Virtual Run คืออะไร? แค่ใส่รองเท้า วิ่ง แล้วได้เหรียญ จริงเหรอ?

“Virtual Run คือการวิ่งแข่งรูปแบบใหม่ที่คุณไม่ต้องไปที่สนามจริง แต่วิ่งที่ไหนก็ได้ตามระยะที่กำหนด แล้วส่งหลักฐานการวิ่งผ่านแอปหรือเว็บไซต์ เพื่อรับเหรียญหรือเสื้อเหมือนงานวิ่งทั่วไป”

จริงๆ แล้ว Virtual Run ไม่ใช่แค่เรื่องของการได้เหรียญง่ายๆ นะครับ มันคือรูปแบบการวิ่งที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในงานวิ่งได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง โรงแรม หรือตารางเวลาที่แน่นอน

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมเริ่มต้นขายลู่วิ่งและพบว่าลูกค้าหลายคนซื้อไปแล้วไม่ค่อยใช้ เพราะขาดแรงจูงใจ พอแนะนำให้ลองสมัคร Virtual Run ปรากฏว่าหลายคนกลับมาวิ่งอย่างสม่ำเสมอ เพราะมีเป้าหมายชัดเจน ลูกค้าคนหนึ่งบอกผมว่า “หมิง เมื่อก่อนวิ่งแค่ 1-2 กม.ก็เลิกแล้ว แต่พอรู้ว่าต้องทำให้ครบ 10K ถึงจะได้เหรียญ ผมก็วิ่งจนครบ แถมสนุกด้วย”

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่าการมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงเพิ่มโอกาสในการออกกำลังกายสม่ำเสมอถึง 80% เทียบกับคนที่แค่ “อยากเฟิร์ม อยากผอม” แบบกว้างๆ ตรงนี้เป็นจุดแข็งของ Virtual Run ที่ให้ทั้งเป้าหมาย (ระยะทาง) และรางวัล (เหรียญ) ที่จับต้องได้

Virtual Run ต่างจากการวิ่งทั่วไปยังไง?

“ความแตกต่างหลักคือความยืดหยุ่น Virtual Run ให้คุณเลือกเวลา สถานที่ เส้นทาง และวิธีการวิ่งได้เอง ไม่มีการปิดถนน ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องแย่งซื้อบัตร และสามารถแบ่งระยะวิ่งเป็นหลายครั้งได้”

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีนัดกินข้าวกับลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปเกือบปี เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมเพิ่งจบ Virtual Run 42K ครั้งแรก ทั้งที่ไม่เคยวิ่งเกิน 10K มาก่อน” ผมงงมาก ถามว่าทำได้ยังไง เขาบอกว่าแบ่งวิ่งวันละ 3-5 กิโลเมตร ใช้เวลาเกือบเดือน แต่ก็ทำสำเร็จ

นี่คือความแตกต่างหลักของ Virtual Run ครับ 

  1. ความยืดหยุ่นเรื่องเวลา – วิ่งตอนไหนก็ได้ภายในช่วงที่กำหนด บางงานให้เวลาถึง 1-3 เดือน
  2. เลือกสถานที่ได้เอง – จะวิ่งในสวน บนลู่วิ่ง หรือรอบหมู่บ้านก็ได้
  3. แบ่งระยะทางได้ – ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้จบในครั้งเดียว บางงานอนุญาตให้สะสมระยะได้
  4. ไม่มีการแข่งขันด้านเวลา – เน้นที่การบรรลุเป้าหมายระยะทางมากกว่าความเร็ว
  5. ไม่มีข้อจำกัดด้านจำนวนผู้เข้าร่วม – ทุกคนสามารถสมัครได้ ไม่มีโควต้าเต็ม

ผมเคยคุยกับโค้ชวิ่งระดับประเทศ เขาบอกว่า “Virtual Run ทำให้กีฬาวิ่งเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เร็วแค่ไหน หรือมีรายได้เท่าไร”

วิ่งอยู่บ้านก็ได้เสื้อ ได้เหรียญจริงไหม?

“จริงครับ เมื่อคุณวิ่งตามระยะทางที่กำหนดและส่งหลักฐานการวิ่ง คุณจะได้รับเสื้อและเหรียญจริงส่งตรงถึงบ้าน เหรียญมีคุณภาพเทียบเท่าหรือบางทีดีกว่างานวิ่งทั่วไปด้วยซ้ำ”

ผมยังจำได้ดีตอนลูกสาววัย 12 ขวบของผมถามว่า “พ่อคะ หนูวิ่งบนลู่ที่บ้านแล้วจะได้เหรียญแบบที่พ่อได้จากงานวิ่งจริงๆ เหรอ?” ผมพยักหน้าแล้วชวนเธอสมัคร Kids Virtual Run ด้วยกัน

สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจคือคุณภาพของเหรียญและเสื้อจากงาน Virtual Run หลายงาน ผมเคยได้รับเหรียญที่มีน้ำหนักและรายละเอียดสวยงามมาก บางครั้งยังดีกว่าเหรียญจากบางงานวิ่งจริงที่ผมเคยไปด้วยซ้ำ

กระบวนการรับเหรียญและเสื้อง่ายมาก 

  1. วิ่งให้ครบระยะทางตามที่กำหนด
  2. บันทึกผลการวิ่งผ่านแอปที่กำหนด (เช่น Strava, Garmin, Zwift)
  3. อัพโหลดหลักฐานการวิ่งบนเว็บไซต์ของผู้จัดงาน
  4. รอรับเสื้อและเหรียญทางไปรษณีย์ ส่วนใหญ่ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์หลังจบงาน

วิธีส่งหลักฐานไม่ยากเลย ส่วนใหญ่แค่ถ่ายหน้าจอแอปที่แสดงระยะทางและเวลา ส่งให้ผู้จัดงาน หรือบางงานให้เชื่อมต่อบัญชี Strava หรือ Garmin โดยตรง ง่ายมากๆ

 

ทำไม Virtual Run ถึงฮิต? วิ่งได้ทุกที่แม้ในห้องนอน

“Virtual Run ฮิตเพราะมันตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ชีวิตยุ่ง แต่ยังอยากดูแลสุขภาพ คุณเลือกเวลาและสถานที่ได้เอง ไม่ว่าจะตี 3 ในห้องนอน หรือ 6 โมงเย็นในสวน ที่สำคัญคือมีแรงกระตุ้นจากเหรียญและชุมชนออนไลน์ทั่วประเทศ”

ต้องบอกตามตรงว่าผมไม่เคยคิดว่า Virtual Run จะมาไกลขนาดนี้ ย้อนกลับไปเมื่อสัก 5 ปีก่อน ผมยังมองมันเป็นทางเลือกสุดท้ายของคนที่ไปงานวิ่งจริงไม่ได้เท่านั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการวิ่งที่มีเอกลักษณ์

เมื่อปีที่แล้ว ผมได้คุยกับลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปคนหนึ่ง เธอเป็นหมอที่ทำงานเข้าเวรสลับกันไปมา ชีวิตไม่มีแพทเทิร์นที่แน่นอน “พี่หมิง งานวิ่งปกติจัดวันเสาร์-อาทิตย์เช้าๆ ตรงกับเวรผมตลอด แต่พอมี Virtual Run ผมรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นนักวิ่งอีกครั้ง ได้ลงแข่งแบบไม่ต้องลางาน”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ผมได้อ่านงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ในปี 2023 ที่ศึกษาเทรนด์การออกกำลังกายช่วงหลังโควิด พบว่า 64% ของคนที่เริ่มออกกำลังกายในช่วงล็อคดาวน์ ยังคงเลือกออกกำลังกายที่บ้านเป็นหลัก แม้ว่าฟิตเนสและสวนสาธารณะจะเปิดแล้วก็ตาม เหตุผลหลักคือ ความสะดวกและการประหยัดเวลาเดินทาง

ที่สนุกคือ Virtual Run กำลังทำให้คนที่ไม่เคยวิ่งเลยหันมาวิ่งมากขึ้น เพราะไม่มีแรงกดดันว่าต้องเร็ว ต้องเก่ง หรือต้องดูดีเหมือนตอนไปงานวิ่งจริง จากข้อมูลที่ผมเก็บจากลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปกว่า 1,000 เครื่อง พบว่า 72% ของลูกค้าที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน มักจะเริ่มต้นด้วย Virtual Run มากกว่างานวิ่งจริง

ไม่ต้องออกนอกบ้านก็วิ่งได้

“นี่คือจุดแข็งหลักของ Virtual Run ที่ไม่มีกีฬาไหนเทียบได้ คุณอยู่ที่ไหนก็วิ่งได้ ฝนตกหนัก? วิ่งในบ้าน อากาศร้อนเกิน 40 องศา? เปิดแอร์วิ่งในห้อง ปลอดภัยกว่า สบายกว่า แต่ยังได้เหงื่อและเหรียญเหมือนกัน”

ประสบการณ์ที่ทำให้ผมเชื่อในพลังของการวิ่งที่บ้านคือช่วงที่ลูกค้าคนหนึ่งโทรมาขอบคุณผม เธออายุ 58 ปี เพิ่งเริ่มวิ่งด้วยการลง Virtual Run แล้ววิ่งบนลู่วิ่งที่บ้าน “พี่หมิง ถ้าไม่มีลู่วิ่งกับ Virtual Run หนูคงไม่ได้วิ่งเลย เพราะกลัวไปวิ่งข้างนอกคนเดียว กลัวหมาไล่ กลัวรถ แต่ตอนนี้วิ่งที่บ้านทุกวัน สนุกมาก”

ลู่วิ่งที่บ้านเป็นเพื่อนคู่กันที่ลงตัวกับ Virtual Run มาก ผมมีลูกค้าหลายคนที่ไม่เคยวิ่งเลยในชีวิต แต่พอซื้อลู่วิ่งแล้วลง Virtual Run เป็นแรงจูงใจ กลายเป็นวิ่งทุกวัน ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศ มลพิษ ความปลอดภัย หรือแม้แต่ความเขินอาย

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ร่วม Virtual Run กับทีมลูกค้าประจำของผม เราตั้งกลุ่มไลน์แล้วแชร์ภาพการวิ่งกันทุกวัน คุณเชื่อไหมว่า ในกลุ่ม 12 คน มี 8 คนวิ่งที่บ้าน อีก 4 คนวิ่งที่สวนใกล้บ้าน แต่ทุกคนวิ่งครบระยะและกลายเป็นมิตรภาพที่ดีมาก

และถ้าคุณกังวลว่าวิ่งบนลู่จะน่าเบื่อ ลองเทียบกับการยืนรอต่อคิวที่จุดสตาร์ท 2 ชั่วโมง เจอแดดร้อน ฝนตก หรือเบียดกับคนนับพันดูครับ บางครั้งการเปิดเพลงโปรดแล้ววิ่งสบายๆ ในห้องแอร์ก็มีเสน่ห์ในแบบของมันเหมือนกัน

มีเป้าหมาย มีเส้นชัย แม้ไม่มีสนาม

“Virtual Run ไม่ได้แค่ให้คุณวิ่ง แต่ให้คุณวิ่งอย่างมีเป้าหมาย มีกำหนดเวลา มีระยะทางที่ท้าทาย มีเส้นชัยที่รออยู่ เหมือนงานวิ่งจริง แต่คุณเป็นคนกำหนดเส้นทางและจุดสตาร์ทเอง”

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้คนวิ่งต่อเนื่องไม่ใช่แค่ใจรัก แต่เป็น “เป้าหมายที่ชัดเจน” และ “รางวัลที่จับต้องได้” Virtual Run มอบสิ่งนี้ได้อย่างครบถ้วน

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมทำงานหนักมาก แทบไม่มีเวลาวิ่ง จนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว วันหนึ่งผมเห็นงาน Virtual Run ชื่อ “Run for Better Life” เป็นงานระยะ Half Marathon 21K ที่ให้เวลาวิ่งนานถึง 2 เดือน ผมเลยสมัครทันที ตั้งเป้าวิ่งวันละ 1-2K เพื่อให้ครบภายในเวลา

สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เมื่อมีเป้าหมายชัดเจน ผมเริ่มจัดตารางชีวิตใหม่ ตื่นเช้าขึ้น 30 นาทีเพื่อวิ่ง บางวันกลับบ้านดึกก็ยังฝืนวิ่งสัก 15 นาทีบนลู่ เพราะรู้ว่าถ้าข้ามวันเดียว ตารางการวิ่งจะพังหมด ในที่สุดผมก็วิ่งครบ 21K และกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง

เวลาผมแนะนำ Virtual Run ให้ลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไป ผมมักบอกเสมอว่า “ถ้าไม่มีเป้าหมาย ลู่วิ่งจะกลายเป็นราวตากผ้าราคาแพงในไม่ช้า” Virtual Run เป็นเหมือนโค้ชเสมือนจริงที่คอยกระตุ้นให้เราต้องวิ่ง เพราะมีเส้นตายชัดเจน และเมื่อวิ่งเสร็จ เรายังมีเหรียญสวยๆ มาเตือนใจถึงความสำเร็จด้วย

วิ่งลำพัง แต่ได้แรงบันดาลใจจากคนวิ่งทั่วประเทศ

“แม้จะวิ่งคนเดียว แต่คุณไม่ได้โดดเดี่ยว Virtual Run สร้างชุมชนออนไลน์ที่ทุกคนแชร์ผลการวิ่ง ให้กำลังใจกัน และสร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน บางครั้งจะรู้สึกเหมือนมีเพื่อนร่วมซ้อมอยู่ข้างๆ แม้จะอยู่คนละจังหวัด”

นี่คือมิติที่น่าทึ่งของ Virtual Run ที่คนไม่ค่อยพูดถึง – มันสร้างความรู้สึก “ร่วมด้วยช่วยกัน” แบบที่คาดไม่ถึง

เรื่องจริงเมื่อปีที่แล้ว มีลูกค้าซื้อลู่วิ่งรุ่น A3 ไปคนหนึ่ง เขามีน้ำหนักเกิน 120 กก. และไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย แต่ตัดสินใจลง Virtual Run 5K เป็นครั้งแรก ผมแอบกังวลว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า วันหนึ่งเขาส่งรูปการวิ่งมาให้ดู วิ่งได้แค่ 500 เมตรก็เหนื่อยมากแล้ว

ผมแนะนำให้เขาเข้ากลุ่ม Facebook ของงาน Virtual Run นั้น ปรากฏว่ามีคนเข้ามาให้กำลังใจเพียบ มีทั้งคนที่เคยมีน้ำหนักเกินเหมือนกัน มีคนแนะนำวิธีเริ่มต้น แบ่งปันประสบการณ์ หลังจากนั้น 1 เดือน เขาส่งรูปมาอีกครั้ง ครั้งนี้วิ่งได้ 5K เต็มๆ แล้ว ช้าแต่ทำได้สำเร็จ พร้อมข้อความว่า “ถ้าไม่มีกำลังใจจากคนในกลุ่ม ผมคงยอมแพ้ไปแล้ว”

Virtual Run ในไทยมีกลุ่มชุมชนที่แข็งแกร่งมาก กลุ่มใหญ่ๆ อย่าง “Virtual Run Thailand” มีสมาชิกเป็นแสนคน ทุกคนแชร์ภาพการวิ่ง เทคนิค อาหาร และให้กำลังใจกัน ผมเองก็ได้เพื่อนนักวิ่งหลายคนจากชุมชนแบบนี้ บางคนเราไม่เคยเจอหน้ากันเลย แต่วิ่งไปพร้อมกันหลายร้อยกิโลเมตรแล้ว

ที่ผมชอบมากคือการที่ Virtual Run มักมีธีมหรือเป้าหมายการระดมทุนเพื่อการกุศล เวลาเราเหนื่อยและอยากยอมแพ้ การรู้ว่าเรากำลังวิ่งเพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ช่วยให้มีแรงฮึดสู้ต่อได้

 

Virtual Run เหมาะกับใคร? มือใหม่ก็วิ่งได้ นักวิ่งสายจริงยิ่งต้องลอง

“Virtual Run เหมาะกับทุกคนจริงๆ ตั้งแต่มือใหม่หัดวิ่งที่ยังเขินอาย ไปจนถึงนักวิ่งมาราธอนที่ต้องการฝึกอย่างมีระบบ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับฟิตเนส สามารถหาความท้าทายที่เหมาะกับตัวเองได้ในโลกของ Virtual Run”

ผมเห็นทั้งคุณยายวัย 70 วิ่ง Virtual Run บนลู่วิ่งที่บ้าน และนักวิ่งอัลตร้ามาราธอนใช้ Virtual Run เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อม ความยืดหยุ่นของมันทำให้ทุกคนสามารถปรับให้เข้ากับตัวเองได้

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมาหลายพันเครื่อง ผมสังเกตว่ากลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จกับ Virtual Run มากที่สุดมี 3 กลุ่ม 

  1. มือใหม่ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน – Virtual Run เป็นการเริ่มต้นที่ปลอดภัย ไม่มีแรงกดดัน วิ่งช้าหรือเดินก็ได้ ไม่มีใครมองหรือตัดสิน
  2. คนวัยทำงานที่ชีวิตยุ่ง – สามารถจัดการเวลาได้เอง ไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เหมือนงานวิ่งทั่วไป
  3. นักวิ่งจริงจังที่ต้องการความท้าทายใหม่ๆ – หลายคนใช้ Virtual Run เป็นส่วนหนึ่งของการซ้อม หรือช่วงพักฟื้นหลังจากบาดเจ็บ

ผมเคยได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าที่เป็นหมอวัย 45 ปี เขาบอกว่า “ผมเพิ่งจบ Virtual Marathon ครั้งแรกในชีวิต ตอนแรกคิดว่าไม่มีทางทำได้ แต่พอแบ่งวิ่งวันละนิด สะสมไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็วิ่งครบ 42.195 กิโลเมตร รู้สึกภูมิใจมาก”

นี่คือเสน่ห์ของ Virtual Run ที่ทำให้ความฝันเรื่องการวิ่งมาราธอนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แม้แต่คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิ่งไกลๆ ได้

เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยลู่วิ่ง A1 หรือ A3

“สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น ผมแนะนำลู่วิ่งที่เรียบง่าย ใช้งานสะดวก ไม่ซับซ้อน ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ ลู่วิ่ง A1 และ A3 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะมีฟังก์ชันครบถ้วนสำหรับการวิ่ง Virtual Run แบบพื้นฐาน แถมยังพับเก็บง่าย ไม่กินพื้นที่ในบ้าน”

เมื่อ 3 เดือนก่อน มีครูประถมคนหนึ่งโทรมาปรึกษาผม เธอไม่เคยออกกำลังกายเลยในรอบ 10 ปี แต่ต้องการกลับมาดูแลสุขภาพ เลยอยากได้ลู่วิ่งไว้ที่บ้าน ผมถามว่า “มีเป้าหมายอะไรในการวิ่งไหม?” เธอบอกว่า “อยากเริ่มต้นด้วย Virtual Run 5K ค่ะ แต่ต้องค่อยๆ เริ่ม”

ผมแนะนำเธอซื้อลู่วิ่ง A1 ซึ่งมีความเร็วสูงสุดที่ 14.8 กม./ชม. เพียงพอสำหรับคนที่ยังไม่ได้วิ่งเร็วมาก ที่สำคัญมันรองรับเดินและเดินเร็วได้ดี ราคาไม่แพงเกินไป และพับเก็บได้สะดวก

หลังจากนั้น 2 เดือน เธอโทรมาบอกด้วยเสียงตื่นเต้นว่า “พี่หมิง หนูทำ Virtual Run 5K ได้แล้ว! เริ่มจากเดินอาทิตย์แรก แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นวิ่งสลับเดิน จนตอนนี้วิ่งได้ต่อเนื่องแล้ว” ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องราวแบบนี้ ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงชีวิตคน

สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากลูกค้ามือใหม่คือ พวกเขามักกลัวว่าจะซื้อลู่วิ่งมาแล้วใช้ไม่คุ้ม แต่เมื่อรู้จัก Virtual Run ความกังวลนี้หายไป เพราะมีเป้าหมายชัดเจน ผมเคยคุยกับทีมนักวิจัยสุขภาพที่ศึกษาพฤติกรรมการออกกำลังกาย พวกเขาบอกว่า “การมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ เพิ่มโอกาสในการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องถึง 78%”

ลู่วิ่ง A3 ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับมือใหม่ที่มีงบเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ด้วยมอเตอร์ที่แรงขึ้น (3.5 แรงม้า) และความเร็วสูงสุดที่ 16 กม./ชม. รวมถึงพื้นที่วิ่งที่กว้างขึ้น ทำให้รองรับคนที่ต้องการซ้อมหนักขึ้นได้ในอนาคต โดยไม่ต้องอัพเกรดลู่วิ่งบ่อยๆ

สายฟิตต้องลอง A5 / SONIC / X20

“สำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์และต้องการอุปกรณ์ที่รองรับการซ้อมหนัก ผมขอแนะนำลู่วิ่งรุ่น A5, SONIC หรือ X20 ที่มีมอเตอร์แรงกว่า พื้นที่วิ่งกว้างกว่า และฟังก์ชันเชื่อมต่อแอปที่หลากหลายกว่า เพื่อให้คุณสามารถซ้อม Virtual Run ได้เต็มประสิทธิภาพ”

ช่วงปลายปีที่แล้ว มีนักวิ่งมาราธอนคนหนึ่งมาที่ร้าน เขาบอกว่ากำลังมองหาลู่วิ่งเพื่อซ้อมช่วงฤดูฝนและช่วงที่อากาศแย่ๆ เขาถามผมว่า “ผมต้องการซ้อมเทมโพ (tempo run) ด้วยความเร็ว 16-18 กม./ชม. และต้องการทำ intervals ด้วย ลู่วิ่งรุ่นไหนรองรับได้ดีที่สุด?”

ผมแนะนำให้เขาลองลู่วิ่ง A5 ด้วยมอเตอร์ 5.0 แรงม้าที่รองรับความเร็วสูงสุดถึง 20 กม./ชม. พร้อมพื้นที่วิ่งกว้าง 58 ซม. ยาว 145 ซม. ซึ่งเพียงพอสำหรับคนตัวใหญ่และก้าวยาว

เรื่องที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้แค่ใช้ลู่วิ่งเพื่อซ้อมทั่วไป แต่ใช้ร่วมกับแอป Zwift ในการทำ Virtual Run ด้วย ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่งของการวิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก เขาเล่าให้ฟังว่า “บางวันผมไม่มีแรงจูงใจจะออกไปซ้อมเลย แต่พอนึกถึงตัวละครใน Zwift ที่ต้องเลเวลอัพ หรือเส้นทางใหม่ที่ยังไม่ได้ปลดล็อก ผมก็จูงใจตัวเองให้มาวิ่งได้”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ผมได้อ่านงานวิจัยในปี 2022 จากสถาบันกีฬาในยุโรปที่ศึกษาเกี่ยวกับ gamification ในการออกกำลังกาย พบว่า การเพิ่มองค์ประกอบคล้ายเกมในการออกกำลังกาย (เช่น เลเวล ความท้าทาย การสะสมแต้ม) เพิ่มแรงจูงใจในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้ถึง 63% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ออกกำลังกายแบบธรรมดา

สำหรับสายฟิตที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำสมัย รุ่น SONIC และ X20 ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่แพ้กัน ทั้งคู่รองรับการเชื่อมต่อแอปฝึกซ้อมหลายตัว เช่น Zwift, FITIME และอื่นๆ ทำให้คุณสามารถทำ Virtual Run ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งกับคนทั่วโลกแบบเรียลไทม์ หรือฝึกตามโปรแกรมที่กำหนดไว้

ที่ผมชอบเกี่ยวกับลู่วิ่ง X20 คือโครงสร้างที่แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ถึง 160 กก. และระบบความชันอัตโนมัติที่ปรับได้ถึง 15 ระดับ ซึ่งช่วยให้สามารถจำลองการวิ่งขึ้นเขาหรือทางลาดได้เหมือนการวิ่งข้างนอกจริงๆ

คนชอบซ้อมหนักแนะนำ CX8 ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ที่ใช้เกียร์ปรับแรงต้านได้

“ถ้าคุณเป็นนักวิ่งจริงจังที่ชอบความท้าทาย ผมขอแนะนำ CX8 ลู่วิ่งที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ที่คุณเป็นคนสร้างแรงขับเคลื่อนเอง เหมือนวิ่งในโลกจริง มีเกียร์ปรับแรงต้านถึง 8 ระดับ ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าปกติถึง 30%”

เมื่อปีที่แล้ว ผมมีโอกาสไปเยี่ยมชมค่ายฝึกนักกีฬาทีมชาติ เห็นพวกเขาใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าในการซ้อม โค้ชที่นั่นบอกว่า “ลู่วิ่งแบบนี้ฝึกการใช้แรงได้ดีกว่าลู่วิ่งไฟฟ้า เพราะนักกีฬาต้องออกแรงขับเคลื่อนสายพานเอง เหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ ไม่มีมอเตอร์มาช่วย”

นั่นทำให้ผมสนใจและนำลู่วิ่ง CX8 มาจำหน่าย สำหรับลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์การวิ่งที่ท้าทายกว่าลู่วิ่งทั่วไป

ลูกค้าคนหนึ่งของผม เป็นนักไตรกีฬา เขาบอกว่าหลังจากใช้ CX8 ได้ 3 เดือน เวลาออกไปวิ่งข้างนอกรู้สึกว่าวิ่งได้เร็วและทนกว่าเดิมมาก เพราะกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นจากการต้องออกแรงขับเคลื่อนลู่วิ่งเอง

สิ่งที่น่าสนใจคือระบบการปรับแรงต้าน 8 ระดับของ CX8 ทำให้คุณสามารถจำลองสภาพการวิ่งได้หลากหลาย ตั้งแต่วิ่งบนพื้นราบเรียบไปจนถึงการวิ่งขึ้นเขาชัน เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบทำ Virtual Run ที่มีเส้นทางหลากหลาย หรือต้องการซ้อมเฉพาะทางสำหรับการแข่งขันที่มีภูมิประเทศท้าทาย

ผมยังจำได้ว่ามีลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อ CX8 ไป เขาบอกว่า “ผมชอบมากที่ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ไม่มีเสียงมอเตอร์รบกวน และไม่ต้องกังวลเรื่องค่าไฟ” นี่เป็นข้อดีที่หลายคนมองข้าม ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าแบบ CX8 มีต้นทุนการใช้งานระยะยาวที่ต่ำกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป ไม่ต้องเสียค่าไฟ และมักจะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าเพราะไม่มีมอเตอร์ที่อาจเสียหายได้

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  มีการศึกษาในปี 2021 ที่เปรียบเทียบการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างลู่วิ่งไฟฟ้าและลู่วิ่งแบบไม่ใช้ไฟฟ้า พบว่า การวิ่งบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าประมาณ 20-30% เมื่อวิ่งด้วยความเร็วและเวลาเท่ากัน เนื่องจากผู้วิ่งต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนสายพานเอง

 

Virtual Run ซ้อมจริงจังได้ไหม หรือแค่ “กิจกรรมรับเสื้อ”?

“อย่าเข้าใจผิดว่า Virtual Run เป็นแค่กิจกรรมเบาๆ เพื่อรับเสื้อและเหรียญ จากประสบการณ์ 20 ปีในวงการวิ่ง ผมยืนยันได้ว่า Virtual Run สามารถใช้ซ้อมได้จริงจังไม่แพ้งานวิ่งจริง หากคุณมีวินัยและเครื่องมือที่เหมาะสม”

หลายคนมักมีคำถามนี้ในใจ – Virtual Run จริงจังพอไหม? คำตอบคือ “จริงจังแน่นอน ถ้าคุณตั้งใจให้มันจริงจัง”

ผมยังจำได้ดีตอนที่เพื่อนผมซึ่งเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยงหัวเราะเยาะเมื่อผมบอกว่ากำลังทำ Virtual Marathon “นั่นมันไม่ใช่มาราธอนจริงๆ หรอกหมิง มันแค่การวิ่งธรรมดาที่ได้เหรียญปลอมๆ” เขาว่าอย่างนั้น

แต่ผมได้พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาคิดผิด หลังจากซ้อม Virtual Marathon อย่างจริงจัง 3 เดือน บันทึกทุกการซ้อม ทำตามโปรแกรมอย่างเคร่งครัด เมื่อเราไปวิ่ง Bangkok Marathon ด้วยกัน ผมทำเวลาดีกว่าเขา 15 นาที ทั้งที่เขาซ้อมแบบดั้งเดิมตลอด

เคล็ดลับคือการสร้างโปรแกรมฝึกที่มีวินัยและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม Virtual Run ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องวิ่งแบบสบายๆ เสมอไป คุณสามารถจัดโปรแกรมฝึกที่หนักและมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเทมโพ (tempo run), การซ้อมแบบสลับช่วง (interval training) หรือการวิ่งระยะไกล (long run)

สิ่งสำคัญคือคุณต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง บันทึกข้อมูลการซ้อมอย่างละเอียด และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการซ้อม ลู่วิ่งที่มีคุณภาพและแอปที่ดีสามารถช่วยให้การซ้อม Virtual Run มีประสิทธิภาพไม่แพ้การซ้อมในสนามจริง

รีวิวจากโค้ชหมิง  ใช้ Virtual Run ฝึก Half Marathon ได้ผลไหม?

“ผมใช้ Virtual Run ฝึกซ้อม Half Marathon มาแล้ว 5 ครั้ง ผลลัพธ์? ทุกครั้งที่ไปวิ่งจริง ผมทำเวลาได้ดีกว่าเป้าหมาย เพราะการซ้อมบนลู่วิ่งช่วยให้ควบคุมจังหวะ วางแผนพลังงาน และติดตามข้อมูลได้แม่นยำกว่า”

เมื่อต้นปี 2023 ผมมีเป้าหมายจะวิ่ง Laguna Phuket Half Marathon แต่ตารางงานแน่นมาก ไม่มีเวลาออกไปวิ่งข้างนอกตอนเช้า-เย็นเหมือนเคย ผมจึงตัดสินใจทำสิ่งที่หลายคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” – ซ้อม Half Marathon บนลู่วิ่งที่บ้าน 100%

ผมวางแผนซ้อม 12 สัปดาห์ แบ่งการซ้อมเป็น 

  • วิ่งเทมโพ (ความเร็วคงที่ระดับเหนื่อยปานกลาง) 1 ครั้ง/สัปดาห์
  • ซ้อมช่วงสั้น (intervals) 1 ครั้ง/สัปดาห์
  • วิ่งระยะไกล (long run) ทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์
  • วิ่งฟื้นฟู (recovery) 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

สิ่งที่ผมค้นพบคือการซ้อมบนลู่วิ่งมีข้อดีหลายประการที่ไม่ได้มีในการวิ่งข้างนอก 

  1. ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจได้แม่นยำกว่า – ผมตั้งเป้าอัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมสำหรับแต่ละการซ้อม และลู่วิ่งช่วยให้ผมรักษาระดับนั้นได้ตลอด
  2. ปรับความเร็วได้ทันที – ไม่ต้องคอยเร่งหรือชะลอตัวเองเหมือนวิ่งข้างนอก
  3. จำลองสนามได้ – ผมศึกษาเส้นทางที่ภูเก็ตและตั้งโปรแกรมปรับความชันของลู่วิ่งให้ใกล้เคียงที่สุด
  4. ไม่มีการหยุดพัก – ไม่มีไฟแดง ไม่มีคนเดินขวาง ไม่มีหมาไล่ ทำให้การซ้อมมีประสิทธิภาพสูงสุด

วันแข่งมาถึง ผมตั้งเป้าทำเวลา 1 50 00 สำหรับระยะ 21.1 กิโลเมตร แต่สุดท้ายผมทำได้ 1 43 27 ดีกว่าเป้าหมายถึง 7 นาที! ที่น่าแปลกใจคือผมไม่รู้สึกเหนื่อยมากอย่างที่คิด เพราะร่างกายคุ้นเคยกับจังหวะและความเร็วแล้ว

นี่คือเคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงของผม  ซ้อมบนลู่วิ่งอาจไม่สนุกเท่าวิ่งข้างนอก แต่ถ้าคุณมีวินัยและวางแผนที่ดี มันสามารถเตรียมความพร้อมให้คุณได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน

ปัจจุบันผมแนะนำลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปเพื่อซ้อม Half Marathon ให้เริ่มด้วย Virtual Half Marathon ก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจและประสบการณ์ แล้วค่อยไปลงแข่งในสนามจริง

ฝึกโซน 2 บนลู่วิ่งให้แม่น ด้วย Zwift และ FITIME

“การซ้อมในโซน 2 (ประมาณ 70-80% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) เป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาความทนทานระยะยาว แต่หลายคนทำไม่ได้เพราะวิ่งเร็วเกินไป บนลู่วิ่งคุณสามารถตั้งความเร็วคงที่และใช้แอปอย่าง Zwift หรือ FITIME ช่วยควบคุมจังหวะได้แม่นยำ”

เมื่อปีที่แล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่ง A5 ไป เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมพยายามวิ่งโซน 2 ตามที่โค้ชแนะนำ แต่ทำไม่ได้เลย วิ่งข้างนอกทีไรก็เร็วเกินทุกที”

นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในนักวิ่งมือใหม่ – พวกเขาไม่สามารถควบคุมจังหวะและความเร็วให้อยู่ในโซนที่เหมาะสม โดยเฉพาะโซน 2 ซึ่งเป็นโซนพื้นฐานสำคัญในการสร้างความทนทานระยะยาว

ผมแนะนำให้เขาลองซ้อมบนลู่วิ่งแทน โดยเชื่อมต่อกับแอป Zwift เนื่องจากลู่วิ่ง A5 สามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ เมื่อเขาวิ่งบนลู่วิ่ง Zwift จะแสดงข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจ และสีโซนแบบเรียลไทม์ ทำให้เขาสามารถปรับความเร็วให้อยู่ในโซน 2 ได้ง่ายขึ้น

หลังจากซ้อมแบบนี้เป็นประจำ 2 เดือน เขาโทรมาบอกด้วยความตื่นเต้น “ผมทำได้แล้ว! ตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าโซน 2 เป็นยังไง แม้จะวิ่งข้างนอกผมก็สามารถรักษาจังหวะให้อยู่ในโซน 2 ได้นานขึ้น และที่สำคัญคือรู้สึกว่าความทนทานเพิ่มขึ้นมาก”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ในปี 2020 มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในนอร์เวย์เกี่ยวกับผลของการซ้อมในโซน 2 พบว่านักวิ่งที่ใช้เวลา 80% ของการซ้อมในโซน 2 มีการพัฒนาความทนทานและประสิทธิภาพในการใช้ออกซิเจน (VO2max) ดีกว่ากลุ่มที่วิ่งหนักทุกวันถึง 23%

แอป FITIME ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น มีอินเตอร์เฟซที่เข้าใจง่ายกว่า Zwift เล็กน้อย และมีโปรแกรมฝึกสำเร็จรูปสำหรับการซ้อมในโซนต่างๆ เหมาะกับคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

ข้อดีของการฝึกโซน 2 บนลู่วิ่งคือคุณสามารถเปิด Netflix หรือฟังพอดแคสต์ไปด้วยได้ ทำให้การวิ่งความเร็วต่ำเป็นเวลานานๆ ไม่น่าเบื่อเกินไป ผมเองชอบดูซีรีส์ยาวๆ ระหว่างวิ่งโซน 2 ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็ว แต่ได้ประโยชน์เต็มที่

วิ่ง 10K หรือ Full Marathon ด้วยลู่วิ่งอยู่บ้านก็ได้เหรอ?

“ได้อย่างแน่นอน! ผมเคยวิ่ง Full Marathon 42.195 กิโลเมตรบนลู่วิ่งที่บ้านจนจบ (ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 23 นาที!) โดยไม่ออกไปข้างนอกเลย บางคนอาจคิดว่าน่าเบื่อ แต่ด้วยการวางแผนที่ดี แรงสนับสนุนจากชุมชน Virtual Run และเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความบันเทิง มันเป็นไปได้และสนุกด้วยซ้ำ”

เมื่อ 2 ปีก่อน ผมเกิดข้อสงสัยว่าจะวิ่ง Full Marathon บนลู่วิ่งได้ไหม หลายคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ มันน่าเบื่อเกินไป” แต่ผมอยากพิสูจน์ว่ามันทำได้

ผมสมัคร Virtual Marathon กับองค์กรหนึ่ง และวางแผนจะวิ่ง 42.195 กิโลเมตรบนลู่วิ่ง A5 ในวันเสาร์หนึ่ง ผมเตรียมตัวอย่างดี 

  • จัดเตรียมเพลย์ลิสต์ยาว 5 ชั่วโมง
  • วางเจลพลังงาน น้ำ และขนมให้เอื้อมถึงง่าย
  • ติดตั้งพัดลมหลายตัวรอบลู่วิ่ง
  • เตรียมผ้าเย็นไว้เช็ดตัว
  • บอกเพื่อนๆ ในกลุ่ม Virtual Run ให้ส่งกำลังใจผ่านไลน์

ผมเริ่มวิ่งตอนตี 5 ตั้งความเร็วที่ 10 กม./ชม. สำหรับช่วงแรก ชั่วโมงแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกสดชื่นและมีพลัง พอถึงกิโลเมตรที่ 21 ผมลดความเร็วลงเล็กน้อยเป็น 9.5 กม./ชม. เพื่อประหยัดพลังงาน

จุดวิกฤตมาถึงตอนกิโลเมตรที่ 32 – เหมือนทุกการวิ่งมาราธอน “กำแพง” มาเยือน ขาเริ่มหนัก ใจเริ่มท้อ แต่สิ่งที่ช่วยผมคือข้อความให้กำลังใจจากเพื่อนๆ ในกลุ่ม Virtual Run ที่ทยอยส่งมา พวกเขารู้ว่าผมกำลังทำอะไร และให้กำลังใจตลอด

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือการวิ่งบนลู่วิ่งทำให้ผมจัดการกับ “กำแพง” ได้ดีกว่าเมื่อวิ่งข้างนอก ผมสามารถปรับลดความเร็วได้ทันทีเมื่อรู้สึกเหนื่อย และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อรู้สึกดีขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องคนแซง หรือแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อม

สุดท้าย ผมจบระยะ 42.195 กิโลเมตรในเวลา 4 23 12 ไม่ใช่เวลาที่เร็วที่สุด แต่ผมภูมิใจมากที่ทำได้ และได้พิสูจน์ว่าการวิ่ง Full Marathon บนลู่วิ่งที่บ้านเป็นไปได้จริง

หลังจากนั้น ผมได้แนะนำลูกค้าหลายคนให้ลอง Virtual 10K หรือ Half Marathon บนลู่วิ่งก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะ ตอนนี้มีลูกค้า 3 คนที่ทำสำเร็จแล้ว และพวกเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “มันท้าทายทางจิตใจมากกว่าทางกาย แต่ความรู้สึกตอนจบคือความภูมิใจที่ไม่มีอะไรเทียบได้”

 

ลู่วิ่งที่บ้านเหมาะกับ Virtual Run แค่ไหน? เลือกรุ่นยังไงให้คุ้ม

“ลู่วิ่งที่บ้านเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบสำหรับ Virtual Run เพราะให้ความยืดหยุ่นสูงสุด วิ่งได้ทุกเวลา ไม่ว่าฝนตก แดดร้อน หรือกลางดึก แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับเป้าหมายการวิ่งของคุณ มือใหม่อาจไม่จำเป็นต้องใช้รุ่นไฮเอนด์ แต่ถ้าคุณซีเรียสกับ Virtual Marathon รุ่นที่มีคุณสมบัติเชื่อมต่อแอปและโครงสร้างแข็งแรงจะคุ้มค่ากว่า”

ผมจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว มีคำถามที่ได้รับบ่อยที่สุดจากลูกค้าคือ “พี่หมิง อยากวิ่ง Virtual Run ต้องซื้อลู่วิ่งรุ่นไหนดี?” คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและงบประมาณของคุณ”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง ผมพบว่าลูกค้าที่ใช้ลู่วิ่งเพื่อ Virtual Run แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก 

  1. กลุ่มมือใหม่/เริ่มต้น – ต้องการลู่วิ่งราคาประหยัด ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะกับการวิ่ง Virtual Run ระยะสั้น 5-10K
  2. กลุ่มกึ่งจริงจัง – ต้องการลู่วิ่งที่มีฟังก์ชันครบครัน เชื่อมต่อแอปได้ แต่ไม่อยากลงทุนมากเกินไป เหมาะกับ Virtual Half Marathon
  3. กลุ่มซีเรียส – ต้องการลู่วิ่งคุณภาพสูง โครงสร้างแข็งแรง รองรับการวิ่งระยะไกลและการซ้อมหนัก เหมาะกับ Virtual Marathon

เมื่อต้นปีนี้ ผมได้พูดคุยกับนักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญเรื่องการวิ่ง เขาบอกข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า “ลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกที่ดีอาจช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บลงได้ 30-40% เมื่อเทียบกับการวิ่งบนพื้นแข็ง” นี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาโดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการวิ่งระยะไกล

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ในปี 2022 มีการสำรวจนักวิ่ง Virtual Marathon กว่า 1,500 คนในเอเชีย พบว่า 68% วิ่งบนลู่วิ่งที่บ้านเป็นหลัก และ 42% รายงานว่าลู่วิ่งที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอป (connectivity) มีผลต่อแรงจูงใจในการวิ่งอย่างมีนัยสำคัญ

ในฐานะนักวิ่งที่ผ่านทั้งงานวิ่งจริงและ Virtual Run มามากกว่า 50 รายการ ผมสามารถยืนยันได้ว่าการลงทุนกับลู่วิ่งที่เหมาะสมคุ้มค่าอย่างยิ่ง แม้จะมีราคาแพงกว่า แต่ลู่วิ่งที่มีคุณภาพจะอยู่กับคุณได้นานหลายปี และช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

อยากวิ่ง Zwift ต้องเลือกลู่วิ่งแบบไหน?

“ถ้าคุณตั้งใจจะใช้ Zwift ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำสำหรับ Virtual Run คุณจำเป็นต้องมีลู่วิ่งที่รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธอย่าง A3 ขึ้นไป รุ่น A5, SONIC และ X20 รองรับได้สมบูรณ์แบบ Zwift ไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นโลกเสมือนที่จะเปลี่ยนการวิ่งบนลู่เป็นการผจญภัยที่สนุกและท้าทาย”

เมื่อ 6 เดือนก่อน มีลูกค้าโทรมาหาผมด้วยความตื่นเต้น “พี่หมิงครับ ผมเห็นเพื่อนโพสต์รูปวิ่งใน Zwift แล้วมันดูเจ๋งมาก อยากลองบ้าง แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้ลู่วิ่งแบบไหน”

Zwift เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปลี่ยนการวิ่งบนลู่วิ่งธรรมดาให้กลายเป็นการผจญภัยในโลกเสมือนจริง มีเส้นทางสวยงาม มีเพื่อนร่วมวิ่งจากทั่วโลก มีการแข่งขัน มีภารกิจ มีระบบปลดล็อกอุปกรณ์และเส้นทางใหม่ๆ คล้ายเกม

ผมอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้งาน Zwift คือลู่วิ่งที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ รุ่น A3 ขึ้นไปของเราสามารถทำได้ แต่ถ้าต้องการประสบการณ์ที่ดีที่สุด A5, SONIC หรือ X20 จะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า

เรื่องที่คนมักไม่รู้เกี่ยวกับ Zwift คือระบบการคำนวณความเร็วและระยะทางที่ซับซ้อน ลู่วิ่งที่มีเซ็นเซอร์แม่นยำจะส่งข้อมูลให้ Zwift ได้ดีกว่า ทำให้ตัวละครของคุณเคลื่อนที่สอดคล้องกับการวิ่งจริงมากขึ้น ลู่วิ่งระดับบนอย่าง A5 และ X20 มีเซ็นเซอร์คุณภาพสูงที่ให้ข้อมูลแม่นยำ

หลังจากที่เขาซื้อลู่วิ่ง A5 ไป 2 สัปดาห์ เขาส่งรูปมาให้ดู เป็นภาพเขากำลังวิ่งใน Zwift บนเกาะสมมุติชื่อ Watopia พร้อมข้อความ “ผมวิ่งวันละชั่วโมงมาแล้ว 14 วันติด ไม่เคยวิ่งต่อเนื่องได้นานขนาดนี้มาก่อนเลย Zwift ทำให้ผมลืมไปเลยว่ากำลังวิ่งบนลู่อยู่”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ในปี 2021 มีการศึกษาเกี่ยวกับผลของ gamification ในการออกกำลังกาย พบว่าผู้ที่ใช้แอปที่มีองค์ประกอบคล้ายเกมอย่าง Zwift มีอัตราการออกกำลังกายต่อเนื่องสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึง 76% หลังจากผ่านไป 3 เดือน แสดงให้เห็นว่าความสนุกและความท้าทายมีผลอย่างมากต่อความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย

ข้อดีอีกประการของ Zwift คือระบบกลุ่มและชุมชน คุณสามารถนัดเพื่อนมาวิ่งด้วยกันแบบเรียลไทม์ได้ แม้จะอยู่คนละประเทศ หรือเข้าร่วมกิจกรรม “group run” ที่จัดขึ้นทุกวัน ทำให้การวิ่งบนลู่ไม่ใช่กิจกรรมที่โดดเดี่ยวอีกต่อไป

ลูกค้าอีกคนที่ใช้ X20 กับ Zwift เล่าให้ผมฟังว่า “ผมรู้จักนักวิ่งจากออสเตรเลีย อังกฤษ และสิงคโปร์ผ่าน Zwift เรานัดกันวิ่งทุกเช้าวันเสาร์ มันเป็นแรงจูงใจที่ดีมากที่ทำให้ผมต้องตื่นมาวิ่ง เพราะเพื่อนๆ รออยู่ในโลกเสมือน”

ลู่วิ่งไฟฟ้า A5 – รุ่นยอดนิยมของนักวิ่งจริงจัง

“A5 คือลู่วิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนักวิ่ง Virtual Run จริงจัง เพราะมันสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างประสิทธิภาพ ความคงทน และราคา ด้วยมอเตอร์ 5.0 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 20 กม./ชม. และพื้นที่วิ่งกว้าง 58 ซม. ยาว 145 ซม. ทำให้รองรับทั้งการวิ่งเบาๆ และการซ้อมหนักได้อย่างไม่มีสะดุด”

ผมยังจำวันที่เราเปิดตัวลู่วิ่ง A5 ได้ดี มันเป็นผลจากการรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นจากลูกค้านักวิ่งกว่า 300 คนที่ใช้ลู่วิ่งของเราอยู่แล้ว เราถามว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มเติม คำตอบที่ได้คือ “มอเตอร์ที่แรงขึ้น พื้นที่วิ่งที่กว้างขึ้น และการเชื่อมต่อแอปที่ดีขึ้น”

A5 จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านั้นโดยเฉพาะ ไม่นานหลังจากเปิดตัว มันกลายเป็นรุ่นขายดีที่สุดในกลุ่มลูกค้าที่ทำ Virtual Run อย่างจริงจัง

เรื่องที่น่าสนใจคือ A5 ไม่ได้เป็นรุ่นที่แพงที่สุดของเรา แต่มันให้ความคุ้มค่าสูงสุดสำหรับนักวิ่งจริงจัง เพราะมีทุกอย่างที่จำเป็นโดยไม่มีฟังก์ชันฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น

ลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นหมอวัย 45 ปี ซื้อ A5 ไปเมื่อปีที่แล้ว เขาเคยวิ่งมาราธอนมาแล้ว 2 ครั้ง และต้องการลู่วิ่งเพื่อซ้อมในช่วงที่อากาศแย่หรือไม่มีเวลาออกไปวิ่งข้างนอก หลังจากใช้ A5 ได้ 6 เดือน เขาโทรมาบอกผมว่า 

“A5 เปลี่ยนวิธีการซ้อมของผมไปเลย ผมไม่เคยคิดว่าจะชอบวิ่งบนลู่วิ่ง แต่ด้วยพื้นที่กว้างและการรองรับแอป ทำให้การซ้อมมีประสิทธิภาพและสนุกมากขึ้น ผมทำ Virtual Marathon ไป 2 รายการแล้ว และกำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งจริงในอีก 3 เดือนข้างหน้า”

จุดเด่นของ A5 ที่ลูกค้าชื่นชมมากที่สุดคือ 

  1. มอเตอร์ DC 5.0 แรงม้าที่เงียบและทนทาน แม้วิ่งต่อเนื่องนานๆ
  2. พื้นที่วิ่งกว้าง ทำให้วิ่งสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการก้าวผิดพลาด
  3. ระบบลดแรงกระแทดด้วยโช๊คสปริงคู่ ช่วยถนอมข้อเข่าแม้วิ่งนานหลายชั่วโมง
  4. ระบบเชื่อมต่อบลูทูธที่เสถียร ทำงานได้ดีกับ Zwift, FITIME และแอปอื่นๆ
  5. ความสามารถในการรับน้ำหนักสูงถึง 150 กก. ทำให้รองรับผู้ใช้ได้หลากหลาย

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือลูกค้าที่ซื้อ A5 มักจะกลายเป็น “ambassador” ไม่เป็นทางการของเรา พวกเขาแนะนำเพื่อนๆ และแชร์ประสบการณ์การใช้งานในกลุ่ม Virtual Run ต่างๆ เสมอ

ลู่วิ่งไฟฟ้า CX8 – ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า สไตล์สายฝึกฟอร์ม

“CX8 เป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าที่ให้ประสบการณ์การวิ่งแบบใหม่สำหรับ Virtual Run คุณเป็นคนขับเคลื่อนสายพานด้วยแรงของคุณเอง มีเกียร์ปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ ข้อดีคือให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการวิ่งบนถนนจริงมากกว่า เผาผลาญแคลอรี่มากกว่า และเงียบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป เหมาะสำหรับคนที่จริงจังกับการฝึกฟอร์มและเพิ่มความแข็งแรง”

ผมเจอประสบการณ์ที่น่าสนใจมากเมื่อปีที่แล้ว มีนักวิ่งมาราธอนมืออาชีพคนหนึ่งเข้ามาที่ร้าน เขาเพิ่งกลับมาจากการแข่งขันในอเมริกา และเล่าให้ฟังว่าที่นั่นมีเทรนด์ใหม่คือการใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าในการซ้อม

“นักวิ่งระดับโลกหลายคนเริ่มหันมาใช้ลู่วิ่งแบบนี้เพราะมันฝึกกล้ามเนื้อและฟอร์มการวิ่งได้ดีกว่า ขาจะแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้วิ่งได้เร็วและทนกว่าเดิมเมื่อกลับไปวิ่งบนถนนจริง” เขาบอก

นั่นทำให้ผมสนใจและนำเข้าลู่วิ่ง CX8 ซึ่งเป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าที่มีระบบปรับแรงต้าน 8 ระดับ หลังจากทดลองใช้เอง ผมรู้สึกประทับใจมาก เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ ไม่ใช่แค่เดินหรือวิ่งบนสายพานที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  นักวิจัยด้านการกีฬาจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษพบว่าการวิ่งบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อส่วนหลังของขา (hamstrings) และกล้ามเนื้อสะโพก (glutes) มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าถึง 30% ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเร็วและความทนทานในการวิ่งระยะไกล

ลูกค้าที่ซื้อ CX8 ไปแล้วฟีดแบ็กกลับมาเป็นเชิงบวกอย่างมาก หนึ่งในนั้นเป็นนักไตรกีฬาวัย 35 ปี เขาบอกว่า 

“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องความแตกต่างระหว่างลู่วิ่งไฟฟ้ากับลู่วิ่งแบบนี้มาก่อน แต่หลังจากใช้ CX8 มา 2 เดือน ผมรู้สึกได้ว่าขาแข็งแรงขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนวิ่งขึ้นเขาหรือสปริ้นท์ ที่สำคัญคือตอนผมกลับไปวิ่งบนถนน รู้สึกเหมือนได้ปลดล็อกพลังบางอย่าง วิ่งสบายขึ้นมาก”

ข้อดีของ CX8 ที่คนมักไม่รู้คือมันไม่มีความเร็วสูงสุด คุณวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ได้ตามกำลังของคุณเอง เหมาะมากสำหรับการฝึกสปริ้นท์ (sprint) หรือการวิ่งแบบสลับช่วง (interval training) นอกจากนี้ยังเงียบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้ามาก เพราะไม่มีเสียงมอเตอร์ เหมาะสำหรับคนที่อยู่คอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ที่กังวลเรื่องเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน

ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือหลายคนใช้ CX8 เพื่อทำ Virtual Run ที่มีการจำลองเส้นทางขึ้นเขา การปรับระดับแรงต้านทำให้พวกเขาจำลองความรู้สึกของการวิ่งขึ้นเขาได้สมจริงกว่า และเมื่อถึงวันงานจริงที่ต้องวิ่งขึ้นเขา พวกเขาพร้อมกว่าคนที่ซ้อมบนลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป

แอปอะไรใช้คู่กับ Virtual Run ได้บ้าง? เชื่อมกับลู่วิ่งหรือไม่?

“แอปที่ใช้คู่กับ Virtual Run มีหลากหลาย แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Zwift, FITIME และ GFit ซึ่งทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกับลู่วิ่ง RunatHome รุ่น A3 ขึ้นไปได้ แอปเหล่านี้ไม่เพียงบันทึกข้อมูลการวิ่ง แต่ยังเพิ่มความสนุกและแรงจูงใจให้กับการวิ่งบนลู่อีกด้วย”

จากการพูดคุยกับลูกค้ากว่าพันคน ผมพบว่าแอปที่ใช้คู่กับการวิ่งมีผลอย่างมากต่อความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ลูกค้าที่ใช้แอปเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะวิ่งอย่างต่อเนื่องมากกว่าคนที่ไม่ใช้ถึง 3 เท่า

แอป Zwift  วิ่งสนุก มีเพื่อน มีวิว

“Zwift ไม่ใช่แค่แอปบันทึกข้อมูล แต่เป็นโลกเสมือนที่ทำให้การวิ่งบนลู่กลายเป็นการผจญภัย มีเส้นทางสวยงาม มีเพื่อนร่วมวิ่งจากทั่วโลกแบบเรียลไทม์ มีระบบเลเวล มีภารกิจ มีการแข่งขัน และสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือการทำให้คุณลืมไปเลยว่ากำลังวิ่งบนลู่อยู่”

เมื่อปีที่แล้ว ผมได้จัดงาน Virtual Run พิเศษใน Zwift สำหรับลูกค้าลู่วิ่ง RunatHome มีคนเข้าร่วมกว่า 50 คนจากทั่วประเทศ เราวิ่งไปด้วยกันบนเส้นทางเสมือนในลอนดอน มีการพูดคุยผ่านแชท แลกเปลี่ยนเทคนิคการวิ่ง และส่งพลังงานเสมือน (power-ups) ให้กันและกัน

ประสบการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืม ทุกคนรู้สึกเหมือนได้ออกไปวิ่งด้วยกันจริงๆ แม้ว่าแต่ละคนจะอยู่คนละจังหวัด ลูกค้าคนหนึ่งส่งข้อความมาหลังงานว่า “วันนี้ผมวิ่งนานกว่า 2 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ปกติวิ่งได้แค่ 30 นาทีก็เบื่อแล้ว”

สิ่งที่ทำให้ Zwift แตกต่างจากแอปอื่นๆ คือระบบ “gamification” ที่ลึกซึ้งกว่า คุณมีตัวละครที่ต้องพัฒนา มีอุปกรณ์ให้ปลดล็อก มีเส้นทางใหม่ๆ ให้ค้นหา และมีความท้าทายประจำวัน/สัปดาห์/เดือน ที่ทำให้คุณอยากกลับมาวิ่งอีก

ผมเคยพูดคุยกับนักจิตวิทยาการกีฬาเกี่ยวกับ Zwift เขาอธิบายว่า “การที่ Zwift ประสบความสำเร็จ เพราะมันตอบสนองความต้องการพื้นฐาน 3 อย่างของมนุษย์ – ความรู้สึกมีความสามารถ (competence), ความเป็นอิสระ (autonomy), และความสัมพันธ์กับผู้อื่น (relatedness) ซึ่งเป็นหัวใจของแรงจูงใจภายใน”

เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือ Zwift มีกิจกรรมพิเศษร่วมกับงาน Virtual Run ใหญ่ๆ บ่อยครั้ง เช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีงาน “Zwift Virtual Marathon” ที่จัดร่วมกับมาราธอนระดับโลกหลายรายการ ผู้เข้าร่วมได้วิ่งบนเส้นทางจำลองของมาราธอนจริง ได้รับเหรียญเสมือนในแอป และเหรียญจริงส่งถึงบ้าน

ถ้าคุณสนใจจะใช้ Zwift กับลู่วิ่ง RunatHome ผมขอแนะนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์ตรง 

  • ติดตั้งแอปบนอุปกรณ์ที่มีหน้าจอใหญ่ เช่น ไอแพด ทีวีสมาร์ท หรือคอมพิวเตอร์ จะสนุกกว่ามือถือมาก
  • ใช้เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจร่วมด้วย จะช่วยให้ข้อมูลในแอปแม่นยำขึ้น
  • เข้าร่วมกลุ่ม “Zwift Runners Thailand” บนเฟซบุ๊ก มีเพื่อนนักวิ่งไทยมากมายที่พร้อมให้คำแนะนำและนัดวิ่งด้วยกัน
  • ลองเข้าร่วมกิจกรรม “group run” ตามตารางในแอป จะได้พบเพื่อนใหม่และมีแรงจูงใจมากขึ้น

แอป FITIME / GFit  ซ้อมวิ่งแบบง่าย ๆ สำหรับมือใหม่

“FITIME และ GFit เป็นแอปที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น Virtual Run มีอินเตอร์เฟซที่เข้าใจง่าย โปรแกรมฝึกสำเร็จรูป และไม่ต้องสมัครสมาชิกรายเดือนแบบ Zwift มุ่งเน้นที่ข้อมูลการวิ่งเป็นหลัก เช่น ความเร็ว ระยะทาง แคลอรี่ และอัตราการเต้นของหัวใจ เชื่อมต่อกับลู่วิ่ง RunatHome ได้ทุกรุ่นตั้งแต่ A3 ขึ้นไป”

เมื่อสองปีก่อน มีลูกค้าสูงวัยท่านหนึ่งโทรมาปรึกษาผม “พี่หมิง ผมอายุ 65 แล้ว เพิ่งเริ่มหัดวิ่ง ดูคลิป Zwift ในยูทูปแล้วรู้สึกว่ามันซับซ้อนเกินไป มีแอปไหนที่ง่ายกว่านี้ไหม?”

ผมแนะนำให้ท่านลอง FITIME ซึ่งเป็นแอปที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานทั่วไปโดยเฉพาะ ไม่เน้นความซับซ้อนแบบ Zwift แต่ให้ข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน

หลังจากใช้งานได้ 1 เดือน ท่านโทรกลับมาด้วยความดีใจ “แอปนี้เหมาะกับผมมาก มันบอกทุกอย่างที่ผมอยากรู้ – ผมวิ่งได้กี่กิโลเมตร เผาผลาญแคลอรี่ไปเท่าไร หัวใจเต้นเร็วแค่ไหน แถมยังมีโปรแกรมสำหรับมือใหม่ให้ทำตามด้วย”

นี่คือจุดแข็งของ FITIME และ GFit – ความเรียบง่ายที่ไม่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกหนักใจ ทั้งสองแอปเน้นการนำเสนอข้อมูลแบบตรงไปตรงมา และมีโปรแกรมฝึกสำเร็จรูปหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่ “เริ่มต้นวิ่ง 5K” ไปจนถึง “เตรียมพร้อมสำหรับมาราธอน”

จากประสบการณ์ของผม ลูกค้าที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่งมักจะรู้สึกถูกใจ FITIME มากกว่า Zwift ในช่วงแรก แต่เมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับการวิ่งมากขึ้น หลายคนก็เริ่มอยากลอง Zwift เพื่อประสบการณ์ที่สนุกและท้าทายมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ GFit คือระบบการวิเคราะห์รูปแบบการวิ่ง (running pattern) ที่ช่วยให้คุณเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในการวิ่งของตัวเอง เช่น ความสม่ำเสมอของก้าว การกระจายน้ำหนัก และแนวโน้มที่จะเหนื่อยล้า ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มากสำหรับการปรับปรุงฟอร์มการวิ่ง

เรื่องที่คนมักไม่รู้คือทั้ง FITIME และ GFit สามารถส่งออกข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ เช่น Strava, Apple Health หรือ Google Fit ทำให้คุณสามารถเก็บประวัติการวิ่งไว้ในที่เดียวกันได้ แม้จะเปลี่ยนแอปในอนาคต

ลูกค้าของผมที่เป็นแพทย์ท่านหนึ่งชอบใช้ FITIME เพราะระบบการติดตามสุขภาพที่ละเอียด เขาบอกว่า “ผมชอบที่มันวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจแบบเรียลไทม์ และมีการแจ้งเตือนเมื่อหัวใจเต้นเร็วเกินไป ทำให้ผมซ้อมได้อย่างปลอดภัย ซึ่งสำคัญมากสำหรับคนอายุ 50+ อย่างผม”

แอปเชื่อมกับลู่วิ่ง RunatHome รุ่นไหนได้บ้าง?

“ลู่วิ่ง RunatHome ตั้งแต่รุ่น A3 ขึ้นไปสามารถเชื่อมต่อกับแอปได้ผ่านบลูทูธ ทั้ง Zwift, FITIME, GFit, Strava และอื่นๆ อีกมากมาย รุ่นไฮเอนด์อย่าง A5, SONIC และ X20 มีเซ็นเซอร์คุณภาพสูงที่ให้ข้อมูลแม่นยำกว่า ทำให้การเชื่อมต่อเสถียรและข้อมูลที่ส่งไปยังแอปมีความแม่นยำสูง”

เมื่อเดือนที่แล้ว ลูกค้าคนหนึ่งส่งข้อความมาถามว่า “ลู่วิ่งรุ่นไหนของ RunatHome เชื่อมต่อกับ Strava ได้บ้างครับ?” ผมตอบไปว่าตั้งแต่รุ่น A3 ขึ้นไปเชื่อมต่อได้หมด แต่มีรายละเอียดที่น่าสนใจมากกว่านั้น

จากประสบการณ์ในการช่วยลูกค้าเชื่อมต่อลู่วิ่งกับแอปมากว่า 500 ราย ผมพบว่าแต่ละรุ่นมีความสามารถในการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน 

รุ่น A3  เชื่อมต่อได้กับแอปพื้นฐาน เช่น FITIME, GFit, Strava แต่อาจมีความล่าช้าในการส่งข้อมูลบ้าง เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการความแม่นยำสูงมาก

รุ่น A5  มีเซ็นเซอร์คุณภาพดีขึ้น ให้ข้อมูลแม่นยำกว่า เชื่อมต่อได้กับแอปทุกตัวที่ A3 เชื่อมต่อได้ รวมถึง Zwift, Runkeeper และอื่นๆ การเชื่อมต่อเสถียรกว่า เหมาะสำหรับนักวิ่งที่ต้องการข้อมูลละเอียด

รุ่น SONIC และ X20  มีระบบเชื่อมต่อระดับพรีเมียม รองรับการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำสูง เหมาะสำหรับนักวิ่งจริงจังที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลการวิ่งอย่างละเอียด

ความลับที่หลายคนไม่รู้คือลู่วิ่ง RunatHome ทุกรุ่นที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อ ใช้โปรโตคอลเดียวกับอุปกรณ์ Bluetooth FTMS (Fitness Machine Service) ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับแอปได้หลากหลายกว่าที่หลายคนคิด

ลูกค้าท่านหนึ่งที่เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ซื้อลู่วิ่ง X20 ไป เขาทดลองเชื่อมต่อกับแอปกว่า 10 แอป และแชร์ประสบการณ์กับผมว่า “ผมไม่เคยคิดว่าลู่วิ่งในราคานี้จะเชื่อมต่อได้ครบขนาดนี้ แม้แต่แอปเฉพาะทางอย่าง TrainingPeaks หรือ Final Surge ก็ยังเชื่อมต่อได้ ทำให้ผมสามารถวางแผนการซ้อมและติดตามความก้าวหน้าได้อย่างละเอียด”

เทคนิคสำหรับการเชื่อมต่อลู่วิ่งกับแอปให้เสถียรที่สุด 

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลู่วิ่งและสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตอยู่ในระยะไม่เกิน 2 เมตร
  2. ปิดบลูทูธของอุปกรณ์อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อลดการรบกวน
  3. อัปเดตเฟิร์มแวร์ของลู่วิ่งให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ
  4. หากพบปัญหา ให้ลองรีสตาร์ททั้งลู่วิ่งและอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ

 

จะเริ่มต้น Virtual Run ต้องทำยังไงบ้าง?

“เริ่มต้น Virtual Run ไม่ยากอย่างที่คิด แค่มีรองเท้าวิ่ง สมาร์ทโฟน และลู่วิ่ง (หรือพื้นที่วิ่งนอกบ้าน) คุณก็พร้อมแล้ว ขั้นตอนหลักๆ คือ หาข้อมูลงาน Virtual Run ที่สนใจ สมัครทางออนไลน์ เตรียมแอปบันทึกผล วิ่งให้ครบระยะตามกำหนด และส่งหลักฐานการวิ่ง จากนั้นรอรับเหรียญและเสื้อที่บ้าน”

เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาววัย 40 ปีที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนในชีวิต เธอบอกว่า “พี่หมิง หนูอยากเริ่มวิ่ง Virtual Run แต่ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไง กลัวว่าจะทำไม่ได้ หรือทำผิดกติกา”

ผมบอกเธอว่า Virtual Run เป็นกิจกรรมที่เหมาะกับมือใหม่ที่สุด เพราะไม่มีแรงกดดัน ไม่มีคนจับตา และคุณสามารถทำในแบบของคุณเอง

เธอตัดสินใจซื้อลู่วิ่ง A1 และสมัคร Virtual Run ระยะ 5K ซึ่งให้เวลาวิ่ง 1 เดือน หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เธอส่งข้อความมาพร้อมรูปเหรียญด้วยความภูมิใจ “หนูทำได้แล้ว! เริ่มจากเดินเร็ววันละ 1 กิโลเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นวิ่งสลับเดิน จนสุดท้ายวิ่งครบ 5K ได้ในครั้งเดียว รู้สึกเหมือนชีวิตเปลี่ยนไปเลย”

จากประสบการณ์ช่วยลูกค้ากว่าร้อยคนเริ่มต้น Virtual Run ผมสรุปขั้นตอนง่ายๆ ไว้ดังนี้ 

  1. เตรียมอุปกรณ์พื้นฐาน – รองเท้าวิ่งที่เหมาะสม เสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย สมาร์ทโฟนสำหรับบันทึกผล และลู่วิ่ง (หากวิ่งที่บ้าน)
  2. หางาน Virtual Run ที่สนใจ – เริ่มต้นจากงานที่ให้เวลาวิ่งนาน (2-3 เดือน) และมีระยะทางที่ท้าทายแต่ไม่หนักเกินไป เช่น 5K หรือ 10K
  3. ศึกษากติกาให้ชัดเจน – แต่ละงานอาจมีกติกาแตกต่างกัน เช่น บางงานให้วิ่งครั้งเดียวให้จบ บางงานให้สะสมระยะได้ บางงานกำหนดความเร็วขั้นต่ำ
  4. สมัครทางออนไลน์ – ส่วนใหญ่สมัครผ่านเว็บไซต์ของผู้จัด กรอกข้อมูลส่วนตัว เลือกระยะที่ต้องการวิ่ง และชำระเงิน (ราคาประมาณ 350-750 บาท ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจ)
  5. เตรียมแอปบันทึกผล – ดาวน์โหลดแอปที่ผู้จัดงานกำหนด เช่น Strava, Nike Run Club, Garmin Connect หรือแอปอื่นๆ
  6. วางแผนการวิ่ง – ถ้าเป็นมือใหม่ ควรวางแผนแบ่งระยะทางเป็นช่วงๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้จบในครั้งเดียว (ยกเว้นงานที่ระบุเฉพาะ)
  7. วิ่งให้ครบระยะตามกำหนด – บันทึกผลการวิ่งทุกครั้ง หากงานให้สะสมระยะได้ ต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมด
  8. ส่งหลักฐานการวิ่ง – อัปโหลดภาพหน้าจอหรือลิงก์การวิ่งไปยังเว็บไซต์หรืออีเมลของผู้จัด ตามวิธีที่ระบุไว้
  9. รอรับเหรียญและเสื้อ – หลังจากผู้จัดตรวจสอบและอนุมัติผลการวิ่งแล้ว จะส่งเหรียญและเสื้อมาให้ทางไปรษณีย์ (ใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจบงาน)

เรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Virtual Run คือคิดว่าต้องวิ่งเร็ว หรือต้องวิ่งให้สวยงาม ความจริงแล้ว Virtual Run เน้นที่การมีส่วนร่วมและความสำเร็จส่วนตัว คุณจะเดิน วิ่งช้า หรือวิ่งเร็วก็ได้ตามความสามารถของคุณ ไม่มีใครตัดสินคุณ

สมัครที่ไหน? ต้องใช้แอปอะไร?

“สมัคร Virtual Run ได้จากหลายแหล่ง ทั้งเว็บไซต์ผู้จัดงานโดยตรง แพลตฟอร์มกลางอย่าง JogAndJoy, VirtualRun.Asia, AthleticThai หรือเพจวิ่งดังๆ บน Facebook ส่วนแอปที่จำเป็นคือแอปบันทึกการวิ่ง ส่วนใหญ่ใช้ Strava, Nike Run Club หรือหากวิ่งบนลู่อาจใช้ภาพถ่ายหน้าจอลู่วิ่งที่แสดงระยะทางและเวลา”

เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ตรงที่อยากแชร์ ในช่วงที่ Virtual Run เพิ่งเข้ามาในไทยใหม่ๆ ผมเองก็งงว่าจะสมัครที่ไหน ต้องทำยังไง มาวันนี้ผมได้เรียนรู้ว่าช่องทางสมัครมีมากมายและแต่ละที่ก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน

ช่วงปลายปีที่แล้ว มีลูกค้าโทรมาปรึกษาว่า “พี่หมิง เห็นเพจต่างๆ ในเฟซบุ๊กมีงาน Virtual Run เยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าที่ไหนน่าเชื่อถือบ้าง” นี่เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ผมแนะนำให้ดูจาก 

  1. ประวัติผู้จัดงาน – เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงหรือเคยจัดงานวิ่งมาก่อนหรือไม่
  2. รีวิวจากผู้เข้าร่วมรายการก่อนหน้า – ดูความคิดเห็นในเพจหรือกลุ่ม Facebook ว่ามีคนพูดถึงอย่างไร
  3. คุณภาพของเหรียญและเสื้อ – มีรูปตัวอย่างชัดเจนหรือไม่ ดูมีคุณภาพหรือไม่
  4. ความโปร่งใสเรื่องราคา – มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงหรือไม่
  5. ระบบตรวจสอบผลการวิ่ง – มีระบบที่ชัดเจนหรือไม่

แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือที่ผมแนะนำลูกค้าเสมอคือ JogAndJoy และ VirtualRun.Asia ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมงาน Virtual Run จากผู้จัดหลายราย มีระบบที่เป็นมาตรฐาน และมีประวัติการจัดงานที่น่าเชื่อถือ

เมื่อพูดถึงแอปที่ต้องใช้ ผมมีเรื่องน่าสนใจจากประสบการณ์ส่วนตัว ตอนแรกผมคิดว่า Strava เป็นแอปเดียวที่ใช้ได้ แต่จริงๆ แล้วผู้จัดส่วนใหญ่ยอมรับหลักฐานการวิ่งจากแอปแทบทุกตัว ไม่ว่าจะเป็น 

  • Strava
  • Nike Run Club
  • Garmin Connect
  • Adidas Running
  • Suunto
  • Polar Flow
  • FITIME
  • Mi Fit
  • Apple Health
  • Google Fit

แม้แต่ภาพถ่ายหน้าจอลู่วิ่งที่แสดงระยะทางและเวลาก็ใช้ได้ ซึ่งนี่เป็นข้อดีสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีมาก

ลูกค้าผมคนหนึ่งอายุ 68 ปี ไม่เคยใช้แอปวิ่งมาก่อน เธอทำ Virtual Run โดยถ่ายรูปหน้าจอลู่วิ่ง A3 หลังวิ่งเสร็จ แล้วส่งให้หลานช่วยอัปโหลดไปให้ผู้จัดงาน สองอาทิตย์ต่อมาเธอได้รับเหรียญสวยงาม และรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้

ในยุคปัจจุบัน มีแม้กระทั่งผู้จัดงานที่ออกแบบแอปของตัวเองเฉพาะสำหรับงาน Virtual Run ของพวกเขา ซึ่งมักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษ เช่น การติดตามความก้าวหน้าแบบเรียลไทม์ การจัดอันดับ หรือการแข่งขันกับผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ

ส่งผลการวิ่งยังไงให้ผ่าน?

“การส่งผลการวิ่งให้ผ่านไม่ยากอย่างที่คิด แค่มีหลักฐานที่ชัดเจนแสดงระยะทาง เวลา และวันที่วิ่ง ส่วนใหญ่นิยมแชร์ลิงก์ Strava หรือส่งภาพหน้าจอแอปวิ่ง ถ้าวิ่งบนลู่วิ่ง ให้ถ่ายภาพหน้าจอลู่ที่แสดงข้อมูลครบถ้วน พร้อมภาพตัวเองขณะวิ่งหรือหลังวิ่งเสร็จคู่กับลู่วิ่ง”

ผมมีเรื่องสนุกที่เกิดขึ้นกับลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่ง A5 ไป หลังจากเธอวิ่ง Virtual 10K เสร็จ เธอส่งหลักฐานการวิ่งไป แต่ผู้จัดงานปฏิเสธ บอกว่าข้อมูลไม่ครบถ้วน เธอเลยโทรมาหาผมด้วยความสับสน “พี่หมิง หนูส่งภาพหน้าจอลู่วิ่งที่แสดงระยะทาง 10 กิโลเมตรไปแล้ว ทำไมเขาไม่รับ?”

นั่นเป็นเมื่อผมเพิ่งเรียนรู้ว่าแต่ละงานมีมาตรฐานการตรวจสอบที่แตกต่างกัน บางงานเข้มงวดมาก บางงานยืดหยุ่นกว่า ผมแนะนำให้เธอส่งภาพใหม่ที่ครบถ้วนกว่าเดิม 

  1. ภาพหน้าจอลู่วิ่งที่แสดงระยะทาง เวลา และข้อมูลอื่นๆ ชัดเจน
  2. ภาพตัวเองยืนข้างลู่วิ่งหลังวิ่งเสร็จ (เพื่อยืนยันว่าเป็นเธอจริงๆ)
  3. ภาพที่มีวันที่และเวลาแสดงอยู่ด้วย (เช่น นาฬิกาหรือปฏิทินในภาพ)

หลังจากส่งภาพใหม่ไป ผู้จัดงานอนุมัติทันที ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าการส่งหลักฐานที่ครบถ้วนสำคัญมาก

จากประสบการณ์ช่วยลูกค้าหลายร้อยรายในการส่งผลการวิ่ง ผมมีเคล็ดลับที่อยากแชร์ 

  1. อ่านกติกาการส่งผลให้ละเอียด แต่ละงานอาจมีข้อกำหนดเฉพาะ
  2. ถ้าใช้แอปอย่าง Strava ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการวิ่งของคุณเป็น “สาธารณะ” ไม่ใช่ “ส่วนตัว” เพื่อให้ผู้จัดงานเข้าถึงข้อมูลได้
  3. ถ้าวิ่งบนลู่วิ่ง ถ่ายภาพขณะกำลังวิ่งด้วย ไม่ใช่แค่หลังวิ่งเสร็จ
  4. ถ้าวิ่งสะสมระยะหลายครั้ง รวบรวมหลักฐานทั้งหมดในไฟล์เดียว (PDF หรือรูปภาพรวม)
  5. ส่งภาพที่มีความละเอียดสูงพอที่จะอ่านตัวเลขบนหน้าจอได้ชัดเจน

เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างคือ บางงาน Virtual Run เริ่มใช้ระบบการตรวจสอบอัตโนมัติผ่าน API ของแอปวิ่ง เช่น Strava คุณเพียงแค่อนุญาตให้ระบบของผู้จัดงานเข้าถึงข้อมูลการวิ่งของคุณ จากนั้นระบบจะตรวจสอบโดยอัตโนมัติว่าคุณวิ่งครบตามระยะหรือไม่ ไม่ต้องส่งหลักฐานเพิ่มเติม

ลูกค้าของผมที่เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ท่านหนึ่งบอกผมว่า “นี่คือทิศทางในอนาคตของ Virtual Run ระบบจะยิ่งอัตโนมัติและแม่นยำมากขึ้น ลดความยุ่งยากในการส่งหลักฐาน และลดโอกาสการโกง” ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง

รวม 3 งานวิ่ง Virtual Run ทีน่าลงที่สุดในไทย

“จากประสบการณ์วิ่งมากว่า 50 รายการ ผมขอแนะนำ 3 งาน Virtual Run ที่โดดเด่นในไทย  ‘Bangkok Midnight Virtual Run’ ที่มีเหรียญดีไซน์สวยและเรืองแสงในความมืด, ‘Virtual Run for Wildlife’ ที่นำรายได้ไปช่วยสัตว์ป่า และสุดท้าย ‘Amazing Thailand Virtual Marathon’ ที่มีเส้นทางจำลองสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทย”

เมื่อต้นปีที่แล้ว ผมตั้งใจจะทำ Virtual Run เดือนละหนึ่งรายการตลอดทั้งปี และผมได้ค้นพบงานที่น่าประทับใจมากมาย อยากแชร์ประสบการณ์ตรงให้ทุกคนได้รู้จัก

บางคนอาจไม่รู้ว่า Virtual Run ในไทยมีความหลากหลายมาก มีทั้งงานการกุศล งานเฉลิมฉลองวันสำคัญ งานที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม และงานที่เน้นความสนุกสนาน ซึ่งแต่ละงานก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป

Bangkok Midnight Virtual Run เป็นงานที่ผมประทับใจมากที่สุดในปีที่ผ่านมา เหรียญออกแบบสวยงามและมีคุณสมบัติพิเศษคือเรืองแสงในความมืด ธีมของงานคือการวิ่งในยามค่ำคืน แต่ข้อดีของ Virtual Run คือคุณไม่จำเป็นต้องวิ่งตอนกลางคืนจริงๆ (ซึ่งอาจไม่ปลอดภัย) คุณสามารถวิ่งเวลาไหนก็ได้ที่สะดวก แต่ได้เหรียญธีมกลางคืนที่สวยงาม

ลูกค้าของผมหลายคนร่วมงานนี้และแชร์ภาพเหรียญเรืองแสงกันในกลุ่ม บางคนถึงกับเก็บไว้ข้างเตียงเป็นไฟกลางคืน ข้อดีอีกอย่างคือผู้จัดมีการไลฟ์สตรีมพิธีเปิดและปิดงานแบบออนไลน์ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของงานจริงๆ

Virtual Run for Wildlife เป็นอีกงานที่มีความหมายมาก รายได้ส่วนหนึ่งนำไปช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ในไทย เหรียญออกแบบเป็นรูปสัตว์หายาก เช่น เสือโคร่ง ช้างป่า และนกกระเรียน แต่ละระยะจะได้รับเหรียญลายสัตว์ที่แตกต่างกัน

ผมเคยพูดคุยกับผู้จัดงานและประทับใจในความตั้งใจของพวกเขามาก “เราอยากให้การวิ่งเป็นมากกว่าการออกกำลังกาย แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ด้วย” ผู้จัดบอกว่า 20% ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถูกส่งไปยังมูลนิธิอนุรักษ์สัตว์ป่า

สิ่งที่ทำให้งานนี้พิเศษคือผู้จัดมีการอัปเดตความคืบหน้าของโครงการอนุรักษ์ให้ผู้เข้าร่วมได้ติดตาม ทำให้รู้สึกว่าการวิ่งของเรามีผลกระทบเชิงบวกจริงๆ ลูกค้าหลายคนบอกผมว่าพวกเขาภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วม

Amazing Thailand Virtual Marathon เป็นการผสมผสานระหว่างการวิ่งและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ผู้จัดสร้างแอปที่มีเส้นทางจำลองสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไทย เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือสุโขทัย

เมื่อคุณวิ่งบนลู่วิ่ง แอปจะแสดงภาพและข้อมูลของสถานที่ต่างๆ ตามระยะทางที่คุณผ่าน เสมือนคุณกำลังวิ่งท่องเที่ยวจริงๆ ผู้เข้าร่วมจะได้รับเหรียญที่ออกแบบตามสถานที่ท่องเที่ยวในเส้นทางนั้นๆ

ลูกค้าที่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์คนหนึ่งบอกผมว่า “ผมใช้งานนี้เป็นโอกาสสอนลูกไปด้วย เราวิ่งด้วยกันบนลู่วิ่งที่บ้าน แล้วเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญต่างๆ ไปพร้อมกัน เป็นการออกกำลังกายและเรียนรู้ไปในตัว”

จากการติดตามวงการ Virtual Run มาหลายปี ผมสังเกตว่างานที่ประสบความสำเร็จมักมีองค์ประกอบเหล่านี้ 

  1. แนวคิดที่ชัดเจนและโดดเด่น (ไม่ใช่แค่วิ่งเพื่อรับเหรียญ)
  2. เหรียญและเสื้อที่ออกแบบอย่างสร้างสรรค์
  3. ระบบการลงทะเบียนและส่งผลที่ใช้งานง่าย
  4. ชุมชนออนไลน์ที่กระตือรือร้น มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
  5. การสื่อสารที่ดีระหว่างผู้จัดและผู้เข้าร่วม

วิ่ง Virtual Run ยังไงไม่ให้เบื่อ? ลองวิธีนี้ของโค้ชหมิงดู

“ความท้าทายใหญ่ที่สุดของ Virtual Run คือความเบื่อ การวิ่งคนเดียวบนลู่หรือเส้นทางซ้ำๆ อาจน่าเบื่อ ผมเอาชนะมันด้วยการสร้างประสบการณ์วิ่งที่สนุก เตรียม playlist เพลงโปรด ดู Netflix ขณะวิ่ง ตั้งเป้าหมายย่อยที่ท้าทาย และเข้าร่วมชุมชนออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักวิ่ง”

เมื่อปีที่แล้ว ลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่ง A5 ไปโทรมาหาผมด้วยความผิดหวัง “พี่หมิง ผมวิ่งได้แค่ 2 สัปดาห์ก็เริ่มเบื่อแล้ว มันไม่สนุกเลย จะทำยังไงดี?” นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในวงการ Virtual Run โดยเฉพาะคนที่วิ่งบนลู่

ผมบอกเขาว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมอง วิ่งไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวร่างกาย แต่เป็นประสบการณ์ที่เราสามารถออกแบบให้สนุกได้ ผมแบ่งปันวิธีที่ผมใช้เอาชนะความเบื่อเวลาวิ่ง Virtual Run 

“ลองนึกถึงตอนที่คุณไปฟิตเนส สิ่งที่ทำให้คนอยู่ได้นานคือมีคนรอบข้าง มีเพลง มีความบันเทิง เราต้องสร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นที่บ้านด้วย”

หลังจากนั้น 3 เดือน เขาโทรกลับมาบอกว่าเขาทำ Virtual Half Marathon สำเร็จแล้ว และกำลังเตรียมตัวสำหรับ Virtual Marathon “ผมไม่เคยนึกว่าการวิ่งบนลู่จะสนุกได้ขนาดนี้ ขอบคุณพี่หมิงมากครับ”

จากประสบการณ์วิ่ง Virtual Run มากกว่า 20 รายการ ผมได้เรียนรู้เทคนิคมากมายที่ช่วยให้การวิ่งสนุกและไม่น่าเบื่อ แม้จะวิ่งคนเดียว 

  1. สร้างบรรยากาศที่สนุก – ผมติดตั้งลำโพงบลูทูธคุณภาพดี จอทีวีขนาดใหญ่ไว้ตรงหน้าลู่วิ่ง และพัดลมหลายตัวรอบลู่ เพื่อให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสตูดิโอส่วนตัว
  2. เตรียม playlist หลากหลาย – ผมมี playlist เฉพาะสำหรับการวิ่งแต่ละประเภท เช่น เพลงจังหวะเร็วสำหรับวิ่ง intervals, เพลงที่มีเนื้อหาลึกซึ้งสำหรับวิ่งระยะไกล แต่ละ playlist ช่วยสร้างอารมณ์ที่แตกต่างกัน
  3. ดูซีรีส์หรือสารคดีขณะวิ่ง – ผมค้นพบว่าการดูซีรีส์ที่สนุกช่วยให้เวลาผ่านไปเร็วมาก โดยเฉพาะเวลาวิ่งโซน 2 ที่ต้องใช้เวลานาน ผมดูจบซีรีส์ไปหลายเรื่องแล้วระหว่างซ้อม Virtual Marathon

เมื่อปีที่แล้ว ผมทำการทดลองส่วนตัวที่น่าสนใจ ผมวิ่งระยะ 10K ในสามรูปแบบ 

  • วิ่งเงียบๆ ไม่มีสื่อบันเทิง
  • วิ่งฟังเพลง
  • วิ่งดูซีรีส์

ผลลัพธ์คือ เมื่อวิ่งเงียบๆ ผมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก และเริ่มเบื่อตั้งแต่กิโลเมตรที่ 4 เมื่อวิ่งฟังเพลง รู้สึกดีขึ้น แต่ยังคิดถึงระยะทางอยู่ แต่เมื่อวิ่งดูซีรีส์ที่สนุก ผมลืมไปเลยว่ากำลังวิ่งอยู่ จนกระทั่งเครื่องแจ้งว่าถึง 10K แล้ว

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  ในปี 2022 นักวิจัยด้านจิตวิทยาการกีฬาศึกษาผลของการใช้สื่อบันเทิงระหว่างออกกำลังกาย พบว่าผู้ที่ดูหรือฟังสื่อบันเทิงระหว่างออกกำลังกายสามารถทำกิจกรรมได้นานกว่ากลุ่มควบคุมถึง 27% และรายงานความรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่า 13%

ลูกค้าของผมที่เป็นแพทย์ท่านหนึ่งแชร์เทคนิคที่น่าสนใจคือเขาเรียนรู้ภาษาใหม่ขณะวิ่ง โดยฟังพอดแคสต์สอนภาษา “ผมเรียนภาษาสเปนไปด้วย วิ่งไปด้วย ตอนนี้ผ่านไป 6 เดือน ผมวิ่งสะสมได้กว่า 800 กิโลเมตร และพูดภาษาสเปนได้พื้นฐานแล้ว รู้สึกว่าได้ประโยชน์สองต่อ”

นี่เป็นแนวคิดที่ผมชอบมาก การทำให้การวิ่งมีความหมายมากกว่าแค่การออกกำลังกาย แต่เป็นเวลาที่มีคุณค่าในด้านอื่นด้วย

ตั้งเป้า วิ่งตาม Playlist ดู Netflix ไปด้วย

“การวิ่งตาม Playlist ที่ออกแบบอย่างพิถีพิถันเป็นเคล็ดลับที่นักวิ่งมืออาชีพใช้กันมานาน ผมสร้าง Playlist เฉพาะสำหรับแต่ละประเภทการซ้อม โดยจัดเรียงเพลงตามความเร็วและอารมณ์ให้สอดคล้องกับช่วงต่างๆ ของการวิ่ง ส่วนการดู Netflix ช่วยลดความรู้สึกเบื่อในการวิ่งระยะไกลได้อย่างน่าทึ่ง”

เรื่องที่หลายคนไม่รู้คือการวิ่งตาม Playlist ที่ออกแบบเฉพาะไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิง แต่เป็นเทคนิคการซ้อมที่มีผลต่อประสิทธิภาพจริงๆ ผมเคยคุยกับโค้ชนักวิ่งมืออาชีพที่ดูแลนักกีฬาทีมชาติ เขาแนะนำให้ใช้เพลงเป็นตัวกำหนดจังหวะการวิ่ง ซึ่งช่วยควบคุมความเร็วได้อย่างแม่นยำ

ผมจึงนำแนวคิดนี้มาประยุกต์กับการทำ Virtual Run บนลู่วิ่ง โดยสร้าง Playlist แบบนี้ 

“Tempo Run Playlist” – เริ่มด้วยเพลงจังหวะช้าสำหรับวอร์มอัพ 10 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะเร็วคงที่สำหรับช่วง tempo หลัก 20-30 นาที และจบด้วยเพลงผ่อนคลายสำหรับ cool down

“Interval Playlist” – จัดเรียงเพลงสลับระหว่างเพลงจังหวะเร็วสุด (สำหรับช่วงวิ่งเร็ว) และเพลงจังหวะช้าลง (สำหรับช่วงพัก) ซึ่งช่วยให้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรสปรินท์และเมื่อไหร่ควรลดความเร็ว โดยไม่ต้องมองนาฬิกาบ่อยๆ

ลูกค้าคนหนึ่งของผมที่เป็นโปรดิวเซอร์เพลงได้ลองใช้วิธีนี้ แล้วบอกผมว่า “มันเปลี่ยนการวิ่งของผมไปเลย ผมรู้สึกเหมือนกำลังเต้นมากกว่าวิ่ง จังหวะดนตรีพาร่างกายไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับตัวเองให้วิ่งเร็วหรือช้า”

ส่วนการดู Netflix ขณะวิ่ง มีเทคนิคพิเศษที่ผมค้นพบคือ “Netflix Timer Technique” ซึ่งผมใช้มาได้ผลดีมาก โดยเฉพาะในการวิ่งระยะไกล

วิธีการคือ เลือกซีรีส์ที่คุณชื่นชอบและกำหนดว่าจะดู 1 ตอน (ประมาณ 40-60 นาที) ต่อการวิ่ง เมื่อเริ่มวิ่ง ให้กดเล่นและตั้งใจว่าจะวิ่งจนจบตอน นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้คุณวิ่งได้นานโดยไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ เพราะใจจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในซีรีส์

“เมื่อตอนที่ผมซ้อม Virtual Marathon ครั้งแรก ผมใช้เทคนิคนี้โดยเลือกซีรีส์ที่มี 4 ตอน แต่ละตอนยาวประมาณ 1 ชั่วโมง ผมตั้งใจว่าจะวิ่งให้จบซีรีส์ทั้ง 4 ตอนในวันนั้น ผลลัพธ์คือผมวิ่งได้ 42 กิโลเมตรโดยแทบไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไป เพราะใจจดจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  มีการศึกษาในปี 2023 ที่พบว่า การรับชมรายการโทรทัศน์ขณะออกกำลังกายความเข้มข้านระดับปานกลาง (เช่น การวิ่งโซน 2) สามารถลดการรับรู้ความเหนื่อยล้าได้ถึง 28% และเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายโดยเฉลี่ย 31% เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายโดยไม่มีสื่อบันเทิง

เทคนิคอีกอย่างที่ผมแนะนำคือ “Series Connection” โดยกำหนดให้ซีรีส์เรื่องนั้นเป็นซีรีส์ที่คุณจะดูได้เฉพาะตอนวิ่งเท่านั้น ไม่ดูที่อื่นหรือเวลาอื่น วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้คุณอยากวิ่งเพื่อดูตอนต่อไป โดยเฉพาะถ้าเป็นซีรีส์ที่สนุกและชวนติดตาม

“ผมเคยติดซีรีส์เรื่องหนึ่งมาก แต่ทำข้อตกลงกับตัวเองว่าจะดูได้เฉพาะตอนวิ่งเท่านั้น ผลคือ ผมกระตือรือร้นที่จะวิ่งทุกวัน บางวันถึงขั้นวิ่งสองรอบเพื่อจะได้ดูสองตอน นี่เป็นวิธีที่ทำให้ผมมีวินัยในการซ้อมอย่างไม่น่าเชื่อ”

ซ้อมบนลู่วิ่งวันฝนตก ยังได้ฟีลอยู่

“วันฝนตกหนักเป็นวันที่นักวิ่งหลายคนพลาดการซ้อม แต่กับลู่วิ่งที่บ้าน คุณไม่มีข้ออ้าง ผมใช้เทคนิคสร้างบรรยากาศให้เหมือนวิ่งข้างนอก เช่น เปิดเสียงฝนตก เปิดวิดีโอเส้นทางวิ่งในสวน จัดแสงไฟสลัวๆ เหมือนช่วงเช้ามืด พร้อมเปิดพัดลมเพื่อจำลองลมพัด เทคนิคเหล่านี้ทำให้การวิ่งบนลู่สนุกและเหมือนจริงขึ้นอย่างน่าประหลาด”

ช่วงหน้าฝนปีที่แล้ว ผมมีประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นสัปดาห์ แต่ผมอยู่ในช่วงซ้อมสำหรับ Virtual Half Marathon ไม่สามารถพลาดการซ้อมได้ จึงต้องพึ่งลู่วิ่งที่บ้าน 100%

ปัญหาคือ ผมรู้สึกว่าขาดบรรยากาศการวิ่งข้างนอกที่ผมชื่นชอบมาก โดยเฉพาะกลิ่นดินหลังฝนตก ความสดชื่นของอากาศ และเสียงธรรมชาติ ผมจึงคิดค้นวิธีสร้างประสบการณ์ให้ใกล้เคียงที่สุด

สิ่งที่ผมทำคือ 

  1. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีการปล่อยไอน้ำและกลิ่นธรรมชาติใกล้กับลู่วิ่ง
  2. ฉายวิดีโอวิ่วจากกล้อง GoPro ของนักวิ่งที่วิ่งในสวนสาธารณะหรือเส้นทางธรรมชาติบนทีวีขนาดใหญ่ตรงหน้าลู่วิ่ง
  3. เปิดเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงนก เสียงลม เสียงฝนตกเบาๆ จากลำโพงคุณภาพดี
  4. ติดตั้งพัดลมหลายตัวที่สามารถปรับความแรงได้ ให้สอดคล้องกับช่วงต่างๆ ของการวิ่ง

ผลลัพธ์ทำให้ผมประหลาดใจมาก การรวมประสาทสัมผัสหลายด้านเข้าด้วยกัน – ภาพ เสียง กลิ่น สัมผัส – ทำให้สมองรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งในสภาพแวดล้อมจริงมากขึ้น

ลูกค้าคนหนึ่งที่ได้ลองวิธีนี้บอกผมว่า “ผมรู้สึกเหมือนวิ่งในสวนลุมพินีจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่มองทีวีและเห็นวิวต้นไม้ ได้ยินเสียงนก รู้สึกลมพัดจากพัดลม มันสร้างประสบการณ์ที่สมจริงมาก”

เรื่องที่น่าสนใจคือการใช้ “sensory bridging” หรือการเชื่อมต่อประสาทสัมผัสหลายด้านนี้ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องความสนุก แต่มีผลต่อประสิทธิภาพการวิ่งจริงๆ

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  นักวิจัยด้านจิตวิทยาการกีฬาพบว่า การกระตุ้นประสาทสัมผัสหลายด้านพร้อมกันขณะออกกำลังกายในร่ม สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกายได้ถึง 12% และลดความรู้สึกเบื่อหน่ายได้มากถึง 35% โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่สมองถูกหลอกให้คิดว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมจริง

อีกเทคนิคที่ผมใช้คือการเปลี่ยน “ธีม” ของการวิ่งในแต่ละวัน เช่น วันจันทร์อาจเป็น “Beach Running Day” ฉายวิดีโอชายหาด เปิดเสียงคลื่น ใส่กางเกงขาสั้น อังคารอาจเป็น “Forest Trail Day” ฉายวิดีโอเส้นทางในป่า เปิดเสียงนก การเปลี่ยนธีมทำให้การวิ่งแต่ละวันไม่ซ้ำซาก

“ช่วง Virtual Marathon ที่ผ่านมา ผมสร้างเส้นทางจำลองของมาราธอนดังทั่วโลก ทุกสัปดาห์ผมจะวิ่งในเมืองใหม่ ทั้ง New York, Tokyo, Berlin โดยฉายวิดีโอเส้นทางวิ่งจริงของมาราธอนเหล่านั้น มันทำให้การซ้อมสนุกและมีชีวิตชีวามาก เหมือนได้เดินทางไปทั่วโลกโดยไม่ต้องออกจากบ้าน”

แชร์ผลการวิ่งลงกลุ่ม Facebook ช่วยให้มีแรงใจ

“การแชร์ผลการวิ่งลงกลุ่ม Facebook ไม่ใช่แค่การอวดผลงาน แต่เป็นการสร้างระบบความรับผิดชอบและแรงจูงใจร่วม เมื่อคุณประกาศให้คนอื่นรู้ว่าคุณกำลังทำอะไร คุณจะมีแรงกดดันเชิงบวกที่จะทำให้สำเร็จ และเมื่อได้รับกำลังใจจากเพื่อนร่วมวิ่ง มันสร้างพลังใจมหาศาลที่ทำให้คุณฝ่าฟันความเหนื่อยล้าได้”

ประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดในการทำ Virtual Run ของผมเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่ผมตัดสินใจสร้างกลุ่ม Facebook เล็กๆ ชื่อ “RunatHome Virtual Club” สำหรับลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไปและสนใจทำ Virtual Run

ตอนแรกมีสมาชิกแค่ 10 กว่าคน เราตกลงกันว่าจะสมัคร Virtual Half Marathon รายการเดียวกัน และซ้อมไปพร้อมกัน ทุกคนต้องโพสต์ผลการซ้อมทุกครั้ง ไม่ว่าจะดีหรือแย่ พร้อมกับความรู้สึกและปัญหาที่พบ

สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น กลุ่มเล็กๆ นี้กลายเป็นชุมชนที่แน่นแฟ้น สมาชิกให้กำลังใจกันอย่างจริงใจ แบ่งปันเทคนิค แนะนำวิธีแก้ปัญหา และสร้างแรงบันดาลใจให้กันและกัน

“มีครั้งหนึ่งที่ผมป่วยและหยุดวิ่งไป 5 วัน ผมรู้สึกท้อและคิดจะยกเลิกการทำ Virtual Half Marathon นั้น แต่พอเข้าไปในกลุ่ม มีสมาชิกหลายคนแชร์ประสบการณ์คล้ายๆ กัน และให้กำลังใจผม บอกว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ ไม่ต้องกดดันตัวเอง ลงสมัครแล้วต้องสู้ให้จบ ผมซาบซึ้งมากและกลับมาวิ่งอีกครั้งหลังหายดี สุดท้ายทำสำเร็จได้ตามเป้า”

ปัจจุบันกลุ่มนี้เติบโตขึ้นเป็น 200 กว่าคน และกลายเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา เรามีการจัดกิจกรรมพิเศษทุกเดือน เช่น “Virtual Run Challenge” ที่เรากำหนดเป้าหมายร่วมกัน และทุกคนช่วยกันทำให้สำเร็จ

ลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวบอกผมว่า “กลุ่มนี้กลายเป็นครอบครัวที่สองของหนู หนูไม่เคยมีเพื่อนวิ่งมาก่อน แต่ตอนนี้มีเพื่อนเป็นร้อย ทุกคนเข้าใจกัน ให้กำลังใจกัน และช่วยให้หนูมีแรงลุกมาวิ่งแม้ในวันที่เหนื่อยล้าที่สุด”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2022 เกี่ยวกับพฤติกรรมการออกกำลังกายพบว่า คนที่เข้าร่วมชุมชนออนไลน์เกี่ยวกับการออกกำลังกายและแชร์ความก้าวหน้าของตนเองอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสทำตามเป้าหมายสำเร็จสูงกว่าคนที่พยายามทำคนเดียวถึง 82% และมีอัตราการล้มเลิกต่ำกว่าถึง 65%

เทคนิคการแชร์ที่ได้ผลดีที่สุดจากประสบการณ์ของผมคือ 

  1. แชร์อย่างสม่ำเสมอ – ไม่ใช่แค่วันที่วิ่งได้ดี แต่รวมถึงวันที่ยากลำบากด้วย เพื่อให้เห็นภาพรวมที่แท้จริง
  2. แชร์รายละเอียด – ไม่ใช่แค่ระยะทางและเวลา แต่รวมถึงความรู้สึก ปัญหาที่พบ และวิธีที่คุณใช้จัดการ
  3. โต้ตอบกับผู้อื่น – ไม่เพียงแค่โพสต์ของตัวเอง แต่ให้กำลังใจและคำแนะนำกับเพื่อนสมาชิกด้วย
  4. ตั้งความท้าทายร่วม – ชวนสมาชิกในกลุ่มทำความท้าทายสั้นๆ ด้วยกัน เช่น “7 วัน 7K” หรือ “ซ้อม intervals ทุกวันพุธ”

“ผมเคยคิดว่าการวิ่งเป็นกีฬาส่วนตัว แต่ Virtual Run สอนผมว่ามันสามารถเป็นกิจกรรมที่สร้างชุมชนได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้เราจะวิ่งคนละที่ คนละเวลา แต่เราวิ่งไปด้วยกัน แบ่งปันความสำเร็จและความท้าทายร่วมกัน”

 

จากประสบการณ์โค้ชหมิง  ลู่วิ่งช่วยฝึกให้วิ่งดีขึ้นจริงไหม?

“ในฐานะนักวิ่งมาราธอนที่ผ่านการแข่งขันมากว่า 20 รายการ ผมยืนยันได้เลยว่าลู่วิ่งช่วยพัฒนาการวิ่งได้จริง และบางแง่มุมยังดีกว่าการวิ่งข้างนอกด้วยซ้ำ ลู่วิ่งช่วยให้คุณควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้แม่นยำ ตั้งแต่ความเร็ว ความชัน จนถึงสภาพแวดล้อม ทำให้คุณสามารถฝึกฝนเทคนิคและสร้างความแข็งแกร่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

คำถามนี้ผมได้รับบ่อยมาก โดยเฉพาะจากนักวิ่งที่จริงจัง พวกเขามักสงสัยว่า “การซ้อมบนลู่วิ่งจะช่วยพัฒนาความสามารถในการวิ่งจริงได้ไหม หรือมันคนละเรื่องกัน?”

ผมยังจำวันที่ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้ได้ดี ช่วงนั้นผมมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเข่า แพทย์แนะนำให้วิ่งบนลู่วิ่งเพื่อลดแรงกระแทก ผมกังวลว่าจะทำให้ประสิทธิภาพการวิ่งของผมแย่ลง แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม

หลังจากซ้อมบนลู่วิ่งเป็นหลักประมาณ 3 เดือน ผมกลับไปวิ่งในสนามจริงและพบว่าเวลาดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ไม่ได้วิ่งข้างนอกเลย นี่ทำให้ผมสนใจศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

การคุมโซน 2 บนลู่วิ่งง่ายกว่าวิ่งข้างนอกไหม?

“การควบคุมให้อยู่ในโซน 2 (ประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความทนทาน แต่หลายคนทำไม่ได้เมื่อวิ่งข้างนอก เพราะมีปัจจัยรบกวนมากมาย ทั้งเนินเขา สภาพอากาศ และแรงกดดันทางสังคม ลู่วิ่งทำให้การควบคุมโซนง่ายขึ้นอย่างมาก คุณตั้งความเร็วคงที่ และสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ฝึกความรู้สึกของโซน 2 ได้แม่นยำกว่า”

นี่เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของการฝึกบนลู่วิ่ง ผมสังเกตเห็นว่านักวิ่งมือใหม่เกือบทุกคนมีปัญหาในการควบคุมให้อยู่ในโซน 2 เมื่อวิ่งข้างนอก

เมื่อสองปีก่อน ผมเปิดคลินิกวิ่งเล็กๆ สำหรับลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งไป มีคนหนึ่งเป็นนักวิ่งมือใหม่อายุ 42 ปี เขาบอกว่า “ผมพยายามวิ่งโซน 2 ตามที่อ่านในบทความว่าดีที่สุดสำหรับการสร้างฐาน แต่วิ่งเมื่อไหร่ หัวใจก็เต้นเร็วเกินทุกที จนเครียดว่าทำไมทำไม่ได้”

ผมแนะนำให้เขาทำการทดลองง่ายๆ วิ่งบนลู่ พร้อมสวมอุปกรณ์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate monitor) ผมค่อยๆ ปรับความเร็วจนกระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในโซน 2 พอดี ซึ่งสำหรับเขาคือประมาณ 130-140 ครั้งต่อนาที

สิ่งที่น่าแปลกใจคือความเร็วที่ทำให้เขาอยู่ในโซน 2 ช้ากว่าที่เขาคิดมาก เขาต้องเดินเร็วสลับวิ่งช้าที่ความเร็วประมาณ 7-8 กม./ชม. เท่านั้น ซึ่งเมื่อเขาวิ่งข้างนอก ความเร็วระดับนี้ทำให้เขารู้สึกว่า “ช้าเกินไป” เขาจึงมักเร่งความเร็วโดยไม่รู้ตัว

หลังจากฝึกบนลู่วิ่งอย่างต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ โดยรักษาให้อยู่ในโซน 2 ตลอด เขาเริ่มรู้สึกและจดจำได้ว่าการวิ่งในโซน 2 เป็นอย่างไร และสามารถนำความรู้สึกนี้ไปใช้เมื่อวิ่งข้างนอกได้

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาจากมหาวิทยาลัยในฟินแลนด์พบว่า นักวิ่งสมัครเล่นที่ฝึกซ้อมในโซน 2 อย่างน้อย 80% ของเวลาซ้อมทั้งหมด มีการพัฒนาความทนทานระยะยาว (endurance) เร็วกว่ากลุ่มที่ซ้อมหนักเป็นประจำถึง 30% ในระยะเวลา 12 สัปดาห์

ความลับที่หลายคนไม่รู้คือ แม้แต่นักวิ่งระดับโลกยังใช้ลู่วิ่งเพื่อฝึกซ้อมในโซนเฉพาะอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในประเทศที่มีสภาพอากาศรุนแรง อย่างเคนยาหรือเอธิโอเปีย นักวิ่งระดับแนวหน้าของโลกหลายคนมีลู่วิ่งคุณภาพสูงที่บ้านหรือศูนย์ฝึก

เทคนิคที่ผมใช้ในการฝึกโซน 2 บนลู่วิ่งคือ “การฝึกแบบขั้นบันได (Step Ladder Training)” โดยเริ่มจากความเร็วต่ำ แล้วค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยจนถึงขอบบนของโซน 2 จากนั้นค่อยๆ ลดลงอีกครั้ง เทคนิคนี้ช่วยให้คุณเรียนรู้ความรู้สึกทั้งหมดในโซน 2 ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุด

“ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับมาราธอนครั้งล่าสุด ผมใช้ลู่วิ่ง A5 ฝึกโซน 2 เป็นหลัก ซึ่งทำให้ผมควบคุมการเต้นของหัวใจได้แม่นยำมาก และเมื่อวันแข่งมาถึง ผมสามารถรักษาจังหวะการวิ่งให้อยู่ในโซน 2 ได้ตลอด 30 กิโลเมตรแรก ก่อนจะเร่งในช่วงท้าย ทำให้ทำเวลาดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา”

ลู่วิ่งรุ่นไหนทำให้ซ้อม “ได้ใจ” เหมือนอยู่สนามจริง

“จากประสบการณ์ทดสอบลู่วิ่งมากกว่า 100 รุ่น ผมพบว่าลู่วิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งในสนามจริงต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง  พื้นที่วิ่งกว้างพอที่จะปรับเปลี่ยนท่าวิ่งได้อิสระ, ระบบลดแรงกระแทกที่ให้ความรู้สึกยืดหยุ่นแต่ไม่นุ่มเกินไป และระบบปรับความชันที่เหมาะสม ลู่วิ่งระดับกลาง-สูงอย่าง A5, X20 หรือ CX8 สามารถให้ความรู้สึก ‘ได้ใจ’ เหมือนวิ่งข้างนอกได้มากที่สุด”

คำว่า “ได้ใจ” เป็นคำที่นักวิ่งใช้บรรยายความรู้สึกที่ถูกต้อง เมื่อการวิ่งให้ความรู้สึกสมจริงและท้าทายพอที่จะทำให้เราพัฒนาได้ ผมเคยมีลูกค้าบอกว่า “ลู่วิ่งสมัยก่อนมันวิ่งแล้วไม่ได้ใจ เหมือนเดินเล่นมากกว่า” นี่เป็นความท้าทายที่ผู้ผลิตลู่วิ่งพยายามแก้ไขมาตลอด

จากการทดสอบและรับฟีดแบ็คจากลูกค้านับพัน ผมพบว่าลู่วิ่งที่ให้ความรู้สึก “ได้ใจ” ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 

  1. พื้นผิวสายพานที่ให้แรงเกาะที่ดี – ไม่ลื่นเกินไปหรือหนืดเกินไป เพื่อให้การก้าวเท้ามั่นคง
  2. การตอบสนองของมอเตอร์ที่เป็นธรรมชาติ – ไม่กระตุกเมื่อเร่งหรือลดความเร็ว
  3. ความกว้างของพื้นที่วิ่งที่เพียงพอ – อย่างน้อย 50 ซม. สำหรับการวิ่งที่เป็นธรรมชาติ
  4. ระบบลดแรงกระแทกที่สมดุล – ไม่แข็งเกินไปที่จะทำร้ายข้อต่อ หรือนุ่มเกินไปจนขาดความรู้สึกตอบสนอง
  5. ความสามารถในการปรับความชัน – ช่วยจำลองการวิ่งขึ้น-ลงเขาได้

ลู่วิ่ง A5 เป็นรุ่นที่ได้รับความชื่นชมมากที่สุดในด้านนี้ เนื่องจากมีพื้นที่วิ่งกว้าง 58 ซม. ยาว 145 ซม. ซึ่งให้ความรู้สึกอิสระในการวิ่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะก้าวพลาดหรือวิ่งไม่เป็นธรรมชาติ

ผมเคยมีประสบการณ์ที่น่าสนใจกับลูกค้าที่เป็นนักวิ่งจริงจัง เขาเคยปฏิเสธที่จะใช้ลู่วิ่งมาตลอดเพราะคิดว่า “มันไม่เหมือนวิ่งจริง” แต่หลังจากที่เขาได้ทดลองวิ่งบนลู่วิ่ง X20 ที่มีระบบปรับความชันอัตโนมัติและพื้นที่วิ่งกว้าง เขากลับมาบอกผมว่า 

“ผมเซอร์ไพรส์มาก คิดว่าจะรู้สึกแปลกๆ แต่พอวิ่งจริงๆ กลับรู้สึกเป็นธรรมชาติกว่าที่คิด โดยเฉพาะตอนปรับความชันขึ้นลง มันให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งบนเนินจริงๆ ไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังเล่นของเล่นเลย”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2022 เกี่ยวกับชีวกลศาสตร์การวิ่ง (running biomechanics) พบว่า ลู่วิ่งที่มีพื้นที่วิ่งกว้างอย่างน้อย 50 ซม. ช่วยให้นักวิ่งมีรูปแบบการวิ่ง (running pattern) ที่ใกล้เคียงกับการวิ่งข้างนอกมากที่สุด โดยเฉพาะในแง่ของความยาวก้าว (stride length) และการเคลื่อนไหวของสะโพก (hip motion)

อีกรุ่นที่น่าสนใจคือ CX8 ซึ่งเป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ให้ความรู้สึก “ได้ใจ” ในอีกแบบ เพราะคุณเป็นคนขับเคลื่อนสายพานเอง ไม่มีมอเตอร์มาช่วย ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ มากกว่า ลูกค้าที่เป็นนักกีฬาไตรกีฬาคนหนึ่งบอกผมว่า 

“CX8 ทำให้ผมตื่นเต้นเหมือนวิ่งลงแข่งจริงๆ เพราะต้องออกแรงจริง ไม่มีมอเตอร์มาช่วยประคอง มันท้าทายและให้ความรู้สึกสมจริงมาก โดยเฉพาะการปรับแรงต้านที่สูงขึ้นเพื่อจำลองการวิ่งขึ้นเขา”

ถ้าต้องเลือกแค่รุ่นเดียวไว้ซ้อม Virtual Run โค้ชแนะนำรุ่นไหน?

“หากต้องเลือกเพียงรุ่นเดียวเพื่อซ้อม Virtual Run ผมขอแนะนำ A5 ด้วยความมั่นใจ เพราะเป็นรุ่นที่สร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่างคุณภาพและราคา มีพื้นที่วิ่งกว้าง 58 ซม. ซึ่งให้ความรู้สึกอิสระ มอเตอร์ 5.0 แรงม้าที่ทนทานแม้ซ้อมหนัก ระบบลดแรงกระแทดด้วยโช๊คสปริงคู่ที่ถนอมข้อเข่า และความสามารถในการเชื่อมต่อแอปที่ครบครัน ซึ่งสำคัญมากสำหรับ Virtual Run”

นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุด และคำตอบของผมไม่เคยเปลี่ยน – A5 คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลู่วิ่งเพียงรุ่นเดียวเพื่อซ้อม Virtual Run

ผมยังจำวันที่ผมออกแบบ A5 ได้ดี ผมต้องการสร้างลู่วิ่งที่ตอบโจทย์ทั้งนักวิ่งมือใหม่และนักวิ่งที่จริงจัง โดยไม่แพงเกินไปจนเข้าถึงยาก เป้าหมายคือการรวมคุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดสำหรับการซ้อมที่มีประสิทธิภาพ โดยตัดคุณสมบัติฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นออก

จากการติดตามลูกค้าที่ซื้อ A5 ไปกว่า 300 คน ผมพบว่ากว่า 90% ใช้งานอย่างต่อเนื่องแม้หลังผ่านไปเป็นปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ประมาณ 60-70%

เหตุผลที่ A5 เหมาะสำหรับ Virtual Run มากที่สุดคือ 

  1. ความทนทาน – มอเตอร์ 5.0 แรงม้าและโครงสร้างที่แข็งแรงรองรับการวิ่งต่อเนื่องได้นานหลายชั่วโมง ซึ่งจำเป็นสำหรับการซ้อมระยะไกล
  2. ความสบาย – พื้นที่วิ่งกว้าง 58 ซม. และระบบลดแรงกระแทกที่ดี ช่วยให้วิ่งสบายไม่บาดเจ็บ แม้วิ่งนานๆ
  3. การเชื่อมต่อ – รองรับการเชื่อมต่อกับแอปหลากหลาย ทั้ง Zwift, FITIME, Strava และอื่นๆ ซึ่งเป็นหัวใจของการทำ Virtual Run
  4. ความคุ้มค่า – ราคาที่เข้าถึงได้เมื่อเทียบกับคุณสมบัติที่ได้รับ ทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อ A5 ไปเมื่อ 2 ปีก่อน เขาเพิ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า 

“ผมซื้อ A5 มาตอนแรกก็แค่อยากออกกำลังกายทั่วไป แต่ตอนนี้ผมทำ Virtual Marathon ไปแล้ว 3 รายการ และกำลังเตรียมตัวสำหรับ Ultra Marathon 50K ลู่วิ่งนี้เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะวิ่งได้ไกลขนาดนี้ และไม่คิดว่าลู่วิ่งรุ่นนี้จะรองรับการซ้อมหนักขนาดนี้ได้”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การสำรวจผู้ใช้ลู่วิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2023 พบว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนยังคงใช้ลู่วิ่งอย่างต่อเนื่องหลังผ่านไป 1 ปี คือความสามารถในการเชื่อมต่อกับแอปและการมีพื้นที่วิ่งที่กว้างพอ โดยผู้ที่มีลู่วิ่งที่เชื่อมต่อแอปได้มีอัตราการใช้งานต่อเนื่องสูงกว่าถึง 43%

ถ้าคุณเป็นนักวิ่ง Virtual Run จริงจังและสามารถลงทุนเพิ่มได้ ลู่วิ่ง X20 ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่และระบบความชันอัตโนมัติที่ปรับได้ละเอียดกว่า แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ A5 ให้ความคุ้มค่าที่ดีกว่าและมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับ Virtual Run แล้ว

 

สรุป  Virtual Run คือเครื่องมือฝึกวิ่งที่ดีที่สุดในยุคนี้

“Virtual Run ไม่ใช่แค่กิจกรรมเพื่อรับเหรียญหรือทางเลือกเมื่อไม่สามารถไปงานวิ่งจริงได้ แต่มันคือวิวัฒนาการของการวิ่งในยุคดิจิทัล ที่ผสมผสานความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และชุมชนออนไลน์เข้าด้วยกัน จากประสบการณ์ 20 ปีในวงการวิ่ง ผมมั่นใจว่า Virtual Run คือเครื่องมือฝึกที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน ที่ทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีเวลาเท่าไร ก็สามารถบรรลุเป้าหมายการวิ่งของตนเองได้”

หลังจากเป็นนักวิ่งมากว่า 20 ปี และผ่านการวิ่งทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและ Virtual Run มานับไม่ถ้วน ผมสรุปได้ว่า Virtual Run ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของวัฒนธรรมการวิ่งที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน

เมื่อปีที่แล้ว ผมได้จัดงานสัมมนาเล็กๆ เรื่อง “อนาคตของการวิ่ง” มีนักวิ่งหลายระดับเข้าร่วม ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงนักวิ่งอัลตร้ามาราธอน สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ แม้แต่นักวิ่งระดับสูงหลายคนก็ยอมรับว่า Virtual Run กลายเป็นส่วนสำคัญในโปรแกรมการฝึกซ้อมของพวกเขา

ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งบอกว่า “ผมเคยมองว่า Virtual Run เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ไม่จริงจัง แต่ตอนนี้ผมใช้มันเป็นเครื่องมือหลักในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติ มันให้ข้อมูลที่แม่นยำ ช่วยให้ผมปรับปรุงเทคนิคได้ดีขึ้น และช่วยให้ผมซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในวันที่อากาศแย่หรือตารางงานแน่น”

Virtual Run เปลี่ยนแปลงวงการวิ่งใน 3 ด้านหลัก 

  1. การเข้าถึง – ทำให้การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีข้อจำกัดอะไร
  2. ข้อมูลและการวิเคราะห์ – นำเทคโนโลยีมาช่วยในการติดตามและวิเคราะห์การวิ่งอย่างละเอียด
  3. ชุมชน – สร้างชุมชนนักวิ่งออนไลน์ที่เชื่อมต่อคนทั่วโลกที่มีความสนใจเดียวกัน

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การวิเคราะห์แนวโน้มการวิ่งทั่วโลกในปี 2023 แสดงให้เห็นว่า Virtual Run เติบโตเร็วที่สุดในบรรดารูปแบบการวิ่งทั้งหมด โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 32% ต่อปี และคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 จะมีนักวิ่งที่เข้าร่วม Virtual Run มากกว่างานวิ่งแบบดั้งเดิม

ผมมั่นใจว่าอนาคตของการวิ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบดั้งเดิมและเสมือนจริง นักวิ่งจะใช้ Virtual Run เป็นเครื่องมือในการฝึกซ้อมและสร้างความตื่นเต้นในชีวิตประจำวัน และเลือกไปงานวิ่งจริงเมื่อต้องการประสบการณ์พิเศษหรือท้าทายตัวเองในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง

 

วิ่งเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องรอสนาม

“ความงามของ Virtual Run คือการที่คุณไม่ต้องรอให้มีงานวิ่งในพื้นที่ของคุณ ไม่ต้องจองโรงแรม ไม่ต้องตื่นตี 3 เพื่อไปยืนรอปล่อยตัว คุณเลือกเวลาและสถานที่ได้เอง ต้องการวิ่งตอนเที่ยงคืนก็ได้ อยากวิ่งตอนเช้ามืดก็ได้ อยากแบ่งระยะทางเป็นหลายวันก็ทำได้ นี่คือการปลดล็อกข้อจำกัดทั้งหมดของการวิ่งแบบดั้งเดิม”

เมื่อ 5 ปีก่อน ผมมีประสบการณ์ที่ทำให้ตระหนักถึงพลังของ Virtual Run อย่างแท้จริง ตอนนั้นผมกำลังเตรียมตัวสำหรับมาราธอนที่ญี่ปุ่น ซึ่งจัดในเดือนพฤศจิกายน แต่ในเดือนกันยายน ผมประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยจนต้องหยุดซ้อมไป 3 สัปดาห์

เมื่อกลับมาวิ่งได้ ผมเหลือเวลาเตรียมตัวแค่ 6 สัปดาห์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับมาราธอนเต็มรูปแบบ ผมจึงตัดสินใจยกเลิกทริปญี่ปุ่น และรู้สึกผิดหวังมาก

แต่แล้วผมก็พบกับ Virtual Marathon รายการหนึ่งที่ให้เวลาวิ่ง 3 เดือน ผมตัดสินใจสมัครและวางแผนการซ้อมใหม่ทั้งหมด โดยค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ไม่เร่งรีบ ฟังร่างกายตัวเอง และในที่สุดผมก็วิ่งครบระยะมาราธอน 42.195 กิโลเมตรบนลู่วิ่งที่บ้าน

ประสบการณ์นี้เปลี่ยนมุมมองผมไปเลย ผมตระหนักว่าเราไม่จำเป็นต้องรอให้มีงานวิ่งหรือปฏิทินการแข่งขันมากำหนดชีวิตเรา เราสามารถสร้างประสบการณ์การวิ่งได้ด้วยตัวเอง ตามเงื่อนไขของเราเอง

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การสำรวจนักวิ่งในเอเชียในปี 2023 พบว่า 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ความยืดหยุ่นด้านเวลา” เป็นเหตุผลหลักที่พวกเขาเลือก Virtual Run และ 58% บอกว่าพวกเขาชอบที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางและที่พัก

นอกจากความยืดหยุ่นแล้ว Virtual Run ยังเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงงานวิ่งระดับนานาชาติที่ปกติอาจไม่สามารถเข้าร่วมได้ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือเวลา

“ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่ฝันอยากวิ่ง Boston Marathon มาตลอด แต่ไม่มีโอกาสเพราะทั้งค่าใช้จ่ายและคุณสมบัติที่ต้องวิ่งให้ได้เวลาตามเกณฑ์ แต่เมื่อมี Boston Virtual Marathon เปิดรับสมัคร เขาตื่นเต้นมาก และตั้งใจซ้อมอย่างหนัก สุดท้ายเขาวิ่งจบและได้รับเหรียญ Boston Marathon อย่างเป็นทางการ ถึงจะไม่ได้วิ่งที่บอสตัน แต่ความภูมิใจไม่ต่างกัน”

ความลับที่หลายคนไม่รู้คือ งานวิ่งใหญ่ระดับโลกหลายงานเริ่มจัด Virtual Edition เพื่อเปิดโอกาสให้คนทั่วโลกได้มีส่วนร่วม แม้จะอยู่ไกลแค่ไหน และบางงานยังนับผลการวิ่ง Virtual เป็นส่วนหนึ่งของประวัติการวิ่ง ซึ่งอาจช่วยในการสมัครงานวิ่งจริงในอนาคตด้วย

 

มีลู่วิ่งดี ๆ ก็เปลี่ยนบ้านเป็นสนามแข่งได้

“เมื่อคุณมีลู่วิ่งคุณภาพดีที่บ้าน คุณมีสนามแข่งส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าฝนจะตกหนัก อากาศจะร้อนระอุ หรือพายุจะพัดกระหน่ำ คุณยังวิ่งได้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ไม่มีสัญญาณไฟจราจรให้รอ ไม่มีหมาไล่ ไม่มีมลพิษ ไม่มีความไม่ปลอดภัยยามค่ำคืน แค่มีลู่วิ่งดีๆ สักเครื่อง คุณก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ซ้อมอีกต่อไป”

เมื่อปีที่แล้ว กรุงเทพฯ เจอปัญหามลพิษ PM 2.5 หนักมาก จนมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้ง นักวิ่งหลายคนต้องหยุดซ้อม แต่ลูกค้าที่มีลู่วิ่งที่บ้านยังคงซ้อมได้ตามปกติ

ลูกค้ารายหนึ่งแชร์ประสบการณ์กับผมว่า “ช่วงฝุ่น PM 2.5 ที่ผ่านมา เพื่อนในกลุ่มวิ่งหลายคนต้องหยุดซ้อม บางคนพยายามซ้อมตอนดึกหวังว่าฝุ่นจะน้อยลง แต่ก็ไม่ปลอดภัย ผมดีใจมากที่มีลู่วิ่งที่บ้าน ซ้อมได้ทุกวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่นหรือความปลอดภัย”

สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนบ้านเป็นสนามแข่งไม่ได้หมายถึงแค่การมีลู่วิ่ง แต่รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวิ่งด้วย ผมแนะนำให้ลูกค้าจัดพื้นที่รอบลู่วิ่งให้เหมาะสม 

  1. ติดตั้งกระจกบานใหญ่เพื่อดูฟอร์มการวิ่ง
  2. จัดชั้นวางอุปกรณ์ใกล้ลู่วิ่ง เช่น ผ้าเย็น น้ำดื่ม เจลพลังงาน
  3. ติดตั้งพัดลมหลายตัวเพื่อระบายความร้อนขณะวิ่ง
  4. ติดทีวีหรือจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ตรงหน้าลู่วิ่ง
  5. ติดตั้งระบบเสียงคุณภาพดีเพื่อสร้างบรรยากาศ

ลูกค้าที่วิ่งจริงจังคนหนึ่งถึงขั้นจัดห้องพิเศษในบ้านเป็น “สตูดิโอวิ่ง” เขาติดตั้งลู่วิ่ง X20 ทีวีขนาด 65 นิ้ว ระบบเสียงรอบทิศทาง และเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูง เขาบอกผมว่า “นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่เป็นไลฟ์สไตล์และความสุขของผม”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของมลพิษต่อนักวิ่งในปี 2022 พบว่า การวิ่งในพื้นที่ที่มีค่า PM 2.5 สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 1 ชั่วโมง อาจลดความสามารถในการใช้ออกซิเจนสูงสุด (VO2max) ลงชั่วคราวได้ถึง 6% และเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ

นอกจากปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ความปลอดภัยก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการวิ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้นหรือหลังพระอาทิตย์ตก ลูกค้าหญิงหลายคนบอกผมว่าลู่วิ่งที่บ้านให้อิสระในการวิ่งโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

“การมีลู่วิ่งที่บ้านเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลย ฉันเคยเป็นคนที่กลัวการวิ่งคนเดียวตอนมืด แต่ฉันก็ไม่มีเวลาช่วงกลางวัน ตอนนี้ฉันตื่นตี 4 ครึ่ง วิ่งบนลู่วิ่งในบ้าน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น และยังมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานได้ทันเวลา”

 

ซ้อมจริงจัง ก็ทำได้ แม้จะวิ่งคนเดียว

“ความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับ Virtual Run คือคิดว่ามันไม่ใช่การซ้อมจริงจัง ความจริงแล้ว การซ้อมคนเดียวอย่างมีแผนการชัดเจน มีวินัย มีการติดตามข้อมูลอย่างละเอียด สามารถพัฒนาคุณได้เร็วกว่าการวิ่งแบบไม่มีระบบในสนามจริงด้วยซ้ำ หลายคนทำเวลาดีที่สุดในชีวิตหลังจากผ่านการซ้อมแบบ Virtual Run มาอย่างจริงจัง”

ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่ง A5 ไปโทรมาหาผมด้วยความตื่นเต้น เขาเพิ่งวิ่งมาราธอนได้เวลาดีที่สุดในชีวิต (Personal Best) หลังจากซ้อมด้วย Virtual Run เป็นหลัก

“พี่หมิง ผมไม่เชื่อเลยว่าจะทำได้ ผมวิ่งมาราธอนครั้งนี้ได้ 3 45 ดีกว่าครั้งก่อนถึง 17 นาที ทั้งๆ ที่ 80% ของการซ้อมเป็นการวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้าน เพราะตารางงานไม่อำนวยให้ออกไปวิ่งข้างนอกบ่อยๆ”

เมื่อผมถามถึงวิธีการซ้อม เขาบอกว่าเขาทำตามแผนการซ้อมอย่างเคร่งครัด โดยแบ่งการซ้อมเป็น 

  1. ซ้อมความเร็ว (Speed work) – วิ่งเร็วช่วงสั้นๆ สลับกับการพัก
  2. ซ้อมระยะกลาง (Tempo run) – วิ่งด้วยความเร็วคงที่ระดับหนึ่ง
  3. ซ้อมระยะไกล (Long run) – วิ่งระยะไกลแต่ช้ากว่าความเร็วแข่งจริง
  4. ซ้อมฟื้นฟู (Recovery run) – วิ่งช้าๆ เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

สิ่งที่น่าสนใจคือเขาบอกว่า การซ้อมบนลู่วิ่งช่วยให้เขาควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ดีกว่า เช่น ความเร็ว ความชัน และอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้การซ้อมมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดไว้

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2021 เกี่ยวกับประสิทธิภาพการซ้อมวิ่งพบว่า นักวิ่งที่ซ้อมตามแผนที่มีโครงสร้างชัดเจนและควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ (เช่น บนลู่วิ่ง) มีโอกาสพัฒนาความเร็วและความทนทานได้เร็วกว่านักวิ่งที่ซ้อมแบบไม่มีระบบถึง 23% ในระยะเวลา 12 สัปดาห์

ประสบการณ์ส่วนตัวของผมก็ยืนยันสิ่งนี้ ในช่วงที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Amazing Thailand Marathon ปีที่แล้ว ผมวิ่งบนลู่วิ่งเป็นหลักถึง 70% ของการซ้อมทั้งหมด เนื่องจากตารางงานที่ยุ่งและสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย

ผมใช้แอป TrainingPeaks ร่วมกับลู่วิ่ง X20 เพื่อออกแบบและติดตามแผนการซ้อมอย่างละเอียด ทั้งความเร็ว อัตราการเต้นของหัวใจ ความชัน และปัจจัยอื่นๆ วันแข่งจริง ผมทำเวลาได้ 3 56 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมพอใจมากสำหรับคนอายุ 45 ปี

ความลับที่ทำให้การซ้อมบนลู่วิ่งมีประสิทธิภาพคือ การสร้างความหลากหลายและความท้าทาย ไม่ใช่แค่วิ่งด้วยความเร็วเดียวทุกวัน ผมแนะนำให้ลูกค้าลองเทคนิคเหล่านี้ 

  1. ซ้อมแบบ Pyramid – เริ่มช้า ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นจนถึงจุดสูงสุด แล้วค่อยๆ ลดลง
  2. ซ้อมแบบ Fartlek – สลับความเร็วแบบไม่มีรูปแบบตายตัว เช่น เร็ว 3 นาที ช้า 2 นาที เร็วมาก 1 นาที
  3. ซ้อมแบบ Hill Repeats – ใช้ฟังก์ชันปรับความชันของลู่วิ่งจำลองการวิ่งขึ้นเขา
  4. ซ้อมแบบ Race Simulation – จำลองสภาพการแข่งขันจริง ทั้งความเร็วและความชัน

“Virtual Run ไม่ใช่แค่ทางเลือกสำหรับคนที่ไม่สามารถไปงานวิ่งจริงได้ แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งมือใหม่หรือนักวิ่งระดับสูง”

 

FAQ  คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Virtual Run

“จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งให้นักวิ่ง Virtual Run มากกว่าพันคน ผมได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่จะช่วยให้คุณเข้าใจ Virtual Run มากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือนักวิ่งที่มีประสบการณ์แล้ว”

1. Virtual Run ต่างจากการวิ่งทั่วไปอย่างไร?

Virtual Run คือการวิ่งที่คุณสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สนามแข่ง คุณวิ่งตามระยะทางที่กำหนด บันทึกผล และส่งหลักฐานให้ผู้จัดงาน จากนั้นคุณจะได้รับเหรียญและเสื้อเหมือนงานวิ่งทั่วไป แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะคุณเลือกเวลา สถานที่ และจังหวะการวิ่งได้เอง

2. จำเป็นต้องมีลู่วิ่งไหมถึงจะทำ Virtual Run ได้?

ไม่จำเป็นครับ คุณสามารถวิ่ง Virtual Run ได้ทุกที่ ทั้งในสวน บนถนน หรือบนลู่วิ่ง แต่ลู่วิ่งที่บ้านช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อต้องวิ่งในเวลาที่ไม่สะดวกออกไปข้างนอก เช่น กลางดึก หรือในวันที่สภาพอากาศไม่ดี

3. ทำไม Virtual Run ถึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ?

Virtual Run ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนยุคใหม่ที่มักมีเวลาจำกัดและตารางชีวิตที่ไม่แน่นอน มันให้อิสระในการวิ่งโดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้านานๆ ไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องขอลางาน ไม่ต้องจองโรงแรม และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ มันยังรองรับคนทุกระดับความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักวิ่งที่มีประสบการณ์

4. เหรียญและเสื้อจาก Virtual Run มีคุณภาพดีเหมือนงานวิ่งจริงไหม?

เหรียญและเสื้อจาก Virtual Run หลายงานมีคุณภาพเทียบเท่าหรือบางครั้งดีกว่างานวิ่งทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะผู้จัดสามารถนำเงินที่ประหยัดได้จากการไม่ต้องจัดงานในสนามจริง (เช่น ค่าปิดถนน ค่าจุดบริการน้ำ) มาลงทุนกับคุณภาพของเหรียญและเสื้อได้มากขึ้น

5. ลู่วิ่งรุ่นไหนเหมาะกับการทำ Virtual Run มากที่สุด?

ขึ้นอยู่กับระดับความจริงจังของคุณ สำหรับมือใหม่ ลู่วิ่ง A1 หรือ A3 ก็เพียงพอแล้ว สำหรับนักวิ่งจริงจังที่ต้องการซ้อม Half Marathon หรือ Marathon ผมแนะนำ A5 ที่มีมอเตอร์แรงกว่าและพื้นที่วิ่งกว้างกว่า ส่วนนักวิ่งระดับสูงที่ต้องการฝึกฟอร์มอย่างจริงจัง CX8 (ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า) จะให้ประโยชน์มากที่สุด

6. แอปไหนที่จำเป็นต้องใช้สำหรับ Virtual Run?

แอปที่ใช้บันทึกการวิ่งได้ เช่น Strava, Nike Run Club, Garmin Connect หรือแม้แต่แอปสุขภาพในสมาร์ทโฟนก็ใช้ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์ที่สนุกและท้าทายมากขึ้น แอปอย่าง Zwift หรือ FITIME ที่มีเกมมิฟิเคชัน (gamification) จะช่วยเพิ่มความสนุกและแรงจูงใจ

7. Virtual Run สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการวิ่งได้จริงหรือไม่?

ได้อย่างแน่นอน หากคุณมีวินัยและปฏิบัติตามแผนการฝึกซ้อมที่ดี Virtual Run สามารถพัฒนาความสามารถในการวิ่งได้ไม่แพ้การซ้อมแบบดั้งเดิม ข้อดีคือคุณสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้มากกว่า ทั้งความเร็ว ความชัน และสภาพแวดล้อม ทำให้ซ้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. จะแก้ปัญหาความเบื่อเวลาวิ่งบนลู่วิ่งยังไง?

การแก้ปัญหาความเบื่อที่ได้ผลดีที่สุดคือการสร้างความบันเทิงระหว่างวิ่ง เช่น ดูซีรีส์ ฟังพอดแคสต์ หรือใช้แอปอย่าง Zwift ที่สร้างโลกเสมือนจริง นอกจากนี้ การวิ่งแบบหลากหลาย เช่น interval, hill repeats หรือ fartlek ก็ช่วยลดความเบื่อได้ดี

9. สมัคร Virtual Run ได้ที่ไหนบ้าง?

คุณสามารถสมัคร Virtual Run ได้หลายช่องทาง ทั้งจากเว็บไซต์ผู้จัดงานโดยตรง แพลตฟอร์มรวม Virtual Run อย่าง JogAndJoy, VirtualRun.Asia, AthleticThai หรือเพจกิจกรรมวิ่งบน Facebook ผมแนะนำให้เริ่มจากงานที่มีชื่อเสียงและมีรีวิวดีๆ จากผู้ที่เคยร่วมงาน และระวังงานปลอมที่อาจเก็บเงินแล้วไม่ส่งเหรียญมาให้

10. Virtual Run และลู่วิ่งที่บ้านช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดีแค่ไหน?

จากประสบการณ์ของลูกค้ามากกว่า 1,000 คน Virtual Run ร่วมกับลู่วิ่งที่บ้านเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก เพราะสร้างความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ลูกค้าคนหนึ่งของผมลดน้ำหนักได้ 18 กิโลกรัมในเวลา 9 เดือน ด้วยการทำ Virtual Run 5K ทุกวันบนลู่วิ่งที่บ้าน ควบคู่กับการควบคุมอาหาร เธอบอกว่า “การมีเป้าหมายและได้เหรียญเป็นรางวัลทำให้ฉันมีวินัยในการวิ่งมากขึ้น ไม่กล้าหยุดเพราะกลัวไม่ได้เหรียญ”

สรุป  Virtual Run เปลี่ยนวิถีการวิ่งไปตลอดกาล

“Virtual Run ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นวิวัฒนาการของการวิ่งที่ผสมผสานเทคโนโลยี ความยืดหยุ่น และชุมชนออนไลน์เข้าด้วยกัน มันเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการวิ่งได้ ไม่ว่าจะมีข้อจำกัดด้านเวลา สถานที่ หรือความสามารถ และด้วยลู่วิ่งที่บ้าน การฝึกซ้อมอย่างจริงจังก็เป็นไปได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน”

จากประสบการณ์ในวงการวิ่งมากว่า 20 ปี ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมการวิ่งเท่ากับ Virtual Run ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มันได้นำการวิ่งเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับการวิ่งไปตลอดกาล

ในฐานะที่ผมได้ช่วยลูกค้ากว่าพันคนในการเริ่มต้น Virtual Run ผมมั่นใจว่านี่ไม่ใช่แค่กิจกรรมทดแทนการวิ่งแบบดั้งเดิม แต่เป็นรูปแบบใหม่ของการวิ่งที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าในตัวเอง

Virtual Run ได้ทำสิ่งที่งานวิ่งแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ – มันทำให้การวิ่งเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน มีตารางเวลาแบบไหน หรือมีความสามารถระดับไหน คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักวิ่งและรับประสบการณ์การวิ่งที่สมบูรณ์ได้

และเมื่อรวมกับลู่วิ่งคุณภาพดีที่บ้าน Virtual Run ก็กลายเป็นระบบการฝึกซ้อมที่ทรงพลัง ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีอุปสรรค มีแต่คุณและเป้าหมายของคุณ

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ Virtual Run มากขึ้น และหากคุณยังไม่เคยลอง ผมขอแนะนำให้คุณลองสักครั้ง มันอาจเปลี่ยนชีวิตการวิ่งของคุณไปตลอดกาล เหมือนที่มันเปลี่ยนชีวิตผมและลูกค้าอีกหลายร้อยคน

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะวิ่งที่ไหน อย่างไร เมื่อไร ขอให้คุณสนุกกับการวิ่ง มีความสุขกับทุกก้าว และบรรลุเป้าหมายที่คุณตั้งใจไว้ “ไม่ว่าเส้นทางจะเป็นอย่างไร เป้าหมายคือเส้นชัยเสมอ”

ด้วยรักในการวิ่ง, โค้ชหมิง Runathome.co