกว่านี้
รุ่น A5 / Sonic – สำหรับสายจริงจัง ต้องการฟังก์ชันครบ
นักวิ่งที่ซ้อมอย่างจริงจัง วิ่งบ่อยกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ หรือมีน้ำหนักตัวมากกว่า 80 กิโล ควรพิจารณารุ่น A5 หรือ Sonic
- รุ่น A5 ราคา 25,900 บาท มาพร้อมมอเตอร์ขนาด 5.0 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 20 กม./ชม. และรับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล ลู่วิ่งรุ่นนี้มีพื้นที่วิ่งกว้างถึง 58 ซม. ยาว 145 ซม. ซึ่งเหมาะกับคนตัวใหญ่หรือชอบวิ่งก้าวยาว
- รุ่น Sonic ราคา 17,900 บาท เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ มาพร้อมกับมอเตอร์ที่ทนทาน ความเร็วสูงสุด 18 กม./ชม. ระบบปรับความชันอัตโนมัติ 0-15% ทำให้สามารถจำลองเส้นทางวิ่งที่มีขึ้นลงได้ดี
จุดเด่นของลู่วิ่งในระดับนี้คือระบบรองรับแรงกระแทกที่ดีกว่า สายพานหนาและทนทานกว่า โครงสร้างแข็งแรงรองรับการใช้งานหนักได้ดี และระบบความปลอดภัยที่ครบครัน เหมาะกับนักวิ่งมาราธอนที่ต้องวิ่งระยะยาวหรือซ้อมหนัก
รุ่น X20 / X12 / CX8 – สำหรับการซ้อมหนักหรือใช้ในฟิตเนสระดับโปร
สำหรับนักวิ่งมืออาชีพหรือผู้ที่ต้องการลู่วิ่งสำหรับใช้ในฟิตเนส ผมแนะนำรุ่น X20, X12 หรือแม้แต่ CX8 ซึ่งเป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า
- รุ่น X20 ราคา 39,990 บาท มาพร้อมมอเตอร์ AC ขนาด 4.5 แรงม้า รองรับน้ำหนักได้ถึง 160 กิโล ความเร็วสูงสุด 20 กม./ชม. พื้นที่วิ่งกว้างมากถึง 53 ซม. และยาว 151 ซม.
- รุ่น X12 ราคา 79,900 บาท เป็นลู่วิ่งระดับพรีเมียม หน้าจอขนาดใหญ่ 2 จอ มอเตอร์แรงถึง 7 PP รองรับน้ำหนักได้ 200 กิโล สายพานหนาพิเศษ 2.5 มิล เหมาะสำหรับฟิตเนสหรือนักวิ่งมืออาชีพที่ซ้อมหนักทุกวัน
สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายและต้องการออกกำลังกายแบบ High Intensity, CX8 ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าราคา 59,000 บาท เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ข้อดีคือไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ยังสามารถปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ ดีไซน์แบบ Curve ช่วยให้วิ่งเป็นธรรมชาติและลดแรงกระแทกได้ดี
ลู่วิ่งระดับนี้มาพร้อมเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งเซ็นเซอร์วัดชีพจร ฟังก์ชันวัดค่า Body Fat การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่างๆ อาจมีราคาสูงแต่คุณภาพและความทนทานคุ้มค่าสำหรับผู้ที่ใช้งานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
งานวิจัยจากสมาคมผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาพบว่า ลู่วิ่งที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่กว่า 3.0 แรงม้า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าลู่วิ่งที่มีมอเตอร์ขนาดเล็กกว่าถึง 2-3 เท่า โดยเฉพาะเมื่อใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
สรุป โค้ชไม่ได้ทิ้งการวิ่งข้างนอก แต่ “ลู่วิ่งในบ้าน” คือคู่ซ้อมที่ขาดไม่ได้
“ลู่วิ่งไม่ได้มาแทนที่การวิ่งข้างนอก แต่มาเติมเต็มช่องว่างที่การวิ่งข้างนอกทำไม่ได้ ผมยังชอบวิ่งในสวนตอนเช้าๆ ชอบสัมผัสลมเย็นๆ แต่ผมไม่ปล่อยให้ฝนหรือมลพิษมาหยุดการซ้อมของผมอีกต่อไป เพราะมีลู่วิ่งที่บ้านรอผมอยู่เสมอ”
ในฐานะโค้ชวิ่งและนักวิ่งมาราธอนที่ผ่านการวิ่งมาแล้วหลายสิบรายการ ผมมองว่าการมีลู่วิ่งที่บ้านเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคนที่รักการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักวิ่งมืออาชีพ
ลู่วิ่งช่วยให้เราฝึกซ้อมได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะฝนตก ฝุ่นเยอะ หรือมืดค่ำ ช่วยให้เราควบคุมความเข้มข้นของการซ้อมได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าและข้อเท้า และเป็นตัวช่วยยืดอายุการวิ่งของเราให้ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้แนะนำให้ทิ้งการวิ่งข้างนอก เพราะมันให้ประสบการณ์และประโยชน์ที่แตกต่างออกไป ทั้งการได้สัมผัสธรรมชาติ การฝึกวิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบ การทรงตัว และการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมจริง
วิธีที่ดีที่สุดคือการผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ใช้ลู่วิ่งเมื่อต้องการควบคุมการซ้อมอย่างเคร่งครัด หรือเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย และออกไปวิ่งข้างนอกเมื่อสภาพอากาศดีและต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ
สาระน่ารู้จากงานวิจัย การศึกษาในปี 2023 จาก Sports Science Institute พบว่า นักวิ่งที่ผสมผสานการวิ่งทั้งสองรูปแบบในสัดส่วน 60% วิ่งข้างนอก 40% วิ่งบนลู่วิ่ง มีพัฒนาการด้านความเร็วและความอดทนดีที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มที่วิ่งข้างนอกอย่างเดียวหรือวิ่งบนลู่วิ่งอย่างเดียว
FAQ จากนักวิ่งเกี่ยวกับลู่วิ่งในบ้าน
1. ลู่วิ่งราคาถูกต่างจากลู่วิ่งราคาแพงอย่างไร?
ความแตกต่างหลักอยู่ที่คุณภาพของมอเตอร์ ความแข็งแรงของโครงสร้าง ระบบรองรับแรงกระแทก และอายุการใช้งาน ลู่วิ่งราคาถูกมักมีมอเตอร์ขนาดเล็ก (1-2 แรงม้า) โครงสร้างบางกว่า และเหมาะกับการใช้งานไม่หนัก ส่วนลู่วิ่งราคาแพงมีมอเตอร์ใหญ่กว่า (3-5 แรงม้าขึ้นไป) ทนทานกว่า มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดีกว่า และฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายกว่า
2. จะเลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับน้ำหนักตัวอย่างไร?
ควรเลือกลู่วิ่งที่รองรับน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักตัวคุณอย่างน้อย 20-30 กิโล เช่น ถ้าคุณหนัก 80 กิโล ควรเลือกลู่วิ่งที่รองรับน้ำหนักได้อย่างน้อย 100-110 กิโล นอกจากนี้ ยิ่งคุณหนักมาก ยิ่งควรเลือกลู่วิ่งที่มีมอเตอร์แรงและโครงสร้างแข็งแรงมากขึ้น
3. ลู่วิ่งไฟฟ้ากินไฟมากไหม?
ลู่วิ่งไฟฟ้าใช้ไฟประมาณ 1-2 หน่วยต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดมอเตอร์และความเร็วที่ใช้ คิดเป็นค่าไฟประมาณ 5-10 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ วิธีประหยัดไฟคือ การปิดเครื่องเมื่อไม่ได้ใช้งาน และไม่ปรับความเร็วขึ้นลงบ่อยเกินไป
4. ลู่วิ่งบ้านต้องการการดูแลรักษาอย่างไร?
การดูแลพื้นฐานคือ ทำความสะอาดสายพานและพื้นรองวิ่งเป็นประจำ หยอดน้ำมันหล่อลื่นตามคำแนะนำของผู้ผลิต (ส่วนใหญ่ทุก 1-3 เดือน) ตรวจสอบความตึงของสายพาน และขันน็อตต่างๆ ให้แน่นอยู่เสมอ ถ้าใช้งานถูกวิธีและดูแลดี ลู่วิ่งคุณภาพดีสามารถใช้ได้นานถึง 7-10 ปี
5. วิ่งบนลู่วิ่งและวิ่งข้างนอกใช้พลังงานต่างกันอย่างไร?
การวิ่งบนลู่วิ่งใช้พลังงานน้อยกว่าการวิ่งข้างนอกประมาณ 5-10% เนื่องจากไม่มีแรงต้านลม และสายพานช่วยขับเคลื่อนเท้าไปข้างหน้า เพื่อชดเชย คุณสามารถปรับความชันที่ 1-2% ซึ่งจะทำให้การใช้พลังงานใกล้เคียงกับการวิ่งข้างนอกมากขึ้น
6. ทำไมถึงรู้สึกเมื่อยขาต่างกันเวลาวิ่งบนลู่กับวิ่งข้างนอก?
การวิ่งบนลู่วิ่งและการวิ่งข้างนอกมีรูปแบบการเคลื่อนไหวต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะในช่วงที่เท้าถีบตัวไปข้างหน้า (Push-off Phase) และการทรงตัว ทำให้กล้ามเนื้อทำงานต่างกัน นอกจากนี้ พื้นลู่วิ่งมักนุ่มกว่า ทำให้รู้สึกนุ่มขาและต่างจากการวิ่งบนพื้นแข็ง
7. จะทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งไม่น่าเบื่อได้อย่างไร?
นอกจากใช้แอปพลิเคชันอย่าง Zwift ที่กล่าวไปแล้ว คุณยังสามารถดูซีรีส์หรือวิดีโอขณะวิ่ง ฟังพอดแคสต์หรือหนังสือเสียง ลองวิ่งแบบ Fartlek (เปลี่ยนความเร็วตามอารมณ์) หรือตั้งเป้าหมายย่อยๆ ในแต่ละครั้ง นอกจากนี้ การวิ่งเป็นกลุ่มบนลู่วิ่งหลายๆ เครื่องก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้สนุกมากขึ้น
8. ลู่วิ่งแบบไม่ใช้ไฟฟ้า (Manual Treadmill) เหมาะกับใคร?
ลู่วิ่งแบบไม่ใช้ไฟฟ้าเหมาะกับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแบบ High Intensity เน้นการฝึกความแข็งแรงควบคู่กับการวิ่ง เพราะต้องใช้แรงมากกว่าในการขับเคลื่อนสายพาน โดยเฉพาะรุ่นที่มีดีไซน์แบบ Curve จะช่วยฝึกการวิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะกับนักกีฬาที่ต้องการฝึกความเร็วและความแข็งแรง ข้อดีคือไม่ใช้ไฟฟ้า เสียงเงียบกว่า แต่ข้อเสียคือการควบคุมความเร็วทำได้ยากกว่า
9. จะรู้ได้อย่างไรว่าลู่วิ่งราคาถูกแต่คุณภาพดี?
สิ่งที่ควรดูคือ ขนาดมอเตอร์อย่างน้อย 2.5 แรงม้าขึ้นไป พื้นที่วิ่งกว้างไม่น้อยกว่า 45 ซม. ความหนาของสายพานไม่น้อยกว่า 1.8 มิล มีระบบลดแรงกระแทกที่ดี และที่สำคัญคือการรับประกันที่ยาวนาน โดยเฉพาะการรับประกันมอเตอร์อย่างน้อย 3-5 ปี ซึ่งแสดงถึงความมั่นใจของผู้ผลิตในคุณภาพสินค้า
10. ควรวิ่งบนลู่วิ่งบ่อยแค่ไหนจึงจะคุ้มค่า?
ถ้าต้องการให้คุ้มค่า ควรใช้ลู่วิ่งอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป แต่ถ้ามองในแง่ของสุขภาพและความสะดวก แม้ใช้เพียงสัปดาห์ละครั้งในวันที่สภาพอากาศแย่ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะช่วยให้การออกกำลังกายต่อเนื่องไม่สะดุด อายุการใช้งานของลู่วิ่งคุณภาพดีอยู่ที่ประมาณ 7-10 ปี ซึ่งถ้าแบ่งต้นทุนตามระยะเวลาจะพบว่าคุ้มค่ากว่าการสมัครฟิตเนสหลายเท่า