Tempo Run คืออะไร? วิ่งเทมโปคืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

Tempo Run คืออะไร? วิ่งเทมโปคืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

สำหรับนักวิ่งที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปอีกระดับ การฝึกซ้อมแบบ Tempo Run หรือ วิ่งเทมโป เป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับจากนักวิ่งและโค้ชระดับโลกว่ามีประสิทธิภาพสูง แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าแท้จริงแล้วการวิ่งแบบนี้คืออะไร และทำไมถึงสำคัญนัก บทความนี้จะไขทุกข้อสงสัยและเผยความลับที่จะช่วยให้คุณก้าวกระโดดในการพัฒนาฝีเท้าของตัวเอง

สารบัญ

เข้าใจพื้นฐาน Tempo Run กันก่อน

หากคุณเป็นนักวิ่งที่ต้องการพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น คำว่า “วิ่งเทมโป” หรือ “Tempo Run” คงเป็นคำที่คุณได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า วิ่งเทมโป คืออะไร? ทำไมนักวิ่งมืออาชีพถึงให้ความสำคัญกับการฝึกรูปแบบนี้

Dr. Jack Daniels (2023) ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาการวิ่งและโค้ชระดับโลก ได้ให้นิยามว่า วิ่งเทมโป คือ การวิ่งที่จุด Lactate Threshold หรือจุดที่ร่างกายเริ่มสะสมกรดแลคติกในกระแสเลือด โดยเป็นความเร็วที่ท้าทายแต่ยังสามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่อง งานวิจัยล่าสุดจาก European Journal of Sport Science (2024) ยังพบว่า การวิ่งเทมโปเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาความอึดและความเร็วไปพร้อมกัน

การทำงานของร่างกายขณะ วิ่งเทมโป

เมื่อคุณวิ่ง Tempo ร่างกายของคุณจะทำงานในจุดที่เรียกว่า “Comfortably Hard” หมายถึง หนักพอที่จะรู้สึกท้าทาย แต่ไม่ถึงกับหอบ ที่ความเร็วระดับนี้ ร่างกายจะทำงานที่ประมาณ 80-85% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดในการพัฒนาความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือด

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังวิ่งเทมโปได้ถูกต้อง

วิธีง่ายๆ ในการประเมินว่าคุณกำลังวิ่งเทมโปได้ถูกต้องคือ “Talk Test” หรือการทดสอบการพูด ขณะวิ่งเทมโป 

  • สามารถพูดได้เป็นคำๆ หรือวลีสั้นๆ แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้
  • รู้สึกเหนื่อยในระดับ 7-8 จาก 10
  • หายใจหนักแต่ยังควบคุมจังหวะการหายใจได้
  • รู้สึกว่าวิ่งในความเร็วที่เร็วกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงกับสปรินต์

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิ่งเทมโป

การวิ่ง Tempo ไม่ได้เพียงแค่พัฒนาความเร็วเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมาย ตามที่ Sports Medicine Journal (2024) ได้รวบรวมไว้ ดังนี้:

1.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจน (VO2 Max) ทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้หนักขึ้นโดยใช้พลังงานน้อยลง

2.การพัฒนาความทนทานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อสามารถทำงานได้นานขึ้นโดยไม่ล้า

3.การเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตใจ เพราะการวิ่งเทมโปต้องใช้สมาธิและความอดทนสูง

4.การเผาผลาญไขมันที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ความหนักปานกลางค่อนข้างสูง

ระดับของการวิ่งเทมโปที่คุณควรรู้

การวิ่งเทมโปแบ่งออกเป็นสองระดับหลักที่แตกต่างกันตามความหนักและจุดประสงค์ในการฝึก การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง High Tempo และ Low Tempo จะช่วยให้คุณวางแผนการฝึกซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ

การวิ่งแบบ High Tempo

High Tempo หรือที่หลายคนเรียกว่า เทมโป เร็ว เป็นการวิ่งที่มีความเข้มข้นสูง โดยจะวิ่งที่ความเร็วใกล้เคียงกับความเร็วที่ใช้แข่งขัน 10 กิโลเมตร ในระดับนี้ร่างกายของคุณจะทำงานที่จุด Anaerobic Threshold หรือจุดที่ร่างกายเริ่มสะสมกรดแลคติก คุณจะรู้สึกเหนื่อยในระดับ 8 จาก 10 และสามารถพูดได้เพียงคำสั้นๆ เท่านั้น โดยทั่วไปนักวิ่งจะสามารถรักษาความเร็วระดับนี้ได้ประมาณ 20-40 นาที ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงของแต่ละคน

การวิ่งแบบ Low Tempo

Low Tempo หรือ Marathon Tempo เป็นการวิ่งเทมโปที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า แต่สามารถวิ่งได้นานกว่า ความเร็วในระดับนี้จะใกล้เคียงกับความเร็วที่ใช้วิ่งมาราธอน ตามหลักการของ Dr. Jack Daniels ร่างกายจะทำงานในโซน High Aerobic ที่ระดับความเหนื่อย 6-7 จาก 10 คุณจะยังสามารถพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้ การวิ่งที่ระดับ Low Tempo เหมาะสำหรับการพัฒนาความอดทนระยะยาวและการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระยะไกลอย่างฮาล์ฟมาราธอนหรือมาราธอน

การเลือกระดับเทมโปที่เหมาะสม

การเลือกระหว่าง High Tempo และ Low Tempo นั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการฝึกซ้อมของคุณ หากคุณกำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระยะ 5-10 กิโลเมตร การฝึก High Tempo จะเหมาะสมกว่า แต่หากคุณกำลังเตรียมตัวสำหรับมาราธอน การผสมผสานทั้ง High และ Low Tempo จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

สำหรับนักวิ่งมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วย Low Tempo ก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและสร้างพื้นฐานความอดทนที่ดี เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นไปสู่ High Tempo นักวิ่งควรใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ในการฝึก Low Tempo เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงก่อนที่จะเริ่มทดลองวิ่ง High Tempo

วิธีคำนวณความเร็ว Tempo ที่เหมาะสมกับคุณ

การหาความเร็วที่เหมาะสมสำหรับการวิ่งเทมโปนั้นเป็นเรื่องสำคัญ นักวิ่งส่วนใหญ่มักวิ่งเร็วเกินไปในช่วงแรก ทำให้ไม่สามารถรักษาความเร็วได้ตลอดการฝึกซ้อม การคำนวณความเร็วที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการวิ่ง Tempo

การคำนวณความเร็วจากเวลาวิ่ง 5K

ความเร็วในการวิ่งเทมโปที่เหมาะสมสามารถคำนวณได้จากเวลาวิ่ง 5K ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำและใช้งานได้จริง High Tempo ควรช้ากว่าความเร็ว 5K ของคุณประมาณ 15-20 วินาทีต่อกิโลเมตร ส่วน Low Tempo ควรช้ากว่า 30-40 วินาที

ตัวอย่างการคำนวณความเร็ว Tempo Run:

  • หากคุณวิ่ง 5K ได้ในเวลา 25 นาที (เพซ 5:00 นาที/กม.)
  • High Tempo ควรวิ่งที่เพซ 5:15-5:20 นาที/กม.
  • Low Tempo ควรวิ่งที่เพซ 5:30-5:40 นาที/กม.

การปรับความเร็วตามระยะทางเป้าหมาย

สำหรับนักวิ่งที่เตรียมตัวแข่งขัน ความเร็วเทมโปควรสัมพันธ์กับระยะทางเป้าหมาย ดังนี้:

การเตรียมตัวสำหรับ 5K

ควรวิ่ง High Tempo ที่เพซช้ากว่าเป้าหมายการแข่งขัน 10-15 วินาทีต่อกิโลเมตร ระยะเวลา 20-25 นาที

การเตรียมตัวสำหรับ 10K 

ใช้ความเร็ว High Tempo ที่ช้ากว่าเป้าหมายการแข่งขัน 15-20 วินาที ระยะเวลา 25-30 นาที

การเตรียมตัวสำหรับ ฮาล์ฟมาราธอน

ผสมผสานระหว่าง High และ Low Tempo โดยเริ่มจาก Low Tempo 40-45 นาที และค่อยๆ เพิ่มความเร็วในช่วงท้าย

การเตรียมตัวสำหรับ มาราธอน

เน้น Low Tempo ที่ใกล้เคียงกับความเร็วเป้าหมายในการแข่งขัน ระยะเวลา 45-60 นาที

การปรับความเร็วตามสภาพแวดล้อม

ความเร็วในการวิ่งเทมโปไม่ควรตายตัว ควรปรับตามปัจจัยแวดล้อม เช่น

  • อุณหภูมิและความชื้น ในวันที่อากาศร้อนหรือชื้น ควรลดความเร็วลง 10-15 วินาทีต่อกิโลเมตร
  • สภาพภูมิประเทศ บนเส้นทางที่มีเนินหรือทางขึ้นลง ให้โฟกัสที่ระดับความพยายามมากกว่าความเร็ว
  • คุณภาพการนอน หากคุณนอนไม่เพียงพอหรือร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ควรลดความเร็วลงหรือเปลี่ยนเป็นการวิ่งเบาแทน

เทคนิคการหายใจขณะวิ่งเทมโป

การหายใจถือเป็นทักษะสำคัญสำหรับการวิ่งเทมโป เพราะในขณะที่คุณวิ่งด้วยความเร็วที่ท้าทาย ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้นกว่าปกติ การหายใจที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เหนื่อยเร็วและไม่สามารถรักษาความเร็วได้ตามเป้าหมาย ตามการศึกษาด้านสรีรวิทยาการกีฬาล่าสุด การหายใจที่มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มความอึดได้ถึง 20%

หลักการหายใจขณะวิ่งเทมโป

การหายใจที่ถูกต้องสำหรับการวิ่งเทมโปควรเป็นการหายใจแบบกระบังลม หายใจลึกจนท้องป่อง ไม่ใช่แค่หายใจตื้นๆ ที่หน้าอก วิธีนี้จะช่วยให้ปอดได้รับออกซิเจนมากขึ้น

สำหรับ High Tempo การหายใจควรเป็นจังหวะ 2:2 คือ หายใจเข้าสองก้าว หายใจออกสองก้าว ส่วน Low Tempo อาจใช้จังหวะ 3:3 ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า

เทคนิคการจัดการเมื่อหอบ

เมื่อเริ่มรู้สึกหอบขณะวิ่งเทมโป ไม่ควรหยุดทันที แต่ให้ใช้เทคนิค “Reset Breathing” ดังนี้

  1. ลดความเร็วลงเล็กน้อย แต่ไม่หยุดวิ่ง
  2. หายใจออกยาวๆ และแรงๆ เพื่อระบายคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอด
  3. เริ่มจังหวะการหายใจใหม่ โดยเน้นการหายใจออกให้สุด ก่อนหายใจเข้า
  4. สีเมื่อจังหวะการหายใจกลับมาปกติ จึงค่อยๆ เพิ่มความเร็วกลับสู่ระดับเทมโป

การฝึกการหายใจนอกเวลาวิ่ง

การพัฒนาการหายใจสำหรับวิ่งเทมโปไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตอนวิ่งเท่านั้น คุณสามารถฝึกในชีวิตประจำวันได้ดังนี้

  • ฝึกการหายใจแบบกระบังลมขณะนอนราบ โดยวางมือบนท้อง สังเกตการเคลื่อนไหวขึ้นลงของท้อง ทำวันละ 5-10 นาที
  • ฝึกการหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ ระหว่างทำกิจกรรมประจำวัน เช่น เดิน หรือขึ้นบันได
  • ฝึกการหายใจแบบจำกัดเวลา โดยหายใจเข้า 4 วินาที กลั้นหายใจ 4 วินาที และหายใจออก 4 วินาที ทำซ้ำ 10 รอบ

การวอร์มอัพและคูลดาวน์สำหรับวิ่ง Tempo

การวอร์มอัพและคูลดาวน์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากสำหรับการวิ่งเทมโป เพราะเป็นการวิ่งที่ต้องใช้ความเร็วและความพยายามสูง การเตรียมร่างกายที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและทำให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพสูงสุด นักวิ่งหลายคนมักมองข้ามขั้นตอนเหล่านี้ ทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควรหรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

การวอร์มอัพก่อนวิ่งเทมโปอย่างถูกวิธี

การวอร์มอัพที่ดีควรใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ซึ่งอาจดูเหมือนเสียเวลา แต่มันคือการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับการฝึกซ้อมที่มีคุณภาพ โดยแบ่งเป็นช่วงต่างๆ ดังนี้:

ช่วงเริ่มต้น (8-10 นาที): เริ่มด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ ที่ความเร็วประมาณ 60% ของความเร็วเทมโป ในช่วงนี้ให้โฟกัสที่การผ่อนคลายกล้ามเนื้อและการหายใจที่สม่ำเสมอ สังเกตว่าร่างกายเริ่มอบอุ่นขึ้น มีเหงื่อซึมเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเริ่มคล่องแคล่วขึ้น

ช่วงกลาง (5-7 นาที): เพิ่มความเร็วขึ้นเป็น 70-75% ของความเร็วเทมโป ในช่วงนี้ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่โหมดการทำงานที่สูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น การหายใจถี่ขึ้น แต่ยังควบคุมได้ดี เป็นช่วงที่กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ เริ่มทำงานประสานกันอย่างเต็มที่

ช่วงท้าย (3-5 นาที): ทำ Dynamic Strides หรือการวิ่งเร่งระยะสั้น 4-6 ครั้ง ครั้งละ 20-30 วินาที โดยแต่ละครั้งให้วิ่งที่ความเร็วประมาณ 90-95% ของความเร็วเทมโป และพักเดินหรือวิ่งเบาๆ ระหว่างรอบ 45-60 วินาที การทำ Strides จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อให้พร้อมสำหรับการวิ่งเร็ว

การคูลดาวน์หลังวิ่งเทมโปอย่างมีประสิทธิภาพ

การคูลดาวน์ที่ดีควรใช้เวลาอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวกลับสู่สภาวะปกติ:

ช่วง 5 นาทีแรก: หลังจบช่วงเทมโป ให้ค่อยๆ ลดความเร็วลงเหลือประมาณ 70% ของความเร็วเทมโป การลดความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดการคั่งของกรดแลคติกในกล้ามเนื้อ

5-10 นาทีต่อมา: ลดความเร็วลงอีกเหลือประมาณ 50-60% ของความเร็วเทมโป ในช่วงนี้ให้สังเกตการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจที่ค่อยๆ ลดลง รวมถึงความรู้สึกของกล้ามเนื้อที่เริ่มผ่อนคลาย

5 นาทีสุดท้าย: จบด้วยการเดินเร็วหรือวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ จนกระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจกลับสู่ระดับปกติ ประมาณ 50% ของอัตราการเต้นสูงสุด

หลังคูลดาวน์: ทำการยืดกล้ามเนื้อแบบ Static Stretching เน้นกลุ่มกล้ามเนื้อหลักที่ใช้ในการวิ่ง:

  • น่องและแอคิลลีส (ถือยืด 30 วินาที x 2 รอบ)
  • กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง (30 วินาที x 2 รอบ)
  • สะโพกและหลัง (30 วินาที x 2 รอบ)

ความแตกต่างระหว่าง Tempo Run กับการวิ่งรูปแบบอื่น

เพื่อให้เข้าใจการวิ่งเทมโปอย่างลึกซึ้ง เราจำเป็นต้องเข้าใจว่ามันแตกต่างจากการวิ่งรูปแบบอื่นอย่างไร ความเข้าใจนี้จะช่วยให้คุณวางแผนการฝึกซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเลือกใช้รูปแบบการวิ่งได้เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ

การเปรียบเทียบ Tempo Run กับ Interval Training

วิ่งเทมโปและ Interval มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านรูปแบบและความเข้มข้น การวิ่งเทมโปเน้นการรักษาความเร็วระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน มักจะอยู่ที่ประมาณ 20-40 นาที ในระดับความเร็วที่ท้าทายแต่ยังควบคุมได้ ในขณะที่ Interval เป็นการสลับระหว่างช่วงวิ่งเร็วและช่วงพัก ซึ่งในช่วงวิ่งเร็วจะใช้ความเร็วสูงกว่าเทมโป แต่ทำในระยะเวลาสั้นๆ เช่น วิ่งเร็ว 400 เมตร สลับกับการพักด้วยการวิ่งเบาหรือเดิน

ความแตกต่างระหว่าง Tempo Run และ Easy Run

Easy Run เป็นการวิ่งที่ใช้ความพยายามน้อยกว่าวิ่งเทมโปอย่างเห็นได้ชัด ในระหว่าง Easy Run คุณสามารถพูดคุยได้เป็นประโยคยาวๆ ใช้ความพยายามประมาณ 50-60% ของความสามารถสูงสุด เหมาะสำหรับวันฟื้นฟูร่างกายและการสร้างพื้นฐานความอดทน ในทางตรงกันข้าม วิ่งเทมโปใช้ความพยายามประมาณ 80-85% ทำให้พูดได้เพียงคำสั้นๆ เท่านั้น และมุ่งเน้นการพัฒนาความเร็วและความอดทนควบคู่กัน

การเปรียบเทียบ Tempo Run กับ Long Run

Long Run และวิ่งเทมโปมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน Long Run เน้นการวิ่งระยะไกลด้วยความเร็วต่ำกว่าเทมโปมาก มักใช้เวลา 90 นาทีขึ้นไป โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างความอดทนระยะยาวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในขณะที่วิ่งเทมโปมีระยะเวลาสั้นกว่าแต่เน้นความเข้มข้นสูงกว่า เพื่อพัฒนาความเร็วที่สามารถรักษาได้นานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจนของร่างกาย

รูปแบบการวิ่ง ความเข้มข้น (% ของความพยายามสูงสุด) ระยะเวลา การหายใจ/การพูด เป้าหมายหลัก
Tempo Run 80-85% 20-40 นาที พูดได้เป็นคำสั้นๆ พัฒนาความเร็วและความอดทนพร้อมกัน
Interval Training 90-95% 1-5 นาที ต่อรอบ พูดแทบไม่ได้ เพิ่มความเร็วสูงสุด
Easy Run 50-60% 30-60 นาที พูดคุยได้สบาย ฟื้นฟูร่างกาย สร้างพื้นฐาน
Long Run 60-70% 90+ นาที พูดคุยได้เป็นประโยค สร้างความอดทนระยะยาว
รูปแบบการวิ่ง อัตราการเต้นของหัวใจ ความถี่ในการฝึก/สัปดาห์ การฟื้นตัวที่ต้องการ ระดับความเหมาะสม
Tempo Run 160-175 bpm 1-2 ครั้ง 48 ชั่วโมง นักวิ่งระดับกลาง-สูง
Interval Training 175-190 bpm 1-2 ครั้ง 72 ชั่วโมง นักวิ่งระดับกลาง-สูง
Easy Run 130-150 bpm 3-4 ครั้ง 24 ชั่วโมง ทุกระดับ
Long Run 140-160 bpm 1 ครั้ง 72 ชั่วโมง นักวิ่งทุกระดับที่มีพื้นฐาน

หมายเหตุ

  • ค่าอัตราการเต้นของหัวใจเป็นค่าประมาณสำหรับนักวิ่งอายุ 30-40 ปี
  • ความถี่ในการฝึกขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงและเป้าหมายของแต่ละคน
  • ควรปรึกษาโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับโปรแกรมให้เหมาะกับตัวคุณ

ตารางนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและความแตกต่างของแต่ละรูปแบบการวิ่งได้ชัดเจนขึ้น สามารถนำไปวางแผนการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณได้

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิ่งเทมโป

Q: วิ่งเทมโป คือ อะไร?

A: วิ่งเทมโป คือการวิ่งที่ระดับความเร็วที่ท้าทายแต่สามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ประมาณ 80-85% ของความเร็วสูงสุด เป็นการวิ่งที่พูดได้แค่คำสั้นๆ แต่ยังไม่ถึงกับหอบ

Q: ควรวิ่งเทมโปกี่ครั้งต่อสัปดาห์?

A: สำหรับนักวิ่งทั่วไป แนะนำให้วิ่งเทมโป 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ

Q: วิ่งเทมโปต้องวิ่งนานแค่ไหน?

A: ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการวิ่งเทมโปคือ 20-40 นาที ไม่รวมการวอร์มอัพและคูลดาวน์ สำหรับมือใหม่ควรเริ่มที่ 15-20 นาทีก่อน

Q: วิ่งเทมโปควรเริ่มต้นอย่างไร?

A: ควรเริ่มจากการวอร์มอัพ 15-20 นาที จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความเร็วจนถึงระดับเทมโป โดยเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆ และค่อยๆ เพิ่มขึ้น

Q: วิ่งเทมโปแตกต่างจาก Interval อย่างไร?

A: วิ่งเทมโปเน้นการรักษาความเร็วคงที่ต่อเนื่อง ในขณะที่ Interval เป็นการสลับระหว่างช่วงวิ่งเร็วและช่วงพัก

Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าวิ่งเทมโปถูกความเร็ว?

A: คุณจะรู้ว่าวิ่งถูกความเร็วเมื่อสามารถพูดได้เป็นคำสั้นๆ แต่ไม่สามารถพูดเป็นประโยคยาวได้ และรู้สึกเหนื่อยในระดับ 7-8 จาก 10

Q: ควรวอร์มอัพก่อนวิ่งเทมโปนานแค่ไหน?

A: ควรวอร์มอัพอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการวิ่งที่ความเร็วสูง

Q: วิ่งเทมโปช่วยเพิ่มความเร็วได้จริงหรือไม่?

A: ใช่ วิ่งเทมโปช่วยพัฒนาทั้งความเร็วและความอดทน เพราะเป็นการฝึกที่จุด Lactate Threshold ซึ่งช่วยให้ร่างกายทนต่อความเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น

Q: มือใหม่ควรเริ่มวิ่งเทมโปเมื่อไหร่?

A: ควรมีพื้นฐานการวิ่งอย่างน้อย 3-4 เดือน และสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 30 นาทีขึ้นไปก่อนเริ่มฝึกวิ่งเทมโป

Q: ควรกินอาหารก่อนวิ่งเทมโปหรือไม่?

A: ควรทานอาหารมื้อเบาๆ ก่อนวิ่งเทมโป 2-3 ชั่วโมง เน้นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอ

บทสรุป: เริ่มต้นวิ่งเทมโปอย่างชาญฉลาด

การวิ่งเทมโปเป็นเทคนิคการฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนาทั้งความเร็วและความอดทน การเริ่มต้นอย่างถูกวิธีและค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการฝึกซ้อม จำไว้ว่าทุกคนมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรฟังสัญญาณจากร่างกายและปรับแผนการฝึกซ้อมให้เหมาะสมกับตัวคุณเอง

การวิ่งเทมโปที่ประสบความสำเร็จไม่ได้วัดจากความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความสม่ำเสมอและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นจากพื้นฐานที่ดี ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น และที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสมดุลระหว่างการฝึกซ้อมและการพักฟื้น เมื่อทำได้ครบถ้วนตามนี้ คุณจะเห็นการพัฒนาทั้งในด้านความเร็ว ความอดทน และความแข็งแกร่งทางจิตใจ ซึ่งจะช่วยให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายในการวิ่งได้อย่างมั่นใจ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *