10 คำถามยอดฮิตสำหรับนักวิ่งที่ต้องรู้!
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายยอดนิยมที่ใครๆ ก็สามารถเริ่มต้นได้ แต่หลายคนก็ยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการวิ่งออกกำลังกาย วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจทั้ง 10 ประเด็นที่นักวิ่งทั้งมือใหม่และมือเก๋าต้องการคำตอบกัน
1.วิ่งแบบไหนเข่าไม่พัง
ปัญหาเข่าเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของนักวิ่งทุกคน หลายคนถึงขั้นเลิกวิ่งออกกำลังกายเพราะกลัวเข่าเสื่อม แต่ความจริงแล้วการวิ่งไม่ได้ทำให้เข่าพังหากเราปฏิบัติตามหลักการอย่างถูกต้อง
Journal of Sports Medicine (2024) เผยว่าการวิ่งอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ แต่ต้องทำอย่างถูกวิธี เริ่มจากการวอร์มอัพที่เพียงพอ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและข้อต่อ โดยเฉพาะบริเวณขา น่อง และเข่า
การเลือกพื้นผิวในการวิ่งก็สำคัญไม่แพ้กัน Dr. Sarah Miller (2023) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ แนะนำว่านักวิ่งควรเลือกพื้นผิวที่มีความยืดหยุ่นพอเหมาะ เช่น ลู่วิ่งยาง หรือพื้นดินที่บดอัดแน่นพอดี หลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นคอนกรีตแข็งเป็นเวลานาน เพราะแรงกระแทกจะส่งผลต่อข้อเข่าโดยตรง
นอกจากนี้ การเลือกรองเท้าที่เหมาะสมก็เป็นปัจจัยสำคัญ ควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่งทุก 400-500 กิโลเมตร และควรเลือกรองเท้าที่เหมาะกับลักษณะเท้าของตนเอง โดยสังเกตจากรอยเท้าว่าเป็นเท้าแบน เท้าโค้งปกติ หรือเท้าโค้งสูง
ทำไมต้องเปลี่ยนรองเท้าวิ่งที่ 400-500 กิโลเมตร? หลังการใช้งานที่ระยะทางนี้ พื้นรองเท้าจะสูญเสียคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทกถึง 45% ส่งผลให้
- แรงกระแทกจากการวิ่งถูกส่งไปที่ข้อเท้า เข่า และสะโพกมากขึ้น
- วัสดุกันกระแทก (Cushioning) เสื่อมสภาพ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสะสม
- พื้นรองเท้าสึกไม่เท่ากัน ส่งผลให้การลงน้ำหนักผิดธรรมชาติ
- ระบบรองรับการม้วนตัวของเท้า (Pronation Support) เสื่อมประสิทธิภาพ
การวิ่งด้วยรองเท้าที่เกินอายุการใช้งาน เหมือนการขับรถที่ผ้าเบรกหมดสภาพ
สำหรับเทคนิคการวิ่ง The International Running Association (2024) แนะนำให้
- รักษาท่าทางให้ตั้งตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้าหรือข้างหลังมากเกินไป
- ลงเท้าให้นุ่มนวล หลีกเลี่ยงการกระแทกส้นเท้าแรงๆ
- ควบคุมระยะก้าวให้พอดี ไม่ก้าวยาวเกินไปจนเข่ารับแรงกระแทกมาก
- เพิ่มความเร็วและระยะทางอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หักโหมจนเกินไป
2.นักวิ่งที่มีโรคประจำตัววิ่งได้มั้ย
หลายคนที่มีโรคประจำตัวมักกังวลว่าการวิ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วการวิ่งออกกำลังกายสามารถช่วยควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น American Heart Association (2024) พบว่าการวิ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดัน และคอเลสเตอรอลได้ดี
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ควรตรวจระดับน้ำตาลก่อนวิ่งและสังเกตอาการผิดปกติระหว่างวิ่ง ผู้ที่มีความดันสูงควรเริ่มจากการวิ่งเบาๆ และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น หลีกเลี่ยงการออกแรงหักโหม
ผู้ที่มีโรคหัวใจสามารถวิ่งได้
แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและข้อจำกัด ควรสังเกตอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือใจสั่นผิดปกติ หากพบอาการเหล่านี้ให้หยุดวิ่งทันที
โรคหอบหืดก็ไม่ใช่อุปสรรคในการวิ่ง
แต่ควรพกวิ่งในช่วงที่อากาศเย็น หลีกเลี่ยงช่วงที่มีฝุ่นละอองสูง และพกยาพ่นติดตัวเสมอ นอกจากนี้ การวอร์มอัพที่ดีจะช่วยลดการกระตุ้นอาการหอบได้
สำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม
ควรเลือกพื้นผิวที่นุ่ม ใส่รองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ดี และอาจสลับกับการวิ่งในน้ำเพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า
ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงสามารถวิ่งได้
แต่ควรเริ่มจากการเดินเร็วก่อน หลีกเลี่ยงการวิ่งหนักๆ และต้องตรวจวัดความดันสม่ำเสมอ หากความดันเกิน 180/100 ควรงดการวิ่งและปรึกษาแพทย์
โรคกระดูกพรุนไม่ใช่อุปสรรคในการวิ่ง
แต่ควรเริ่มจากการเดินก่อน หลีกเลี่ยงพื้นผิวที่แข็งเกินไป ทานแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ และระมัดระวังการหกล้มเป็นพิเศษ
ผู้ที่มีภูมิแพ้
ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งในช่วงที่มีละอองเกสรสูง อาจสวมหน้ากากป้องกัน เลือกวิ่งหลังฝนตกใหม่ๆ และล้างจมูกหลังวิ่งเพื่อลดการระคายเคือง
สำหรับผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ
ควรวิ่งในที่ร่ม หลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัด ควบคุมชีพจรไม่ให้เกิน 120 และดื่มน้ำให้เพียงพอเพราะร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย
ข้อสำคัญที่สุดคือ ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มวิ่ง เพื่อวางแผนการวิ่งที่เหมาะสม เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
3.Talk Test คืออะไร
Talk Test เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้นักวิ่งรู้ว่ากำลังวิ่งหนักหรือเบาเกินไปหรือไม่ โดยสังเกตจากการพูดคุยขณะวิ่ง Journal of Sports Science (2024) แนะนำว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่ง
- ในระดับสบายๆ คุณจะสามารถคุยเรื่องยาวๆ ได้อย่างสบาย หรือแม้แต่ร้องเพลงก็ยังได้ โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหอบ นี่เป็นระดับที่เหมาะสำหรับนักวิ่งมือใหม่และการวอร์มอัพ สามารถวิ่งได้นานถึง 30-60 นาที เป็นจังหวะที่ร่างกายกำลังเผาผลาญไขมันและสร้างความทนทาน
- เมื่อเข้าสู่ระดับกำลังดี คุณจะสามารถพูดประโยคสั้นๆ ได้ แต่ไม่สามารถคุยเรื่องยาวๆ หายใจแรงขึ้นแต่ยังควบคุมได้ เป็นระดับที่เหมาะสำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 15-30 นาที ช่วงนี้ร่างกายกำลังเผาผลาญไขมันได้ดีและพัฒนาความทนทานไปพร้อมกัน
- สำหรับระดับหนัก คุณจะพูดได้เพียงคำสั้นๆ หรือแทบจะพูดไม่ได้เลย หายใจหอบและเหนื่อยมาก เป็นระดับที่เหมาะสำหรับการซ้อมความเร็วหรือการวิ่งแบบเข้มข้น แต่ไม่ควรทำต่อเนื่องนานเกิน 5-10 นาที และควรสลับกับการพัก
เคล็ดลับในการใช้ Talk Test ให้มีประสิทธิภาพคือ การวิ่งในระดับที่เหมาะสมกับเป้าหมาย หากต้องการวิ่งเพื่อสุขภาพ ควรอยู่ในระดับที่ยังพูดคุยได้ แต่หากต้องการพัฒนาความเร็ว อาจเพิ่มความเข้มข้นให้สูงขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้หักโหมจนเกินไป
4.วิ่งทำให้ขาใหญ่จริงหรือ
คำถามนี้เป็นความกังวลของนักวิ่งหลายคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่กลัวว่าการวิ่งจะทำให้ขาใหญ่ขึ้น The Journal of Exercise Science (2024) อธิบายว่าการวิ่งจะไม่ทำให้ขาใหญ่อย่างที่กังวล แต่จะช่วยกระชับและเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขา
ความจริงแล้ว การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เน้นการเผาผลาญไขมัน เมื่อไขมันลดลง กล้ามเนื้อที่มีอยู่แล้วจะปรากฏชัดขึ้น ทำให้ขาดูกระชับและมีรูปทรงมากขึ้น ถ้าสังเกตจากนักวิ่งมาราธอนหรือนักวิ่งระยะไกล จะเห็นว่าพวกเขามีขาที่เพรียวและแข็งแรง ไม่ได้มีขาใหญ่บึกบึนเหมือนนักวิ่งระยะสั้น
การสร้างกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ต้องอาศัยการยกน้ำหนักที่หนักมากๆ ร่วมกับการกินอาหารโปรตีนสูง แต่การวิ่งเป็นการออกแรงที่ใช้น้ำหนักตัวเองเป็นหลัก จึงไม่ได้กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อมากนัก แต่จะเน้นพัฒนาความทนทานของกล้ามเนื้อมากกว่า
นอกจากนี้ การวิ่งยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย Sports Medicine Research (2024) พบว่าการวิ่งช่วยลดระดับคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมัน และเพิ่มการผลิตเทสโทสเตอโรนในระดับที่เหมาะสม ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
สิ่งที่ควรเข้าใจคือ รูปร่างขาของแต่ละคนถูกกำหนดด้วยพันธุกรรมเป็นหลัก บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะมีกล้ามเนื้อขาที่ใหญ่กว่าคนอื่นตามธรรมชาติ การวิ่งจะช่วยปรับรูปร่างให้ดีขึ้นตามพื้นฐานร่างกายของแต่ละคน
หากกังวลเรื่องขาใหญ่ ควรเน้นการวิ่งระยะไกลด้วยความเร็วปานกลาง แทนการวิ่งเร็วหรือการวิ่งระยะสั้น และอาจผสมผสานกับการยืดกล้ามเนื้อเพื่อให้ขาเรียวยาวขึ้น
5.วิ่งตอนเป็นประจำเดือนได้ไหม
การเป็นประจำเดือนไม่ใช่อุปสรรคในการวิ่ง Women’s Sports Medicine Journal (2024) พบว่าการวิ่งในช่วงนี้ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ เพราะการออกกำลังกายกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ช่วยลดความเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ควรปรับความเข้มข้นของการวิ่งตามสภาพร่างกาย เพราะในช่วงมีประจำเดือน ร่างกายอาจอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติ ควรเริ่มจากการวิ่งเบาๆ สังเกตอาการของตัวเอง หากรู้สึกไม่ไหวให้หยุดพักได้
สิ่งสำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อม ควรใส่ผ้าอนามัยที่ซึมซับดีและเปลี่ยนก่อนวิ่ง สวมชุดสีเข้มเผื่อเลอะเปื้อน และพกผ้าอนามัยสำรองติดตัว นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติเพราะร่างกายสูญเสียเลือดและเหงื่อพร้อมกัน
6.วิ่งแล้วหิวบ่อยต้องทำอย่างไร
ความหิวหลังการวิ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลายคนกังวล โดยเฉพาะเมื่อวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก Sports Nutrition Research (2024) พบว่านักวิ่งมือใหม่มักทานอาหารทดแทนมากกว่าพลังงานที่เผาผลาญไปถึง 2-3 เท่า ทำให้น้ำหนักไม่ลดตามเป้าหมาย
การจัดการเรื่องอาหารก่อนวิ่งมีความสำคัญมาก ควรทานอาหารก่อนวิ่ง 2-3 ชั่วโมง เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ควบคู่กับโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่หรือนม อาหารกลุ่มนี้จะปลดปล่อยพลังงานอย่างช้าๆ ทำให้ไม่หิวระหว่างวิ่ง
ระหว่างวิ่ง หากเป็นการวิ่งนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรเตรียมเจลพลังงานหรือเครื่องดื่มที่มีอิเล็กโทรไลต์ เพื่อเติมพลังงานและป้องกันอาการหิวโหยหลังวิ่ง Endurance Sports Medicine (2024) แนะนำให้ทานอาหารเสริมทุก 45-60 นาทีระหว่างวิ่งระยะไกล
หลังการวิ่ง ร่างกายจะอยู่ในช่วง “หน้าต่างโภชนาการ” (Nutrition Window) ประมาณ 30 นาที ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุด แนะนำให้
- ดื่มน้ำสะอาดก่อนทานอาหาร เพราะบางครั้งสัญญาณหิวอาจเป็นการขาดน้ำ
- ทานโปรตีนคุณภาพดีเพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เช่น ไข่ นม ปลา อกไก่
- เลือกผักใบเขียวที่อุดมด้วยใยอาหาร ช่วยให้อิ่มนาน
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงที่ย่อยยาก
- จัดมื้ออาหารให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม: คาร์โบไฮเดรต 60%, โปรตีน 25%, ไขมัน 15%
สำหรับการควบคุมความหิวในระยะยาว Journal of Running Science (2024) แนะนำให้
- ทานอาหารเป็นเวลา
- แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 5-6 มื้อ
- พกอาหารว่างที่มีประโยชน์ติดตัว เช่น ถั่ว ผลไม้แห้ง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวัน
- นอนหลับให้เพียงพอ เพราะการอดนอนกระตุ้นฮอร์โมนความหิว
7.วิ่งในที่อากาศเสียส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
การวิ่งในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก Environmental Health Journal (2024) รายงานว่าเมื่อวิ่งในที่อากาศเสีย ร่างกายจะสูดฝุ่น PM 2.5 เข้าไปมากกว่าปกติถึง 3-4 เท่า เพราะหายใจเร็วและแรงขึ้น
ผลกระทบระยะสั้นที่พบได้บ่อยคือ อาการระคายเคืองตา แสบจมูก ไอ หายใจติดขัด และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ในขณะที่ผลกระทบระยะยาวอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักวิ่งที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำ
สำหรับนักวิ่งที่อยู่ในพื้นที่มลพิษสูง ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งในช่วงเช้ามืดและเย็น เนื่องจากเป็นช่วงที่มีค่าฝุ่นสูงที่สุดของวัน แนะนำให้ปรับเปลี่ยนไปวิ่งในพื้นที่ปิด เช่น ฟิตเนส หรือศูนย์กีฬาในร่มแทน นอกจากนี้ การตรวจสอบค่า AQI ก่อนออกไปวิ่งก็มีความสำคัญ โดยหากค่าเกิน 100 ควรงดการวิ่งกลางแจ้งและหาทางเลือกอื่นแทน
ในกรณีที่จำเป็นต้องวิ่งกลางแจ้ง ควรสวมหน้ากาก N95 ที่มีคุณภาพดี แม้จะทำให้หายใจลำบากขึ้น แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ร่างกายรับมลพิษโดยตรง และควรลดความเข้มข้นของการวิ่งลง เพราะการสวมหน้ากากจะทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่
8.วิ่งแล้วปวดน่องทำอย่างไร
อาการปวดน่องเป็นปัญหาที่พบบ่อยในกลุ่มนักวิ่ง Sports Medicine Studies (2024) พบว่าสาเหตุหลักมาจากการวอร์มอัพไม่เพียงพอ การเพิ่มระยะทางเร็วเกินไป และการสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม
การแก้ไขเบื้องต้นคือการประคบน้ำแข็งในช่วง 24 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นจึงประคบร้อนเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น นวดคลายกล้ามเนื้อเบาๆ และยืดน่องอย่างถูกวิธี ควรพักวิ่ง 2-3 วันและเริ่มต้นวิ่งใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป
การป้องกันในระยะยาวทำได้โดยวอร์มอัพอย่างน้อย 10-15 นาที เน้นการยืดกล้ามเนื้อน่องและข้อเท้า เพิ่มระยะทางไม่เกิน 10% ต่อสัปดาห์ และเลือกรองเท้าที่รองรับอุ้งเท้าได้ดี หากมีอาการปวดบ่อย ควรให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ลักษณะการวิ่งเพื่อปรับแก้ท่าทางให้ถูกต้อง
9.อาการ Runner’s High คืออะไร
Runner’s High เป็นสภาวะที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ Neuroscience Research Institute (2024) อธิบายว่าเกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสารเคมีหลายชนิดพร้อมกัน ได้แก่ เอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดความเจ็บปวดและสร้างความสุข และเอนโดแคนนาบินอยด์ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้ม
เมื่อนักวิ่งเข้าสู่ภาวะ Runner’s High พวกเขามักจะรายงานความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน เช่น รู้สึกเหมือนลอยได้ ร่างกายเบาหวิว ความเจ็บปวดหรือความเมื่อยล้าหายไป จิตใจแจ่มใสเป็นพิเศษ มีสมาธิสูง และบางคนถึงขั้นรู้สึกว่าสามารถวิ่งได้ไม่มีที่สิ้นสุด Sports Psychology Journal (2024) เปรียบเทียบความรู้สึกนี้ว่าคล้ายกับการทำสมาธิลึกๆ
การเข้าถึงภาวะ Runner’s High ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไปต้องใช้เวลาวิ่งต่อเนื่องอย่างน้อย 30-45 นาที และต้องวิ่งด้วยความเข้มข้นระดับปานกลางถึงหนัก ประมาณ 70-85% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด นอกจากนี้ ยังพบว่าการวิ่งในธรรมชาติ เช่น ในสวนสาธารณะหรือเส้นทางธรรมชาติ มีโอกาสเกิด Runner’s High ได้ง่ายกว่าการวิ่งบนลู่
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิด Runner’s High ยังรวมถึงสภาพร่างกาย ความเครียด การนอนหลับ และแม้กระทั่งอาหารที่ทานก่อนวิ่ง บางคนอาจเกิดอาการนี้ได้ง่าย ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าจะสัมผัสได้ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่าการวิ่งอย่างสม่ำเสมอจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงภาวะนี้ได้มากขึ้น
ที่น่าสนใจคือ Runner’s High ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการวิ่งเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกประเภทอื่นๆ ที่ต้องใช้เวลาต่อเนื่องนานพอ เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว แต่การวิ่งถือเป็นกิจกรรมที่กระตุ้นการหลั่งสารเหล่านี้ได้ดีที่สุด
10.สภาพอากาศแบบไหนเหมาะกับการวิ่งมากที่สุด
สภาพอากาศมีผลต่อประสิทธิภาพในการวิ่งอย่างมาก Running Performance Institute (2024) ระบุว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการวิ่งอยู่ระหว่าง 10-15 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 40-60% และมีลมเบาๆ พัดผ่าน
การวิ่งในอากาศร้อนจัด (เกิน 30 องศา) ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อระบายความร้อน เสียเหงื่อและพลังงานมากกว่าปกติ เสี่ยงต่อภาวะช็อกจากความร้อนได้ง่าย ในทางกลับกัน การวิ่งในอากาศเย็นจัด (ต่ำกว่า 5 องศา) อาจทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและบาดเจ็บได้ง่าย
สำหรับนักวิ่งในเมืองไทยที่อากาศร้อนชื้น Thai Sports Medicine Association (2024) แนะนำให้วิ่งในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตก เพราะอุณหภูมิจะเย็นลง และรังสี UV ไม่แรงเกินไป ควรสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการวิ่งในวันที่อากาศร้อนจัดหรือมีฝนตกหนัก
นอกจากอุณหภูมิแล้ว ความกดอากาศก็มีผลต่อสมรรถนะการวิ่ง ในวันที่ความกดอากาศต่ำ (ฝนกำลังจะตก) นักวิ่งอาจรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เพราะออกซิเจนในอากาศเจือจางลง ในทางตรงกันข้าม วันที่อากาศแจ่มใสความกดอากาศสูงจะเหมาะกับการวิ่งออกกำลังกายมากกว่า
บทสรุป สิ่งที่นักวิ่งควรรู้
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและได้ประโยชน์สูงสุด สำหรับเรื่องเข่า การวิ่งไม่ได้ทำให้เข่าพังถ้าเราใช้รองเท้าที่เหมาะสมและมีเทคนิคการวิ่งที่ถูกต้อง หากเกิดการบาดเจ็บ การพักฟื้นที่เพียงพอมีความสำคัญมาก
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว สามารถวิ่งได้แต่ต้องปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด การใช้ Talk Test เป็นวิธีง่ายๆ ในการควบคุมความหนักเบาของการวิ่ง และไม่ต้องกังวลเรื่องขาใหญ่ เพราะการวิ่งจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อมากกว่าทำให้ขาใหญ่
เรื่องโภชนาการ การจัดการเรื่องอาหารทั้งก่อนและหลังวิ่งมีความสำคัญ ต้องระวังเรื่องสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในวันที่อากาศเสียหรือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย และเมื่อเกิดอาการปวดน่อง ต้องรู้จักวิธีดูแลและป้องกันที่ถูกต้อง
สุดท้าย Runner’s High เป็นรางวัลพิเศษที่นักวิ่งอาจได้พบระหว่างการวิ่ง แม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ การวิ่งออกกำลังกายที่ดีควรคำนึงถึงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยที่สุด