ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก เร็วที่สุด ออกกำลังกายแบบไหนได้ผลดีที่สุด มาหาคำตอบกัน !
หากคุณกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลจริง คุณมาถูกทางแล้ว! การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับน้ำหนักตัว แต่ทำไมหลายคนถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ? คำตอบอยู่ที่การเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมและเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกายอย่างแท้จริง
ข้อมูลจาก World Health Organization (2024) เผยว่า 67% ของคนที่พยายามลดน้ำหนักล้มเหลวเพราะเลือกวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง บางคนทุ่มเทเวลาในยิมนับชั่วโมง แต่กลับไม่เห็นผลลัพธ์อย่างที่คาดหวัง ในขณะที่บางคนกลับสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วด้วยการออกกำลังกายเพียงวันละ 30 นาที
แล้วอะไรคือความลับของการออกกำลังกายลดน้ำหนักที่ได้ผลจริง? ทำไมคนที่ออกกำลังกายเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? บทความนี้จะเผยความลับทั้งหมดที่คุณต้องรู้ พร้อมนำเสนอวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และใช้จริงโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักระดับโลก
ทำความเข้าใจการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
การเผาผลาญไขมันไม่ใช่แค่เรื่องของการออกกำลังกายอย่างหนักเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนของร่างกาย จากการศึกษาในวารสาร Nature Metabolism (2023) พบว่าการเผาผลาญไขมันที่มีประสิทธิภาพต้องผ่าน 3 ขั้นตอนสำคัญ
ขั้นตอนการเผลาผลาญไขมัน ขั้นที่ 1 การกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก
เมื่อคุณเริ่มออกกำลังกาย ร่างกายจะปลดปล่อยฮอร์โมนอะดรีนาลินและนอร์อะดรีนาลิน ซึ่งมีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของหัวใจและการเผาผลาญ คล้ายกับการอุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับรถ
ขั้นตอนการเผลาผลาญไขมัน ขั้นที่ 2 การระดมไขมัน
หลังจากออกกำลังกายไปได้ประมาณ 20-30 นาที ร่างกายจะเริ่มดึงไขมันที่สะสมอยู่มาใช้เป็นพลังงาน โดยเฉพาะในช่วงที่หัวใจเต้นอยู่ในโซนการเผาผลาญไขมัน (Fat-burning Zone) ที่ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
ขั้นตอนการเผลาผลาญไขมัน ขั้นที่ 3 การเผาผลาญต่อเนื่อง
ผลการวิจัยจาก International Journal of Sports Medicine (2024) แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายที่ถูกวิธีจะกระตุ้นการเผาผลาญต่อเนื่องไปอีก 24-48 ชั่วโมง เรียกว่า EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) หรือ Afterburn Effect ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันแม้ในขณะพัก
เป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนัก
การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การศึกษาจาก New England Journal of Medicine (2024) พบว่าการลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและยั่งยืนควรอยู่ที่ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ โดยต้องสร้างส่วนต่างพลังงาน (Caloric Deficit) ประมาณ 500-750 แคลอรี่ต่อวัน
คุณไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือออกกำลังกายจนหักโหม การจัดสมดุลระหว่างการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาน้ำหนักที่ลดลงได้ในระยะยาว
การตั้งเป้าหมายระยะสั้น
- ตั้งเป้าหมายรายสัปดาห์ที่ท้าทายแต่เป็นไปได้
- วางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าและติดตามแคลอรี่
- กำหนดตารางออกกำลังกายที่ชัดเจน
- ชั่งน้ำหนักและวัดรอบเอวสัปดาห์ละครั้ง
การตั้งเป้าหมายระยะกลาง
- เป้าหมายการลดน้ำหนัก 3-6 เดือน
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย
- สร้างนิสัยการกินที่ดีและยั่งยืน
การตั้งเป้าหมายระยะยาว
- วางแผนการรักษาน้ำหนักหลังถึงเป้าหมาย
- สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ
- พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับอาหาร
- ทำให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เทคนิคการตั้งเป้าหมายแบบ SMART
- Specific: ระบุตัวเลขน้ำหนักที่ต้องการชัดเจน
- Measurable: วัดผลได้ผ่านการชั่งน้ำหนักและวัดสัดส่วน
- Achievable: ตั้งเป้าที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ (0.5-1 กก./สัปดาห์)
- Relevant: สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และความเป็นไปได้
- Time-bound: กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
การปรับเป้าหมายให้เหมาะสม
- ประเมินความก้าวหน้าทุก 2-4 สัปดาห์
- ปรับแผนตามผลลัพธ์ที่ได้
- รับฟังสัญญาณจากร่างกาย
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น
เป้าหมายเสริมนอกเหนือจากตัวเลขบนเครื่องชั่ง
- เพิ่มพลังงานในชีวิตประจำวัน
- พัฒนาคุณภาพการนอน
- ลดระดับความเครียด
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- ปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
การตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขบนเครื่องชั่ง แต่ควรครอบคลุมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว
10 วิธีออกกำลังกายที่เผาผลาญไขมันดีที่สุด พร้อมระยะเวลาที่เห็นผล
เมื่อเราเข้าใจกลไกการเผาผลาญไขมันแล้ว มาดูกันว่าการออกกำลังกายแต่ละประเภทช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร และใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผล
1. การออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training)
HIIT คือการออกกำลังกายที่สลับความเข้มข้นระหว่างหนักและเบา เช่น วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับเดินเร็ว 30 วินาที วนไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้สูงถึง 800-1,000 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: กล้ามเนื้อกระชับขึ้น
- 4 สัปดาห์: น้ำหนักลดลงประมาณ 2-3 กิโลกรัม
- 8 สัปดาห์: สัดส่วนไขมันในร่างกายลดลง 4-6%
2. การวิ่งลดน้ำหนัก
การวิ่งออกกำลังกายเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะทำได้ทุกที่และไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก หากวิ่งด้วยความเร็วปานกลาง (10 นาทีต่อกิโลเมตร) จะเผาผลาญประมาณ 600-800 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: ความอดทนเพิ่มขึ้น
- 6 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 1.5-3 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: รูปร่างเพรียวขึ้น โดยเฉพาะช่วงขาและสะโพก
3. การกระโดดเชือกเพื่อลดน้ำหนัก
กระโดดเชือกถือเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ทรงพลังมาก สามารถเผาผลาญได้ถึง 700-900 แคลอรี่ต่อชั่วโมง แถมยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา เพิ่มความคล่องแคล่วว่องไว
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 1 สัปดาห์แรก: น่องกระชับ
- 3 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 1-2 กิโลกรัม
- 8 สัปดาห์: กล้ามเนื้อขาแข็งแรง รูปร่างกระชับ
4. ตีแบดมินตัน
การตีแบดเป็นกีฬาที่สนุกและเข้าถึงง่าย เผาผลาญพลังงานได้ 400-600 แคลอรี่ต่อชั่วโมง การวิ่ง กระโดด และตีลูกอย่างต่อเนื่องช่วยให้หัวใจแข็งแรงและลดน้ำหนักได้โดยไม่รู้ตัว
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: การทรงตัวดีขึ้น แขนกระชับ
- 6 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 1-2 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: กล้ามเนื้อแขน ขา และหัวไหล่แข็งแรง
5. ว่ายน้ำ
ว่ายน้ำเป็นกีฬาที่ช่วยลดน้ำหนักได้ทั้งตัว เผาผลาญ 500-700 แคลอรี่ต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าหรือต้องการออกกำลังกายแบบไม่กระแทก
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 3 สัปดาห์แรก: หายใจดีขึ้น ไหล่กว้างขึ้น
- 8 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 2-3 กิโลกรัม
- 16 สัปดาห์: กล้ามเนื้อทั่วร่างกายแข็งแรง
6. เล่นบาสเกตบอล
กีฬาบาสเกตบอลเป็นการออกกำลังกายแบบครบวงจร ทั้งวิ่ง กระโดด และเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา เผาผลาญได้ 500-700 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: การทรงตัวดีขึ้น
- 6 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 2-3 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: กล้ามเนื้อแข็งแรง ความคล่องตัวเพิ่มขึ้น
7. ฟุตบอล
การเล่นฟุตบอลเป็นการออกกำลังกายที่สนุกและเผาผลาญพลังงานสูง 600-800 แคลอรี่ต่อชั่วโมง การวิ่ง เตะ และเคลื่อนไหวตลอดเกมช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: ขาแข็งแรงขึ้น
- 8 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 2-4 กิโลกรัม
- 16 สัปดาห์: กล้ามเนื้อขาแข็งแรง ความอดทนเพิ่มขึ้น
8. การเดินเร็ว
การเดินเร็วเป็นการออกกำลังกายพื้นฐานที่ใครก็ทำได้ เผาผลาญ 300-400 แคลอรี่ต่อชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลดน้ำหนัก หรือผู้มีปัญหาข้อเข่า เพราะเป็นการออกกำลังกายแบบ Low Impact ที่ไม่กระแทกข้อต่อ
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- สัปดาห์แรก: รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลับสบายขึ้น
- 4 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 1-1.5 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น
9. การปั่นจักรยาน
การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายที่สนุกและได้ชมวิว เผาผลาญ 400-600 แคลอรี่ต่อชั่วโมง ช่วยลดน้ำหนักพร้อมกับเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา สะโพก และต้นขา การปั่นจักรยานสามารถทำได้ทั้งกลางแจ้งหรือในฟิตเนสด้วยจักรยานอยู่กับที่
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น
- 6 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 2-3 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: ต้นขากระชับ สะโพกเฟิร์ม
10. การเดินขึ้นที่ชัน
การเดินขึ้นที่ชันหรือขึ้นบันได เป็นการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานสูงถึง 400-500 แคลอรี่ต่อชั่วโมง สามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เลือกใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือเดินขึ้นเขาในสวนสาธารณะ
ระยะเวลาที่เห็นผล:
- 2 สัปดาห์แรก: กล้ามเนื้อขาแข็งแรง
- 8 สัปดาห์: น้ำหนักลดลง 1.5-2.5 กิโลกรัม
- 12 สัปดาห์: กล้ามเนื้อขาและสะโพกกระชับ
การเผาผลาญแคลอรี่ในแต่ละกิจกรรมออกกำลังกาย
- ออกกำลังกายแบบ HIIT เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 800-1,000 แคลต่อชั่วโมง
- วิ่งออกกำลังกาย เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 600-800 แคลต่อชั่วโมง
- กระโดดเชือก เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 700-900 แคลต่อชั่วโมง
- ตีแบดมินตัน เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 400-600 แคลต่อชั่วโมง
- ว่ายน้ำ เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 500-700 แคลต่อชั่วโมง
- บาสเกตบอล เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 500-700 แคลต่อชั่วโมง
- ฟุตบอล เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 600-800 แคลต่อชั่วโมง
- เดินเร็ว เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 300-400 แคลต่อชั่วโมง
- ปั่นจักรยาน เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 400-600 แคลต่อชั่วโมง
- เดินขึ้นที่ชัน เผาผลาญกี่แคล? ตอบ: 400-500 แคลต่อชั่วโมง
หมายเหตุ
- ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น น้ำหนักตัว, อายุ, เพศ, และความเข้มข้นในการออกกำลังกาย
- ตัวเลขที่แสดงเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม
- ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายใดๆ โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว
- การออกกำลังกายควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเพิ่มความเข้มข้นตามความเหมาะสม
เทคนิคการออกกำลังกายให้ได้ผลดีที่สุด
การออกกำลังกายลดน้ำหนักให้ได้ผลดีไม่ได้อยู่ที่การออกกำลังกายอย่างหนักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ นี่คือเทคนิคที่จะช่วยให้การออกกำลังกายของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น:
จัดช่วงเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสม
เวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันคือช่วงเช้า เพราะร่างกายจะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าช่วงอื่นของวัน แต่หากไม่สะดวก สามารถออกกำลังกายช่วงเย็นได้ โดยควรเว้นระยะห่างจากมื้ออาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ออกกำลังกายแบบผสมผสาน
ไม่ควรทำการออกกำลังกายแบบเดียวซ้ำๆ ควรผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการสร้างกล้ามเนื้อ เช่น:
วันจันทร์: วิ่งออกกำลังกาย วันอังคาร: ตีแบด วันพุธ: กระโดดเชือก วันพฤหัสบดี: เล่นบาสเกตบอล วันศุกร์: ปั่นจักรยาน วันเสาร์: เล่นฟุตบอล วันอาทิตย์: พักฟื้นร่างกาย
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำ 2-3 แก้วก่อนออกกำลังกาย 30 นาที และดื่มน้ำระหว่างออกกำลังกายเป็นระยะ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการออกกำลังกายลดน้ำหนัก
Q: ควรออกกำลังกายวันละกี่นาที ถึงจะลดน้ำหนักได้?
A: เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลดี ควรออกกำลังกายวันละ 30-60 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ โดยรักษาระดับความเข้มข้นปานกลางถึงสูง แต่สำหรับผู้เริ่มต้นควรเริ่มที่ 15-20 นาทีก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลา
Q: ออกกำลังกายเวลาไหนดีที่สุด?
A: การออกกำลังกายช่วงเช้าจะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด เพราะร่างกายยังไม่ได้รับอาหาร ทำให้ดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้โดยตรง แต่หากไม่สะดวก สามารถออกกำลังกายช่วงเย็นได้ โดยควรห่างจากมื้ออาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
Q: กินข้าวก่อนหรือหลังออกกำลังกายดี?
A: ควรกินอาหารมื้อเบาๆ ก่อนออกกำลังกาย 2-3 ชั่วโมง และทานอาหารหลังออกกำลังกายภายใน 30 นาที เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หากออกกำลังกายตอนเช้า ควรทานอาหารเช้าเล็กน้อยก่อน เช่น กล้วย หรือขนมปังโฮลเกรน
Q: วิธีลดความอ้วนเร็วที่สุดคือแบบไหน?
A: วิธีลดน้ำหนักที่เร็วและปลอดภัยที่สุดคือการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายแบบ HIIT ร่วมกับการควบคุมอาหาร โดยสร้างส่วนต่างแคลอรี่ 500-750 แคลต่อวัน จะช่วยลดน้ำหนักได้ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
Q: ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอคืออะไร?
A: การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ คือการออกกำลังกายที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน กระโดดเชือก ช่วยเผาผลาญไขมันและเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
Q: กระโดดเชือกช่วยลดส่วนไหนบ้าง?
A: การกระโดดเชือกช่วยลดไขมันได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะส่วนขา น่อง และหน้าท้อง นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อน่อง เพิ่มความแข็งแรงของข้อเท้า และปรับปรุงการทรงตัว การกระโดดเชือก 10 นาทีเทียบเท่ากับการวิ่ง 30 นาที
Q: ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละกี่วัน?
A: ควรออกกำลังกาย 5-6 วันต่อสัปดาห์ และพัก 1-2 วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู โดยสลับวันออกกำลังกายหนักเบา เช่น วันจันทร์ออกกำลังกายแบบ HIIT วันอังคารเดินเร็ว วันพุธออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นต้น
Q: วิ่งลดน้ำหนักต้องวิ่งยังไง?
A: การวิ่งลดน้ำหนักที่ได้ผลดีควรใช้วิธีวิ่งแบบสลับความเร็ว เช่น วิ่งเร็ว 1 นาที สลับกับวิ่งช้า 2 นาที ทำต่อเนื่อง 30-45 นาที วิธีนี้จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการวิ่งความเร็วเดียวตลอดทาง
Q: ปั่นจักรยานลดพุงได้ไหม?
A: การปั่นจักรยานสามารถช่วยลดพุงได้ โดยต้องปั่นอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30-45 นาที ด้วยความเร็วปานกลางถึงเร็ว ร่วมกับการควบคุมอาหาร การปั่นจักรยานยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อขาและสะโพกให้แข็งแรง
บทสรุป การออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
การออกกำลังกายลดน้ำหนักให้ได้ผลดีต้องเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเอง และทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบ HIIT การวิ่ง การกระโดดเชือก หรือการเล่นกีฬาต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างถูกวิธีและค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น ควบคู่กับการพักผ่อนที่เพียงพอและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรง มีพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
เริ่มต้นออกกำลังกายวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหน้า การลงมือทำคือก้าวแรกสู่เป้าหมายการมีรูปร่างที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง