ลู่วิ่งไฟฟ้า ทั้งหมดของเรา
Run At Home
ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับงานโครงการ Treadmill Semi Commercial
เครื่องเดินบันได Stair Climber
เครื่องเดินบันได Stair Climber
ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า Treadmill Non-Motorized
ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้งานในบ้าน Treadmill Home Use
ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้งานในบ้าน Treadmill Home Use
ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้งานในบ้าน Treadmill Home Use
ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับงานโครงการ Treadmill Semi Commercial
ทำไมต้องเลือกใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า
การเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า หรือเครื่องวิ่งออกกำลังกายช่วยทำให้การวิ่งออกกำลังกายขอบเรามีความ ความสะดวกสบาย ไม่ว่าฝนตก แดดร้อน หรือสภาพอากาศไม่ดี ก็ยังสามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่และเรื่องความปลอดภัย การป้องกันการบาดเจ็บระหว่างวิ่ง พื้นของลู่วิ่งไฟฟ้าออกแบบมาให้มีระบบซับแรงกระแทก ช่วยลดแรงกดที่ข้อเข่าและข้อเท้า ต่างจากการวิ่งบนถนนที่อาจทำให้อุบัติเหตุระหว่างวิ่ง
ลู่วิ่งไฟฟ้า ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณ ควบคุมการออกกำลังกายได้แม่นยำกว่า เช่น การปรับความเร็ว ระดับความชัน และโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อการฝึกฝนหลายรูปแบบ
วิธีเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า ให้เหมาะกับการใช้งาน
การเลือก ลู่วิ่งไฟฟ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ราคาถูกหรือแพง แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้เหมาะกับเป้าหมายการวิ่ง ขนาดพื้นที่ลู่วิ่งไฟฟ้าเพื่อไม่ให้เกิดความอึดอัดเวลาใช้งาน เพราะหากเลือกผิดอาจทำให้ใช้งานได้ไม่นาน หรือทำให้ต้องอัพเกรดลู่วิ่งไฟใหม่ที่ดีกว่าของเดิม
ขนาดมอเตอร์ของลู่วิ่ง
หัวใจสำคัญของลู่วิ่งคือ มอเตอร์ เพราะเป็นตัวกำหนดทั้งความทนทานและประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งในด้านของการปรับความ ความต่อเนื่องการใช้งาน
- ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ติตตั้งมอเตอร์ DC เหมาะกับการใช้งานในบ้าน ภายในคอนโด สำหรับใช้งานต่อเนื่องไม่เกิน 2 ชั่วโมง ระหว่างใช้งานลู่วิ่งไฟฟ้าอาจทำให้มอเตอร์เกิดเสียงดังเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักหรือใช้ต่อเนื่องยาวนาน
- ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ติตตั้งมอเตอร์ AC เหมาะกับการใช้งานภายในฟิตเนส หรือ โครงการหมู่บ้านที่มีคนใช้งาน ลู่วิ่งไฟฟ้า หลายคนภายในวันเดียว รองรับการวิ่งต่อเนื่องหลายชั่วโมง และคนใช้หลายคนต่อวัน มีความแข็งแรงและทนทานกว่า
หากคุณต้องการใช้งานที่บ้านเพียงคนเดียว ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ติดตั้งมอเตอร์ DC ก็เพียงพอ แต่ถ้าใช้งานในฟิตเนส หรือ โครงสร้างบ้านที่จำเป็นต้องรองรับการใช้งานต่อเนื่องการซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า มอเตอร์ AC เป็นทางเลือกที่ดี
ระดับการปรับความชัน และความเร็ว
ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ดีควรปรับได้ทั้งความชันและความเร็ว ได้หลายระดับเพื่อทำให้การวิ่งมีความเข้มข้น และเพิ่มความหลากหลายในการฝึกวิ่งมากขึ้น
- ความเร็ว ลู่วิ่งไฟฟ้ามาตรฐานควรปรับได้ 1-16 km/h สำหรับผู้เริ่มต้น แต่รุ่นฟิตเนสส่วนใหญ่มักรองจะรับความเร็วได้มากถึง 20 km/h
- ความชัน ลู่วิ่งไฟฟ้า ควรมีระบบปรับชันอัตโนมัติตั้งแต่ระดับ 0-15 เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และสามารถฝึกวิ่งบนเขาได้เป็นอย่างดี
ความกว้างของสายพานและพื้นที่วิ่ง ลู่วิ่งไฟฟ้า
พื้นที่วิ่งมีผลต่อความสะดวกสบายในการวิ่งออกกำลังกาย ยิ่งลู่วิ่งไฟฟ้ามีพื้นที่สายพานกว้าง ยิ่งทำให้วิ่งได้มั่นใจ ไม่ต้องกลัวตก
- ความกว้างมาตรฐาน 45-50 ซม. เหมาะกับการวิ่งทั่วไป
- ความยาว ควรมีอย่างน้อย 130 ซม.
- ถ้ามีช่วงก้าวขาที่กว้าง ควรเลือกสายพานยาว 140-150 ซม.
ฟังก์ชั่นการใช้งานใน ลู่วิ่งไฟฟ้า และโปรแกรมการวิ่ง
นอกจากการวิ่งพื้นฐานแล้ว การมีฟังก์ชันเสริมจะช่วยให้ฝึกได้มีประสิทธิภาพขึ้น เช่น
- โปรแกรมการฝึกที่หลากหลาย ที่ช่วยการเผาผลาญไขมันมากขึ้น, การฝึกวิ่ง Interval, การวิ่งแบบ Hill run
- ฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อ บลูทูธ, จอสัมผัส, แอปฟิตเนส เช่น Zwift หรือ Kinomap ที่ช่วยทำให้การวิ่งบน ลู่วิ่งไฟฟ้า สนุกมากขึ้น
- ลำโพงในตัว, หน้าจอแสดงผลขณะกำลังใช้งาน
รองรับน้ำหนักคนวิ่งได้เยอะ
ความสามารถในการรับน้ำหนักบน ลู่วิ่งไฟฟ้า เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเกี่ยวกับความทนทานของมอเตอร์และโครงสร้างของลู่วิ่งไฟฟ้า
- ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม รองรับน้ำหนักได้ประมาณ 100-120 กก.
- ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส รองรับน้ำหนักได้ประมาณ 150-180 กก.
คำแนะนำเลือก ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นที่รองรับน้ำหนัก มากกว่าน้ำหนักตัวจริงอย่างน้อย 20 กก. เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานที่นานขึ้น
ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม กับ ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส ต่างกันอย่างไร
หลายคนที่กำลังตัดสินใจซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า มักสับสนระหว่างรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในบ้าน หรือที่เรียกว่า ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม กับรุ่นที่ใช้ตามฟิตเนส หรือ ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส ความแตกต่างไม่ได้อยู่แค่ที่ราคา แต่ยังรวมถึงความทนทาน ประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่ต่างกัน
ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม มักออกแบบมาเพื่อรองรับคนใช้งาน 1-2 คนในครอบครัว เน้นความคุ้มค่าและประหยัดพื้นที่ ขณะที่ ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งานต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง
ตารางแสดงความแตกต่างระหว่าง ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม กับ ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส
คุณสมบัติ |
ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดโฮมยิม |
ลู่วิ่งไฟฟ้า เกรดฟิตเนส |
มอเตอร์ |
มอเตอร์ DC ขนาด 1.5 - 3.0 HP |
มอเตอร์ AC 3.0 - 6.0 HP |
รองรับการการใช้งานต่อเนื่อง |
30-60 นาที |
2-6 ชั่วโมงขึ้นไป |
สายพาน/พื้นที่วิ่ง |
42-48 ซม. กว้าง |
50-60 ซม. รองรับการก้าวเท้าได้เต็มที่ |
รองรับน้ำหนัก |
100-120 กก. |
150-180 กก. |
ฟีเจอร์ |
ฟังก์ชั่นโปรแกรมมาตรฐาน หน้าจอ แสดงผลการวิ่ง |
มีโปรแกรมการวิ่งปลากหลายและขั้นสูง, รองรับการเชื่อมต่อแอปฟิตเนส |
โครงสร้าง |
ขนาดเล็ก พับเก็บได้ประหยัดพื้นที่ |
โครงสร้างแข็งแรง มีความทนทาน |
ราคา |
เริ่มต้น 9,990 บาท |
เริ่มต้น 59,000 บาท |
ราคา ลู่วิ่งไฟฟ้า เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
คำถามยอดฮิตของหลายคนที่กำลังจะซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า คือ “ควรซื้อรุ่นไหน ราคาเท่าไหร่ถึงจะได้ลู่วิ่งที่ดีและคุ้มค่า” ความจริงแล้วราคาของลู่วิ่งมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น และราคาสามารถบ่่งบอกได้ทั้งคุณภาพ มอเตอร์ ความทนทาน และบริการหลังการขาย
ถ้าเป็น ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นเล็ก ราคาจะอยู่ในช่วง 9,000-15,000 บาท ซึ่งเหมาะกับผู้เริ่มต้นที่อยากออกกำลังกายภายในบ้าน แต่หากตั้งใจจะวิ่งจริงจังอย่างน้อยวันละ 30 - 60 นาที ควรขยับไปเลือกรุ่นที่ราคา 20,000 - 40,000 บาท เพราะได้มอเตอร์ที่แรงขึ้น ระบบซับแรงกระแทกดีกว่า และมีโปรแกรมการวิ่งให้เลือกมากกว่า
สำหรับคนที่ต้องการ ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่แข็งแรงมากขึ้น ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง หรืออยากได้มาตรฐานใกล้เคียงแบบฟิตเนส ราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป ซึ่งแม้ว่าเป็นการลงทุนที่สูงกว่า แต่คุ้มค่าระยะยาวเพราะอายุการใช้งานยาวนานและการซ่อมบำรุงน้อยกว่า
สรุปคือ หากคุณซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อใช้งานทั่วไปในบ้าน งบประมาณที่เหมาะสมคือ 9,000 - 15,000 บาท แต่ถ้าเน้นการฝึกจริงจังหรือใช้ภายในฟิตเนส ควรซื้อลู่วิ่งอย่างน้อย 60,000 บาทเพื่อให้ได้เครื่องที่ตอบโจทย์ทั้งสมรรถนะและความทนทาน
ฟีเจอร์สำคัญที่ ลู่วิ่งไฟฟ้า ควรมี
เวลาซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า หลายคนมักโฟกัสที่ “ราคา” เป็นหลัก แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ควรใส่ใจไม่แพ้กันคือ “ฟีเจอร์การใช้งาน” เพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้ ลู่วิ่งไฟฟ้า ใช้งานได้สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น การเลือกฟีเจอร์ที่เหมาะสมจึงช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้การวิ่งสนุกกว่าเดิม
ระดับการปรับความชัน
ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่สามารถปรับความชันได้จะช่วยจำลองการวิ่งขึ้นเนินเขา ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ปรับชันได้อัตโนมัติได้มากถึง 15 ระดับ ถือว่าเหมาะสมที่สุด เพราะรองรับการฝึกเข้มข้นมากขึ้น
การปรับความเร็ว
ความเร็วที่ปรับได้คือฟีเจอร์พื้นฐานที่ผู้ใช้ทุกคนควรพิจารณา สำหรับมือใหม่ ความเร็ว ลู่วิ่งไฟฟ้า สูงสุดที่ 12-14 km/h ก็เพียงพอ แต่ถ้าคุณเน้นการวิ่งจริงจังหรือซ้อมแข่ง ควรเลือก ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ปรับความเร็วได้ถึง 18-20 km/h เพื่อรองรับการฝึก interval และ sprint ได้เต็มที่
ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ที่ระบบซับแรงกระแทก
หนึ่งในข้อดีของการซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า คือช่วยลดแรงกดที่ข้อเข่าและข้อเท้า ซึ่งเกิดจากการวิ่งบนพื้นแข็งอย่างถนนหรือคอนกรีต ระบบซับแรงกระแทกที่ดีจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บสะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือมีประวัติอาการเจ็บเข่า การเลือก ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่มีชั้นซับแรงที่ดีและหลายระดับหจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี
ลู่วิ่งไฟฟ้า พับเก็บได้เพื่อประหยัดพื้นที่
สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่มีฟังก์ชันพับเก็บถือว่าสำคัญมาก ปัจจุบันลู่วิ่งหลายรุ่นออกแบบให้พับเก็บง่ายด้วยระบบไฮดรอลิกที่ช่วยลดแรงยก บางรุ่นยังเคลื่อนย้ายสะดวกด้วยล้อ ทำให้จัดเก็บหลังใช้งานได้โดยไม่เกะกะพื้นที่ภายในบ้าน
การรับประกัน ลู่วิ่งไฟฟ้า และบริการหลังการขาย
การเลือกซื้อไม่ควรมองแค่ฟังก์ชั่น การใช้งานของ ลู่วิ่งไฟฟ้า เท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงการบริการหลังการขายด้วย ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ดีควรมาพร้อมการรับประกันมอเตอร์อย่างน้อย 5 ปี และโครงสร้าง 1 ปี อีกทั้งควรมีศูนย์บริการหรือทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมดูแล เพราะแม้แต่เครื่องที่มีโครงสร้างแข็งแรงก็ยังต้องการการซ่อมบำรุงในระยะยาว
การแสดงข้อมูลระหว่างวิ่ง
หน้าจอแสดงผลคือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามความก้าวหน้าได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง ความเร็ว ระดับความชัน เวลา แคลอรี่ที่เผาผลาญ หรือแม้แต่การวัดอัตราการเต้นหัวใจ ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นที่มีหน้าจอ LED หรือ LCD ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การวิ่งให้สนุกมากขึ่น
ลู่วิ่งไฟฟ้า ยอดนิยมของ Run At Home
เมื่อพูดถึงการเลือกซื้อ ลู่วิ่งไฟฟ้า หลายคนมักกังวลว่าจะเลือกรุ่นไหนดีให้เหมาะกับการใช้งานจริง Run At Home ได้คัดสรรรุ่นที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นจนถึงนักวิ่งมืออาชีพ โดยทุกรุ่นผ่านการทดสอบใช้งานจริง และได้รับการรีวิวที่ดีจากลูกค้าจำนวนมาก
หนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงคือ ลู่วิ่งไฟฟ้า Treadmill รุ่น A1 ซึ่งออกแบบมาให้กะทัดรัด เหมาะกับผู้ที่อาศัยในคอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด สามารถพับเก็บได้ง่าย แต่ยังคงฟังก์ชันครบ เช่น การปรับความเร็ว ความชันและการแสดงผลข้อมูลระหว่างวิ่ง
สำหรับผู้ที่ต้องการความแข็งแรงมากขึ้นและใช้งานต่อเนื่อง ลู่วิ่งไฟฟ้า Treadmill รุ่น A5 ถือว่าตอบโจทย์ เพราะมาพร้อมมอเตอร์กำลังสูง 5 แรงม้า ระบบซับแรงกระแทกที่ดี และพื้นที่วิ่งกว้าง ทำให้รองรับการซ้อมวิ่งได้อย่างสบาย
นอกจากนี้ ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นที่ใกล้เคียงมาตรฐานฟิตเนส ทาง Run At Home ขอแนะนำ ลู่วิ่งไฟฟ้า Treadmill รุ่น X20 ที่ใช้มอเตอร์ AC ขาด 4.5 แรงม้า แข็งแรง ทนทาน เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องที่นานหรือนักวิ่งที่ต้องการความจริงจังตลอดการฝึก พร้อมติดตั้งหน้าจอแสดงผลใหญ่และโปรแกรมการวิ่งที่หลากหลาย จึงเป็นรุ่นที่ทั้งมือใหม่และนักวิ่งเลือกใช้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สำหรับผู้เริ่มต้นแนะนำให้วิ่งหรือเดินเร็วบนลู่วิ่งไฟฟ้า วันละ 20-30 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับตัว ส่วนผู้ที่มีเป้าหมายลดน้ำหนักหรือเพิ่มความฟิต สามารถเพิ่มเป็น 45-60 นาทีต่อวันได้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพและจุดประสงค์ของการฝึก
ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นพับเก็บได้ถูกออกแบบมาเพื่อประหยัดพื้นที่ เหมาะกับใช้งานในบ้าน โครงสร้างมีความทนทานที่เพียงพอ แต่ถ้าใช้งานหนักหลายชั่วโมงต่อวัน ควรเลือก ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่นที่ใหญ่กว่าที่พับเก็บไม่ได้เพื่อความแข็งแรงที่มากกว่า
ถ้าใช้งาน ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่บ้านเป็นหลักและวิ่งไม่เกิน 1 - 2 ชั่วโมง/วัน มอเตอร์ DC ก็เพียงพอ เสียงเบาและราคาย่อมเยากว่า แต่ถ้าเน้นการใช้งานต่อเนื่องหรือใช้ในฟิตเนส มอเตอร์ AC จะทนทานและรองรับได้ดีกว่าในระยะยาว
ควรเช็ดทำความสะอาดสายพานเป็นประจำ ตรวจเช็กแรงดึงสายพาน และหยอดน้ำมันหล่อลื่นตามคำแนะนำจากทีมช่างมืออาชีพ (เฉลี่ยควรหยอดทุกๆ 2-3 เดือน) การดูแลสม่ำเสมอช่วยยืดอายุการใช้งานและลดปัยหาลู่วิ่งเกิดความเสียหาย
ควรเลือกจากร้านที่มีรีวิวดี มีหน้าร้านเข้าไปเลือกดูลู่วิ่งไฟฟ้า มีบริการหลังการขายชัดเจน และมีทีมช่างที่พร้อมดูแลถึงบ้าน ที่สำคัญต้องตรวจสอบว่ามีการรับประกันมอเตอร์และโครงสร้าง เพื่อความมั่นใจในการใช้งานระยะยาว