ใช้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้านได้ไหม? สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อรุ่นใหญ่

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ใช้ในบ้านได้แน่นอน แต่คุณต้องเตรียมพื้นที่ให้พร้อม เพราะมันใหญ่และหนักมาก ผมขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง พบว่าคนที่ซื้อไปแล้วมีความสุขที่สุดคือคนที่รู้จริงว่ากำลังซื้ออะไร”

ว่าไง สวัสดีครับ ผมหมิงนะ เจ้าของ Runathome.co นี่แหละ จริงๆ ก็เป็นนักวิ่งด้วยเหมือนกัน เพิ่งกลับมาจาก Laguna Phuket Marathon เมื่อไม่นานมานี้ ก็ยังเหนื่อยๆ อยู่ แต่วันนี้มาคุยเรื่องลู่วิ่งกันดีกว่า

ผมขายลู่วิ่งมาเกือบ 10 ปีแล้ว ลูกค้าถามผมประจำว่า “พี่ ลู่วิ่งในฟิตเนสเนี่ย ซื้อมาใช้ที่บ้านได้ไหม?” คำถามนี้ไม่ง่าย ต้องตอบแบบยาวหน่อย

ขอบคุณครับ ดีใจที่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง ผมจะเขียนต่อในลักษณะนี้ครับ จะทำให้เนื้อหาเล่าเรื่องแบบธรรมชาติ พร้อมให้คำตอบที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นในแต่ละหัวข้อ เริ่มจาก H2 แรกกับ H3 แรกครับ

Table of Contents

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์คืออะไร? ต่างจากลู่วิ่งทั่วไปยังไง

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์คือลู่วิ่งที่ออกแบบมาให้คนใช้วันละ 10-12 ชั่วโมง หรือเดือนละ 300 ชั่วโมง ต่างจากลู่วิ่งบ้านที่ออกแบบมาให้ใช้วันละ 1-2 ชั่วโมง แค่นี้ก็ต่างกันลิบลับแล้ว”

รู้ไหม ตอนที่ผมเริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมก็นึกว่าลู่วิ่งก็คือลู่วิ่ง จะต่างกันตรงไหน? แต่พอได้ลองใช้ลู่วิ่งในฟิตเนสดีๆ เทียบกับลู่วิ่งราคาหมื่นต้นๆ ที่บ้าน โอ้โห คนละเรื่องเลย

ลู่วิ่งในฟิตเนสหรือที่เรียกว่า “Commercial Grade” นี่เขาสร้างมาให้ทนทานสุดๆ เพราะต้องรองรับการใช้งานหนัก คนมาวิ่งตั้งแต่เช้ายันดึก และไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นสิบเป็นร้อยคนต่อวัน

ลองคิดดูว่าลู่วิ่งในฟิตเนสอาจจะต้องทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่มีวันหยุด ถ้าเป็นลู่วิ่งธรรมดาคงพังไปนานแล้ว

โครงสร้าง มอเตอร์ พื้นวิ่ง – จุดแข็งของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์

“จุดแข็งของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์คือ โครงสร้างหนาและแข็งแรงกว่าเท่าตัว มอเตอร์ใหญ่และเย็นกว่า (AC Motor) และพื้นวิ่งกว้างกว่ามาก เพราะมันต้องรองรับการใช้งานหนักตลอดเวลา”

ตอนที่ผมพาลูกค้าไปดูลู่วิ่งที่คลัง ผมชอบให้เขาลองยกลู่วิ่งธรรมดากับลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เทียบกัน น้ำหนักต่างกันเท่าตัวเลย รุ่นใหญ่หนัก 150-200 กิโลเลยนะ

ถ้าเราดูโครงสร้าง ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะใช้เหล็กหนาประมาณ 3 มิลลิเมตร ในขณะที่ลู่วิ่งบ้านทั่วไปอาจหนาแค่ 1.5-2 มิลลิเมตร แค่นี้ก็ทำให้ความแข็งแรงต่างกันแล้ว

มอเตอร์ก็เช่นกัน ลู่วิ่งบ้านส่วนใหญ่ใช้ DC Motor ที่มีกำลังประมาณ 1.5-3 แรงม้า แต่ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะใช้ AC Motor ที่มีกำลัง 3-5 แรงม้าขึ้นไป อย่างรุ่น REAL ของเราใช้มอเตอร์ 3.0 CP (Continuous Power) – 7 PP (Peak Power)

พื้นวิ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่แตกต่างอย่างชัดเจน ลู่วิ่งบ้านมักมีขนาดประมาณ 43-46 x 120-130 ซม. แต่ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะมีพื้นที่วิ่งกว้างถึง 50-60 x 140-160 ซม. วิ่งสบายกว่าเยอะ ไม่ต้องกลัวตกลู่

ผมเคยใช้ลู่วิ่งรุ่น X12 ตอนซ้อมวิ่ง Bangkok Marathon ปีที่แล้ว เวลาวิ่งยาวๆ 2-3 ชั่วโมง พื้นที่วิ่ง 155 x 55 ซม. มันช่วยได้มากจริงๆ เพราะเราไม่ต้องกังวลเรื่องการก้าวผิดตำแหน่ง

ทำไมลู่วิ่ง Commercial ถึงมีราคาสูงกว่ามาก?

“ราคาสูงกว่าเพราะวัสดุดีกว่า ระบบซับแรงดีกว่า มอเตอร์ใหญ่กว่า และที่สำคัญคือออกแบบมาให้ใช้งานได้หนักมาก ลู่วิ่งบ้านราคาหมื่นต้นๆ วิ่งวันละชั่วโมงก็พออยู่ได้ แต่ Commercial ต้องทนได้วันละ 10 ชั่วโมงขึ้นไป”

เคยเห็นป้ายราคาลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในห้างไหม? เริ่มต้นที่ 50,000-60,000 บาท ไปจนถึงเป็นแสนบาท บางทีก็สงสัยใช่ไหมว่าทำไมมันแพงกว่าลู่วิ่งบ้านธรรมดาตั้ง 3-4 เท่า

ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนที่ผมไปดูโรงงานผลิตลู่วิ่ง มันต่างกันตั้งแต่วัตถุดิบ ลู่วิ่ง Commercial จะใช้เหล็กเกรดสูงกว่า หนากว่า และมีการเสริมความแข็งแรงในจุดรับน้ำหนักมากกว่า

สายพานก็เช่นกัน ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะใช้สายพานที่หนากว่า โดยเฉพาะรุ่น X11 ของเราใช้สายพานหนาถึง 3 มิลลิเมตร ซึ่งทนทานกว่ามาก เวลาใช้งานหนักๆ สายพานก็ไม่ฉีกขาดง่าย

แต่ที่สำคัญสุดๆ คือมอเตอร์ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะใช้ AC Motor ที่มีขนาดใหญ่กว่า และสำคัญคือเย็นกว่า DC Motor มาก ทำให้ทำงานต่อเนื่องได้นานโดยไม่ร้อนจัด

ผมเคยทดสอบเองเลยนะ เอาลู่วิ่งราคาหมื่นต้นๆ มาวิ่ง 3 ชั่วโมงติดกัน มอเตอร์ร้อนจนแทบจับไม่ได้ แต่เอา X12 หรือ REAL มาวิ่ง 5 ชั่วโมงติดกัน มอเตอร์ยังอุ่นๆ เท่านั้น

อีกอย่างที่คนมักมองข้าม คือระบบซับแรงกระแทก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักจะมีระบบลดแรงกระแทกที่ดีกว่า ทำให้วิ่งนุ่มและลดการบาดเจ็บที่ข้อเข่าและข้อเท้า อย่าง X11 มีกระดานรองสายพานพิเศษ 2 ชั้น หนา 25 มม. ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกได้มาก

ไหนจะหน้าจอและระบบควบคุมอีก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักมีหน้าจอขนาดใหญ่ ระบบสัมผัสที่แม่นยำ และโปรแกรมฝึกที่หลากหลายกว่า

ลู่วิ่งฟิตเนสเกรดเชิงพาณิชย์ที่บ้านใช้ได้จริงไหม?

“ใช้ได้จริง 100% ผมมีลูกค้าหลายคนที่ซื้อรุ่น REAL, X11, X12 ไปใช้ที่บ้าน แต่ต้องเตรียมพื้นที่ให้พร้อม เพราะมันหนักมาก ย้ายยาก และกินไฟเยอะขึ้น ถ้าซื้อแล้วใช้จริงจัง คุ้มค่ามากๆ”

เมื่อปีที่แล้วผมขายลู่วิ่ง X12 ให้นักธุรกิจท่านหนึ่ง แกบอกว่าเบื่อต้องไปฟิตเนสแล้วต้องรอคิว ซื้อไปวางไว้ที่บ้าน วิ่งได้ทุกเวลาที่อยากวิ่ง

อีกเคสคือหมอท่านหนึ่ง ซื้อ REAL ไปใช้ที่บ้าน เพราะเขาวิ่งทุกวัน วันละ 10 กิโล ลู่วิ่งบ้านธรรมดาใช้ได้แค่ปีเดียวก็มีปัญหาแล้ว พอเปลี่ยนมาใช้รุ่นเชิงพาณิชย์ ใช้มา 3 ปีแล้วยังไม่มีปัญหาอะไรเลย

ที่น่าสนใจคือผมมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่รวมเงินกันซื้อลู่วิ่ง X11 ไว้ที่คอนโดเดียวกัน ตั้งไว้ที่ห้องออกกำลังกายส่วนกลางของคอนโด ใช้ร่วมกัน 5-6 คน ตอนนี้ใช้มาเกือบ 2 ปีแล้วยังวิ่งดีเหมือนเดิม

แต่ต้องเตือนไว้ก่อนว่า การติดตั้งลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าง X12 หนักถึง 210 กิโล ต้องมีคนช่วยขนอย่างน้อย 3-4 คน และต้องวางบนพื้นที่แข็งแรงพอ

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่งซื้อ X11 ไปตั้งที่ชั้น 2 ของบ้าน พื้นเป็นไม้ปาร์เก้ ต้องเสริมคานไม้ด้านล่างเพิ่มเติมเพื่อรับน้ำหนัก

และอีกเรื่องที่ต้องคำนึงคือการใช้ไฟฟ้า ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ใช้ไฟเยอะกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป อาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้นนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับค่าสมาชิกฟิตเนสรายปี ยังคุ้มกว่าเยอะ

ใช้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้านดีไหม? เหมาะกับใคร?

“ดีมากถ้าคุณวิ่งจริงจัง วิ่งบ่อย หรือมีคนใช้หลายคน ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เหมาะกับคนที่วิ่งอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ซ้อมวิ่งระยะไกล หรือมีคนในบ้านใช้ร่วมกันหลายคน”

ผมเคยถามลูกค้าที่มาหาลู่วิ่งว่า “คุณวิ่งบ่อยแค่ไหน?” ถ้าตอบว่า “นานๆ ทีครับพี่ สัปดาห์ละครั้งสองครั้ง” ผมจะแนะนำลู่วิ่งบ้านธรรมดาเลย อย่าง A1 หรือ A3 ก็พอ

แต่ถ้าตอบว่า “วิ่งทุกวันครับ วันละชั่วโมงสองชั่วโมง” หรือ “กำลังซ้อมวิ่งมาราธอน” หรือ “บ้านมีคนวิ่ง 3-4 คน ผลัดกันใช้” นี่แหละ ผมจะเริ่มแนะนำรุ่นที่เกรดสูงขึ้น

ข้อดี – วิ่งนุ่ม เสียงเงียบ พื้นที่ใหญ่ วิ่งได้ทุกวัน

“ข้อดีของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์คือวิ่งนุ่มมาก เสียงเงียบสนิท พื้นที่วิ่งกว้างขวาง และที่สำคัญคือใช้ได้ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง โดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะพัง”

ตอนที่ผมพาลูกค้าไปทดลองลู่วิ่ง X12 ที่โชว์รูม สิ่งแรกที่เขาสังเกตคือเสียง หรือจะพูดให้ถูกคือ “ความเงียบ” ของมัน เวลาวิ่งที่ความเร็ว 10-12 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลู่วิ่งทั่วไปจะมีเสียงดังพอสมควร แต่ลู่วิ่งเกรดเชิงพาณิชย์เงียบกว่ามาก

ผมยังจำได้ว่ามีลูกค้าคนหนึ่งเคยโทรมาบ่นว่าลู่วิ่งรุ่นเก่าของเขาทำให้ลูกตื่นตอนกลางคืน เพราะเขาชอบวิ่งดึกๆ พอเปลี่ยนมาใช้ X11 ปัญหาหายไปเลย เพราะเสียงเบามาก

ความนุ่มในการวิ่งก็เป็นอีกข้อดีที่สำคัญมาก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักจะมีระบบลดแรงกระแทกที่ดีกว่า อย่างรุ่น X11 มีกระดานรองวิ่งหนาถึง 25 มม. 2 ชั้น และมีโช้คสปริงคู่ช่วยซับแรง ทำให้วิ่งสบายมาก ไม่ปวดเข่า ไม่ปวดข้อเท้า

ผมเองเคยมีอาการปวดเข่าตอนวิ่งบนลู่วิ่งราคาถูก พอเปลี่ยนมาวิ่งบนลู่วิ่ง REAL อาการปวดหายไปเลย ทั้งที่ระยะทางและความเร็วเท่าเดิม

พื้นที่วิ่งกว้างก็เป็นอีกข้อดีที่ชัดเจน ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะมีพื้นที่วิ่งกว้างกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป 20-30% ทำให้วิ่งสบายกว่า ไม่ต้องระวังตัวมาก โดยเฉพาะคนที่วิ่งเร็วๆ หรือคนตัวใหญ่

และที่สำคัญสุดๆ คือความทนทาน คุณสามารถใช้งานได้ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง โดยไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะพัง ผมมีลูกค้าที่เป็นครอบครัวนักวิ่ง พ่อ แม่ ลูกสาว ลูกชาย วิ่งกันทั้งบ้าน ใช้ X12 วันละ 5-6 ชั่วโมงมานานกว่า 2 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย

ข้อเสีย – เปลืองพื้นที่, หนักมาก, ต้องการพื้นที่วางถาวร

“ข้อเสียที่ชัดเจนคือ มันใหญ่มาก หนักมาก และย้ายยากมาก ถ้าบ้านคุณพื้นที่จำกัด ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อาจไม่ใช่คำตอบที่ดี เพราะมันเหมือนมีช้างอยู่ในห้อง ย้ายไปไหนก็ไม่ได้”

ถึงจะมีข้อดีเยอะ แต่ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ก็มีข้อเสียที่ชัดเจนมาก นั่นคือขนาดและน้ำหนัก

ลองนึกภาพว่ามีอะไรสักอย่างขนาดเท่าโซฟาตัวใหญ่ แต่หนัก 200 กิโลกรัม มาวางอยู่ในบ้านคุณ ย้ายไปไหนก็ไม่ได้ เพราะหนักมาก ต้องมีคนช่วยขน 4-5 คน

ผมเคยมีลูกค้าโทรมาถามว่า “พี่หมิง ผมซื้อ X11 ไปใช้ที่บ้าน จะย้ายไปอีกห้องได้ไหม?” ผมได้แต่หัวเราะ “ขอ 4-5 คนช่วยยกครับ ไม่งั้นยากมาก”

แม้บางรุ่นจะพับเก็บได้ เช่น X11 หรือ X12 แต่ก็ยังต้องการพื้นที่มาก และการพับก็ไม่ได้ช่วยประหยัดพื้นที่มากนัก เพราะฐานมันยังใหญ่อยู่ดี

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ส่วนใหญ่มีขนาดประมาณ 90-95 × 200-220 × 150-170 ซม. ซึ่งใหญ่มาก ต้องวางในห้องที่มีพื้นที่พอสมควร

อีกข้อเสียหนึ่งคือการใช้ไฟฟ้า ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักใช้ไฟมากกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป เพราะมอเตอร์ขนาดใหญ่กว่า อาจทำให้ค่าไฟสูงขึ้นเล็กน้อย

สุดท้ายคือเรื่องราคา ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มีราคาสูงกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป 2-3 เท่า ต้องมีงบประมาณพอสมควร จะดูแพงไปหน่อยถ้าใช้เดือนละไม่กี่ครั้ง

ถ้าอยู่คอนโดหรือบ้านเล็ก ควรคิดอะไรให้รอบคอบ?

“ถ้าอยู่คอนโดหรือบ้านเล็ก ให้คิดให้รอบคอบมากๆ ทั้งเรื่องน้ำหนัก พื้นที่ การเคลื่อนย้าย และเสียง ผมแนะนำให้ลองเช่าก่อน หรือเลือกรุ่นที่เล็กลงมาหน่อย เช่น A5 ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงรุ่นใหญ่แต่ขนาดกะทัดรัดกว่า”

ผมเคยมีประสบการณ์กับลูกค้าที่อยู่คอนโด ซื้อลู่วิ่ง X11 ไป แต่พอถึงวันติดตั้ง มีปัญหาเพราะลิฟท์เล็กเกินไป สุดท้ายต้องแบกขึ้นบันได 8 ชั้น ใช้คนถึง 6 คน และก็ยังเหนื่อยมาก

ถ้าคุณอยู่คอนโดหรือบ้านเล็ก ผมแนะนำให้คิดเรื่องต่อไปนี้ให้ดี 

  1. พื้นที่วาง – คุณมีพื้นที่พอไหม? ต้องวัดให้แน่ใจว่ามีพื้นที่เพียงพอ ไม่ใช่แค่ตัวลู่วิ่ง แต่รวมถึงพื้นที่ว่างรอบๆ ด้วย
  2. ความแข็งแรงของพื้น – พื้นคอนโดจะรับน้ำหนัก 200 กิโลได้ไหม? ถ้าเป็นพื้นไม้หรือพื้นลามิเนต อาจต้องเสริมความแข็งแรง
  3. การขนส่ง – ลิฟท์ใหญ่พอไหม? ประตูห้อง ประตูลิฟท์ กว้างพอไหม? ทางเดินมีจุดเลี้ยวหักศอกไหม?
  4. เพื่อนบ้าน – เสียงจะรบกวนห้องข้างๆ หรือชั้นล่างไหม? แม้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะเงียบกว่า แต่แรงสั่นสะเทือนอาจเป็นปัญหาได้
  5. การถอดประกอบ – ถ้าต้องย้ายในอนาคต จะทำยังไง? ถอดแยกชิ้นได้ไหม?

ถ้าคุณมีข้อกังวลเรื่องพวกนี้ ผมว่าลู่วิ่ง A5 อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า มันให้ประสบการณ์เกือบเท่ารุ่นเชิงพาณิชย์ แต่มีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักเบากว่า และราคาถูกกว่ามาก

อีกทางเลือกหนึ่งคือลองเช่าลู่วิ่งคุณภาพดีไปใช้ก่อน 1-2 เดือน ดูว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์คุณไหม ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

ผมเคยมีลูกค้าอยู่คอนโดแถวสุขุมวิท เขาตัดสินใจซื้อ A5 แม้มีงบพอซื้อรุ่นใหญ่ เพราะกังวลเรื่องพื้นที่และการขนย้าย และเขาก็พอใจมาก เพราะ A5 ก็ให้ประสบการณ์การวิ่งที่ดีพอแล้ว

สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มาใช้ที่บ้าน

“ก่อนซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ ต้องรู้จริงๆ ว่าคุณจะใช้มันบ่อยแค่ไหน ต้องมีพื้นที่เพียงพอ ต้องเตรียมงบให้พร้อม และต้องมีคนช่วยติดตั้ง ที่สำคัญคือต้องแน่ใจว่ามันคุ้มค่ากับคุณจริงๆ”

ผมเคยเจอลูกค้าที่ตื่นเต้นมาก อยากได้ลู่วิ่งรุ่นใหญ่ๆ แต่พอซื้อไปแล้ว ใช้แค่ 2-3 เดือนก็เลิกใช้ เพราะไม่ได้วิ่งบ่อยอย่างที่คิด สุดท้ายกลายเป็นราวตากผ้าราคาแพง

ต้องดูอะไรบ้าง? มอเตอร์, ขนาด, พื้นที่วาง, ระบบพับเก็บ

“ต้องดูมอเตอร์เป็นอันดับแรก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ต้องเป็น AC Motor ขนาด 3 แรงม้าขึ้นไป ต้องดูระบบซับแรงกระแทก ต้องดูความหนาของสายพาน และสำคัญสุด ต้องดูพื้นที่ที่คุณจะวาง เพราะลู่วิ่งพวกนี้ไม่ได้มีไว้ให้พับเก็บบ่อยๆ”

ในฐานะคนขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมเห็นความผิดพลาดของลูกค้ามาเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือการไม่ศึกษาสเปคให้ดีก่อนซื้อ มาเสียใจทีหลัง

เรื่องมอเตอร์นี่สำคัญมาก ผมเคยเจอเคสลูกค้าซื้อลู่วิ่งที่อ้างว่าเป็น “Commercial Grade” แต่ใช้ DC Motor กำลัง 2.5 แรงม้า ซึ่งผมรู้เลยว่าไม่ใช่เกรดเชิงพาณิชย์จริง เพราะลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ต้องใช้ AC Motor ที่มีกำลังอย่างน้อย 3.0 แรงม้าขึ้นไป

อีกเรื่องคือความหนาของสายพาน ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ต้องใช้สายพานหนา 2 มิลลิเมตรขึ้นไป ผมเคยทำการทดสอบสายพานบางๆ กับสายพานหนาๆ วิ่งวันละชั่วโมงติดต่อกัน 3 เดือน สายพานบางเริ่มเสื่อมสภาพ ขอบสึก แต่สายพานหนาแทบไม่มีรอยเลย

ระบบซับแรงกระแทกก็สำคัญไม่แพ้กัน คนซื้อลู่วิ่งมักไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อวิ่งไปสักพัก จะเริ่มรู้สึกปวดข้อเข่า ปวดข้อเท้า ปวดหลัง เพราะระบบซับแรงกระแทกไม่ดีพอ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะมีระบบซับแรงกระแทกที่ดีกว่ามาก อย่าง X12 มีโช้คสปริงคู่ช่วยรับแรงกระแทก

ผมยังจำได้ว่ามีลูกค้ารายหนึ่ง เป็นนักวิ่งอายุ 50+ ซื้อลู่วิ่งราคาถูกไปใช้ที่บ้าน พอวิ่งไปได้ 3 เดือน เริ่มมีอาการปวดหัวเข่า ต้องหยุดวิ่งไปเลย สุดท้ายเขากลับมาซื้อ REAL เพราะต้องการระบบซับแรงกระแทกที่ดีกว่า

เรื่องขนาดและพื้นที่วางก็สำคัญมาก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ต้องการพื้นที่มาก ไม่ใช่แค่ขนาดของตัวเครื่อง แต่ต้องมีพื้นที่ว่างรอบๆ ด้วย โดยทั่วไปควรมีพื้นที่ว่างด้านหลังอย่างน้อย 2 เมตร ด้านข้างอย่างน้อยข้างละ 0.6 เมตร และด้านหน้าอย่างน้อย 0.3 เมตร

มีครั้งหนึ่งผมไปติดตั้งลู่วิ่ง X11 ให้ลูกค้าที่บ้าน ปรากฏว่าพื้นที่แคบกว่าที่คิด ลู่วิ่งใหญ่เกินไป พอตั้งแล้ว เดินเข้าออกห้องลำบากมาก ต้องเดินเบียดกำแพง สุดท้ายลูกค้าต้องย้ายของออกจากห้องแทบหมด เพื่อให้มีพื้นที่พอใช้ลู่วิ่ง

อีกสิ่งที่คนมักมองข้าม คือระบบพับเก็บ แม้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์หลายรุ่นจะพับเก็บได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพับเก็บมันบ่อยๆ ได้ เพราะมันหนักมาก การพับขึ้นลงทุกวันอาจทำให้ระบบพับเสียเร็วกว่าปกติ ต่างจากลู่วิ่งบ้านที่ออกแบบมาให้พับเก็บบ่อยๆ ได้

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่งซื้อ X12 ไป ตั้งใจจะพับเก็บทุกครั้งหลังใช้ แต่พอใช้จริง เขาบอกว่า “พี่หมิง มันหนักเกินไป ผมต้องเรียกเมียมาช่วยทุกครั้ง” สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้มันตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้พับเก็บอีกเลย

คำแนะนำจากนักวิ่งมาราธอน – เลือกยังไงให้ไม่พลาด

“ในฐานะคนวิ่งมาราธอนมาหลายสนาม ผมแนะนำให้เลือกลู่วิ่งจากความรู้สึกจริงๆ ตอนวิ่ง ต้องไปทดลองวิ่งจริงก่อนซื้อ อย่าดูแค่สเปค วิ่ง 10-15 นาทีขึ้นไป ถึงจะรู้ว่าเข่าจะปวดไหม มั่นคงพอไหม เสียงเงียบจริงไหม แล้วค่อยตัดสินใจ”

ผมวิ่งมาราธอนมาหลายรายการ ทั้ง Amazing Thailand Marathon Bangkok, Laguna Phuket Marathon และอื่นๆ อีกมากมาย ผมเข้าใจดีว่านักวิ่งต้องการอะไรจากลู่วิ่ง โดยเฉพาะคนที่ซ้อมวิ่งระยะไกล

เคล็ดลับแรกสุดในการเลือกลู่วิ่ง คือ คุณต้องไปทดลองวิ่งจริงๆ ก่อนซื้อ ไม่ใช่แค่เดินเล่น 2-3 นาที แต่ต้องวิ่งจริงๆ อย่างน้อย 10-15 นาที ที่ความเร็วที่คุณวิ่งเป็นประจำ

ผมเคยพาลูกค้าที่เป็นนักวิ่งมาทดลองลู่วิ่ง 3 รุ่น ทั้ง A5, X11 และ REAL เขาวิ่งรุ่นละ 15 นาที แล้วบอกว่า “รู้เลยว่าอันไหนใช่” เพราะความรู้สึกตอนวิ่งต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องความนุ่ม การรองรับแรงกระแทก และความมั่นคง

นักวิ่งที่ซ้อมระยะไกลควรให้ความสำคัญกับความกว้างของพื้นที่วิ่ง เพราะยิ่งวิ่งนาน ก้าวเท้าจะเริ่มไม่ตรงเป๊ะ อาจล้ำไปด้านข้างบ้าง ถ้าพื้นที่วิ่งแคบเกินไป อาจพลาดตกลู่วิ่งได้ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะมีพื้นที่วิ่งกว้างกว่า ทำให้วิ่งสบายกว่ามาก

ผมเคยพลาดตกลู่วิ่งตอนซ้อมวิ่งนานๆ เพราะลู่วิ่งแคบเกินไป ตกลงมาเจ็บข้อเท้าเลยต้องพักวิ่งไป 2 สัปดาห์ นับจากนั้นผมก็ไม่เคยใช้ลู่วิ่งที่พื้นที่วิ่งแคบอีกเลย

อย่าลืมทดสอบระบบปรับความชันด้วย ถ้าคุณซ้อมวิ่งที่มีเนินบ้าง ระบบปรับความชันจะช่วยให้การซ้อมสมจริงมากขึ้น ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักจะมีระบบปรับความชันที่แข็งแรงกว่า และปรับได้สูงกว่า บางรุ่นปรับได้ถึง 15-20 องศา เหมาะสำหรับซ้อมวิ่งเทรล

มีครั้งหนึ่ง ผมช่วยเพื่อนซ้อมวิ่งเทรลโดยใช้ลู่วิ่ง X12 ตั้งความชันไว้ที่ 15 องศา วิ่งนานถึง 2 ชั่วโมง ลู่วิ่งทำงานได้อย่างเสถียร ไม่มีอาการสะดุดหรือร้อนเกิน เพราะมอเตอร์ใหญ่และระบายความร้อนได้ดี

นอกจากนี้ ควรสังเกตเสียงของลู่วิ่งขณะใช้งาน ลู่วิ่งคุณภาพดีจะมีเสียงเบา สม่ำเสมอ ไม่มีเสียงดังผิดปกติเวลาก้าวเท้าลง ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักจะเงียบกว่า เพราะมอเตอร์คุณภาพดีกว่า และโครงสร้างแข็งแรงกว่า ไม่สั่นหรือเกิดเสียงรบกวนขณะใช้งาน

อยากใช้นาน 5-10 ปี ต้องดูจุดไหนเป็นพิเศษ?

“ถ้าอยากใช้นาน 5-10 ปี ให้ดูที่โครงสร้างและคุณภาพมอเตอร์เป็นหลัก ลู่วิ่งที่มีโครงเหล็กหนา 3 มิลลิเมตรขึ้นไป ใช้ AC Motor แบบพิเศษ มีระบบหล่อเย็น และสายพานหนาพิเศษ จะอยู่กับคุณได้นานกว่า 10 ปีสบายๆ แต่ต้องดูแลถูกวิธีด้วย”

ในการทำงานกว่า 10 ปีในวงการลู่วิ่ง ผมเห็นลู่วิ่งบางเครื่องใช้งานได้เพียง 1-2 ปีก็พัง ในขณะที่บางเครื่องใช้มา 10 ปียังวิ่งได้ดีอยู่เลย ความแตกต่างอยู่ที่คุณภาพและการดูแลรักษา

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งซื้อลู่วิ่ง Commercial Grade จากแบรนด์อื่นไปตั้งแต่ปี 2015 จนถึงตอนนี้ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ (กว่า 8 ปีแล้ว) เขาบอกว่าเคล็ดลับคือการเลือกรุ่นที่มีโครงสร้างแข็งแรง และดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

จุดแรกที่ต้องดูคือโครงสร้าง ลู่วิ่งที่จะใช้งานได้นาน 5-10 ปี ต้องมีโครงเหล็กหนาอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร มีการเสริมความแข็งแรงในจุดรับน้ำหนัก และมีการเชื่อมที่แข็งแรง ไม่ใช่แค่ยึดด้วยน็อต

รุ่น REAL, X11, X12 ของเราใช้โครงสร้างเหล็กหนา 3 มิลลิเมตร ซึ่งแข็งแรงกว่าลู่วิ่งทั่วไปมาก ผมเคยเห็นลูกค้าน้ำหนัก 120 กิโลกรัมใช้ X12 วิ่งทุกวัน วันละชั่วโมงมานานกว่า 4 ปี โครงสร้างยังแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่มีอาการสั่น ไม่มีเสียงดังผิดปกติ

อีกจุดสำคัญคือมอเตอร์ ลู่วิ่งที่จะใช้งานได้นานต้องใช้ AC Motor ที่มีระบบระบายความร้อนที่ดี มีกำลังมากพอ และมีระบบป้องกันการใช้งานเกินกำลัง

ผมเคยเปิดดูมอเตอร์ของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์กับลู่วิ่งบ้านทั่วไป มอเตอร์ของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ใหญ่กว่ามาก มีพัดลมระบายความร้อนขนาดใหญ่ มีแผงระบายความร้อน และมีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อร้อนเกิน ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานได้มาก

สายพานก็เป็นอีกจุดที่สำคัญ ลู่วิ่งที่จะใช้งานได้นานต้องใช้สายพานคุณภาพสูง หนาอย่างน้อย 2 มิลลิเมตรขึ้นไป มีความยืดหยุ่นดี และมีความทนทานสูง

รุ่น X11 ใช้สายพานหนาถึง 3 มิลลิเมตร ซึ่งทนทานมาก ผมเคยตรวจดูสายพานของลูกค้าที่ใช้งานมา 3 ปี ยังแทบไม่มีรอยสึกเลย

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลรักษา ลู่วิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องการการดูแลที่ถูกต้อง ต้องหยอดน้ำมันสายพานตามกำหนด ต้องทำความสะอาดสม่ำเสมอ และต้องตรวจสอบความตึงของสายพานเป็นระยะ

ผมแนะนำลูกค้าทุกคนให้หยอดน้ำมันสายพานทุก 1-2 เดือน แม้รุ่น X11 และ X12 จะมีระบบแทงค์เติมน้ำมันอัตโนมัติ แต่ก็ยังต้องเติมน้ำมันเข้าไปในแทงค์เมื่อถึงเวลา

อีกเคล็ดลับคือการใช้ผ้ายางรองใต้ลู่วิ่ง ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน ลดเสียง และช่วยให้ลู่วิ่งทำงานได้เสถียรขึ้น ผมเคยแนะนำลูกค้าให้ซื้อผ้ายางรองหนา 6 มิลลิเมตรมาวางใต้ลู่วิ่ง REAL เขาบอกว่าช่วยได้มาก เสียงเงียบลง และสั่นน้อยลง

เปรียบเทียบลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ vs ลู่วิ่งบ้าน รุ่นท็อปของ RunatHome

“ถ้าเทียบกันตรงๆ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อย่าง REAL, X11, X12 จะวิ่งนุ่มกว่า เงียบกว่า และทนทานกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก แต่ก็แพงกว่า 2-3 เท่า ส่วนรุ่น A5 ที่เป็นลู่วิ่งบ้านเกรดสูง ให้ความรู้สึกใกล้เคียงรุ่นเชิงพาณิชย์ แต่ราคาถูกกว่าครึ่งนึง”

ลู่วิ่ง REAL, X11, X12 – จัดว่าเป็นรุ่นใหญ่ที่บ้านใช้ได้จริง

“รุ่น REAL, X11, X12 เป็นรุ่นที่ผมภูมิใจนำเสนอให้ลูกค้าที่ต้องการลู่วิ่งคุณภาพสูงในบ้าน ทั้งสามรุ่นนี้สร้างมาเพื่อให้ใช้งานอย่างหนักได้ แต่ยังมีดีไซน์ที่เหมาะกับการใช้ในบ้าน และมีระบบพับเก็บที่ช่วยประหยัดพื้นที่เมื่อไม่ใช้งาน”

ผมขอเล่าประสบการณ์จริงจากการขายลู่วิ่งทั้งสามรุ่นนี้ให้ฟัง รุ่น REAL เป็นลู่วิ่งที่ผมขายให้กับลูกค้าที่เป็นครอบครัวนักวิ่ง 4 คน พ่อเป็นนักวิ่งมาราธอน แม่วิ่งครึ่งมาราธอน ลูกสาวสองคนก็วิ่งเป็นประจำ พวกเขาใช้ REAL มานานกว่า 3 ปีแล้ว ยังวิ่งได้ดีเหมือนวันแรกที่ซื้อ

  • สิ่งที่ทำให้ REAL โดดเด่นคือ มอเตอร์ AC ขนาด 3.0 CP – 7 PP ที่ทนทานมาก วิ่งเงียบ และวิ่งลื่น ไม่มีอาการสะดุด แม้จะใช้งานหนักวันละหลายชั่วโมง โครงสร้างหนา 3 มิลลิเมตร ทำให้ลู่วิ่งมั่นคง ไม่สั่น ไม่โยก แม้คนตัวใหญ่น้ำหนัก 100 กิโลกรัมวิ่งก็ยังนิ่ง
  • ส่วน X11 เป็นรุ่นที่ผมชอบแนะนำให้กับลูกค้าที่ต้องการลู่วิ่งขนาดใหญ่พิเศษ ด้วยพื้นที่วิ่งกว้างถึง 155 x 59 ซม. ทำให้วิ่งสบายมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องการเผลอก้าวออกนอกลู่ สายพานหนา 3 มิลลิเมตร ทนทานมาก และมีระบบซับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม

ผมเคยมีลูกค้าที่เป็นนักวิ่งน้ำหนัก 120 กิโลกรัม เขาเคยพังลู่วิ่งราคาถูกมาแล้ว 2 เครื่อง แต่พอเปลี่ยนมาใช้ X11 วิ่งได้สบาย ไม่มีเสียงดัง ไม่มีอาการสั่น และที่สำคัญคือไม่พัง

  • X12 เป็นรุ่นท็อปสุดที่ผมมี มันมาพร้อมกับหน้าจอ 2 จอ ขนาด 23 นิ้ว และระบบความชันสูงถึง 15 องศา ทำให้สามารถจำลองการวิ่งขึ้นเขาได้ ลูกค้าที่ซื้อ X12 ไปมักเป็นนักวิ่งจริงจังที่ซ้อมวิ่งเทรล หรือซ้อมวิ่งมาราธอนแบบมืออาชีพ

ผมเคยมีลูกค้าที่เป็นนักวิ่งอาชีพซื้อ X12 ไปใช้ที่บ้าน เขาบอกว่าวิ่งสบายกว่าลู่วิ่งที่ฟิตเนสที่เขาเคยใช้ เพราะพื้นที่วิ่งกว้างกว่า และระบบซับแรงกระแทกดีกว่า ทำให้วิ่งได้นานขึ้นโดยไม่เจ็บข้อเข่า

ทั้งสามรุ่นนี้มีจุดร่วมกันคือ โครงสร้างแข็งแรงพิเศษ มอเตอร์เงียบและทนทาน พื้นที่วิ่งกว้าง และระบบซับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ไม่มีปัญหา

แต่ที่สำคัญคือทั้งสามรุ่นนี้ยังออกแบบมาให้ใช้ในบ้านได้ด้วย มีระบบพับเก็บแบบไฮโดรลิค ช่วยประหยัดพื้นที่เมื่อไม่ใช้งาน มีล้อเลื่อนที่ช่วยให้เคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้น (แม้จะยังต้องใช้แรงคนหลายคนก็ตาม) และมีดีไซน์ที่สวยงาม ไม่บึ้กบึ้กเหมือนลู่วิ่งในฟิตเนสทั่วไป

ราคาของทั้งสามรุ่นนี้อยู่ในช่วง 59,000 – 79,900 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จากแบรนด์ต่างประเทศที่อาจมีราคาสูงถึง 200,000 – 300,000 บาท

ลู่วิ่ง A5 – รุ่น Top ของบ้าน ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียง Commercial

“A5 คือลู่วิ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอให้กับลูกค้าที่อยากได้ประสบการณ์เหมือนลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ แต่มีพื้นที่จำกัดหรืองบไม่ถึง มันมีมอเตอร์ DC ขนาด 5.0 แรงม้า ซึ่งแรงที่สุดในกลุ่มลู่วิ่งบ้าน และมีพื้นที่วิ่งที่กว้างพอสมควร ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งบนลู่วิ่งใหญ่ แต่ราคาเพียง 25,900 บาท”

A5 เป็นรุ่นที่ขายดีมากในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลู่วิ่งคุณภาพสูง แต่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่หรืองบประมาณ ผมขาย A5 ไปแล้วกว่า 300 เครื่อง และได้รับคำชมมากมายว่ามันให้ประสบการณ์การวิ่งที่ดีกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก

  • A5 มีจุดเด่นคือมอเตอร์ DC ขนาด 5.0 แรงม้า ซึ่งถือว่าแรงมากสำหรับลู่วิ่งบ้าน ทำให้วิ่งลื่น ไม่สะดุด แม้จะวิ่งที่ความเร็วสูงถึง 20 กม./ชม. พื้นที่วิ่งกว้าง 58 x 145 ซม. ซึ่งใหญ่กว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป ทำให้วิ่งสบาย ไม่อึดอัด

ผมเคยมีลูกค้าที่เป็นแพทย์หญิงท่านหนึ่ง อยู่คอนโดขนาดเล็ก แต่ชอบวิ่งมาก เธออยากได้ลู่วิ่งคุณภาพดี แต่กังวลเรื่องพื้นที่ ผมแนะนำ A5 ให้เธอ เธอใช้มาเกือบ 2 ปีแล้ว บอกว่าพอใจมาก วิ่งลื่น เสียงเงียบ และที่สำคัญคือพับเก็บง่าย ประหยัดพื้นที่

  • A5 มีระบบซับแรงกระแทกที่ดีมาก ด้วยโช๊คสปริงคู่ ทำให้วิ่งนุ่ม ลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้า ผมมีลูกค้าอายุ 60+ หลายท่านใช้ A5 วิ่งเบาๆ วันละ 30-60 นาที ไม่มีอาการปวดข้อเข่าหรือข้อเท้าเลย
  • อีกจุดเด่นของ A5 คือมีระบบปรับความชันอัตโนมัติ 0-15 ระดับ ซึ่งหาได้ยากในลู่วิ่งบ้านราคาใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถจำลองการวิ่งขึ้นเขาได้ เพิ่มความหลากหลายในการออกกำลังกาย
  • A5 ยังมาพร้อมกับหน้าจอ LED ขนาด 7 นิ้ว และโปรแกรมอัตโนมัติ 12 โปรแกรม ทำให้ใช้งานง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย และสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Bluetooth, Zwift และ FITIME ได้ ทำให้การวิ่งสนุกและน่าสนใจมากขึ้น
  • ที่สำคัญ A5 มีน้ำหนักเพียง 102 กิโล ซึ่งเบากว่ารุ่นเชิงพาณิชย์มาก ทำให้เคลื่อนย้ายง่ายกว่า และติดตั้งง่ายกว่า สามารถติดตั้งได้ด้วยคนเพียง 2 คน ไม่จำเป็นต้องใช้ทีมงานหลายคนเหมือนรุ่นใหญ่

ราคาของ A5 อยู่ที่ 25,900 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณภาพและฟีเจอร์ที่ได้รับ มันอาจไม่ทนทานเท่ารุ่นเชิงพาณิชย์ แต่ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ไม่ใช้งานหนักเกินไป ก็สามารถใช้งานได้นานหลายปี

เลือกยังไงให้คุ้มงบ? ซื้อครั้งเดียวจบ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

“เรื่องความคุ้มค่า ผมแนะนำให้คิดแบบนี้ ถ้าวิ่งไม่บ่อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ซื้อ A1 หรือ A3 ก็พอ แต่ถ้าวิ่งทุกวัน วันละชั่วโมงขึ้นไป ให้ข้ามไปซื้อ A5 เลย ส่วนถ้าวิ่งหนักจริงๆ วันละ 2-3 ชั่วโมง หรือมีคนใช้หลายคน ยินดีลงทุนเพิ่มเป็น REAL, X11 หรือ X12 จะคุ้มกว่าในระยะยาว”

ในฐานะคนขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมเห็นลูกค้าหลายคนผิดพลาดในการเลือกซื้อ บางคนซื้อลู่วิ่งราคาถูกไป 1-2 หมื่นบาท แต่ใช้งานหนัก พอใช้ไปได้ปีเดียว เครื่องก็พัง ต้องซื้อใหม่ สุดท้ายเสียเงินมากกว่าซื้อรุ่นดีๆ ไปตั้งแต่แรก

เคล็ดลับในการเลือกลู่วิ่งให้คุ้มค่าคือ ต้องประเมินการใช้งานจริงๆ ของตัวเองให้ได้ก่อน ลองถามตัวเองว่า 

  • คุณจะวิ่งบ่อยแค่ไหน? ถ้าวิ่งสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 นาที ลู่วิ่งรุ่นเล็กอย่าง A1 หรือ A3 ก็เพียงพอแล้ว ราคาเพียง 9,990 – 14,900 บาท
  • แต่ถ้าคุณวิ่งทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรือซ้อมวิ่งมาราธอน ควรข้ามไปที่ A5 เลย ด้วยราคา 25,900 บาท มันจะอยู่กับคุณได้นานกว่า และให้ประสบการณ์การวิ่งที่ดีกว่ามาก
  • ส่วนถ้าคุณวิ่งหนักจริงๆ วันละ 2-3 ชั่วโมง หรือมีคนในบ้านใช้ร่วมกันหลายคน หรือเป็นนักวิ่งน้ำหนักมาก (90 กิโลกรัมขึ้นไป) การลงทุนในรุ่นเชิงพาณิชย์อย่าง REAL, X11 หรือ X12 ในราคา 59,000 – 79,900 บาท จะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

ผมเคยมีลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งราคาถูกไป 12,000 บาท ใช้งานหนักวันละ 2 ชั่วโมง เพราะทั้งเขาและภรรยาวิ่งกันทุกวัน ปรากฏว่าใช้ไปได้แค่ 8 เดือน มอเตอร์ก็พัง ซ่อมไป 4,000 บาท ใช้ต่อได้อีก 6 เดือน พังอีก คราวนี้โครงหัก เสียอีก 6,000 บาท สุดท้ายเขาเสียไปเกือบ 25,000 บาท แต่ได้ลู่วิ่งที่มีปัญหาตลอด

พอมาซื้อ X11 ในราคา 59,900 บาท ใช้มา 3 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาบอกว่า “น่าจะซื้อรุ่นใหญ่ตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงินซ่อม เสียเวลา และเสียอารมณ์”

อีกเรื่องที่ควรคำนึงถึงคือ มูลค่าการขายต่อ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักจะมีมูลค่าขายต่อที่ดีกว่า แม้จะใช้งานมานานหลายปี ผมเคยเห็นลูกค้าขาย X11 ที่ใช้มา 4 ปีในราคา 30,000 บาท ซึ่งยังเป็นราคาที่ดีมาก ในขณะที่ลู่วิ่งบ้านราคาถูกเมื่อใช้แล้ว 1-2 ปี แทบไม่มีมูลค่าขายต่อเลย

สุดท้าย อย่าลืมคำนวณค่าซ่อมบำรุงด้วย ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์แม้จะราคาสูงกว่า แต่มักจะมีค่าซ่อมบำรุงที่ต่ำกว่าในระยะยาว เพราะไม่ค่อยพัง และรับประกันยาวกว่า โดยปกติรุ่นเชิงพาณิชย์จะรับประกันโครงสร้าง 1 ปี และมอเตอร์ 5 ปี

 

5 คำถามยอดฮิตก่อนซื้อ “ลู่วิ่งรุ่นใหญ่” มาไว้ที่บ้าน

“คำถามที่ผมเจอบ่อยที่สุดเวลาลูกค้าจะซื้อลู่วิ่งรุ่นใหญ่คือ มันเสียงดังไหม? ย้ายง่ายไหม? วิ่งนุ่มจริงไหม? รุ่นเล็กใช้ได้ไหม? และถ้าวิ่งไกลควรเลือกแบบไหน? คำตอบคือ เสียงเงียบกว่าลู่วิ่งบ้านมาก แต่ย้ายยากมาก วิ่งนุ่มจริงๆ ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา และถ้าวิ่งระยะไกลประจำ รุ่นใหญ่คุ้มกว่าแน่นอน”

1.เสียงจะดังไหมถ้าใช้งานตอนเช้า/กลางคืน?

“เสียงเงียบกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก โดยเฉพาะรุ่น X11, X12, REAL ที่ใช้มอเตอร์ AC แบบพิเศษ เสียงเบากว่าลู่วิ่งทั่วไป 30-40% เลยทีเดียว แต่ยังมีเสียงบ้าง ถ้าอยู่คอนโดชั้นบนที่พื้นบาง อาจมีปัญหากับเพื่อนบ้านชั้นล่างได้ ไม่ใช่เพราะเสียง แต่เป็นแรงสั่นสะเทือนมากกว่า”

เรื่องเสียงนี่เป็นคำถามยอดฮิตเลย โดยเฉพาะลูกค้าที่อยู่คอนโดหรือทาวน์โฮม ผมขอเล่าประสบการณ์จริงๆ ให้ฟัง

มีลูกค้าคนหนึ่งอยู่คอนโดย่านอโศก เขาเคยใช้ลู่วิ่งราคาถูกตอนเช้าตรู่ 5 โมงเช้า เพื่อนบ้านมาร้องเรียนบ่อยมากว่าเสียงดัง “ตึก ตึก ตึก” และมีเสียงมอเตอร์ “หึ่ง หึ่ง” รบกวนการนอน พอเปลี่ยนมาใช้ X11 เสียงเงียบลงมาก ไม่มีเพื่อนบ้านมาร้องเรียนอีกเลย

แต่ก็มีอีกเคสที่น่าสนใจ ลูกค้าอยู่คอนโดที่พื้นบางมาก แม้จะใช้ REAL ที่เสียงเงียบมาก แต่ยังมีปัญหากับเพื่อนบ้านชั้นล่าง เพราะแรงสั่นสะเทือนจากการวิ่ง ไม่ใช่เสียงของลู่วิ่ง สุดท้ายต้องใช้แผ่นยางหนาพิเศษรองใต้ลู่วิ่ง และจำกัดเวลาวิ่งไม่ให้เกิน 22.00 น. ปัญหาจึงคลี่คลาย

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะมีเสียงเงียบกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปอย่างชัดเจน ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ 

  • ประการแรก มอเตอร์ AC ของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะเงียบกว่ามอเตอร์ DC ของลู่วิ่งบ้านทั่วไป มอเตอร์ AC ทำงานที่รอบต่ำกว่า แต่มีแรงบิดสูงกว่า ทำให้เสียงเบากว่า
  • ประการที่สอง โครงสร้างที่แข็งแรงกว่า ทำให้ไม่มีเสียงเกิดจากการสั่น โยก หรือเสียงน็อตขยับ เวลาใช้งานหนักๆ ลู่วิ่งราคาถูกมักจะมีเสียงดังจากจุดต่อต่างๆ แต่ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะเงียบกว่ามาก
  • ประการที่สาม คุณภาพของสายพานและระบบลูกปืนที่ดีกว่า ทำให้ไม่มีเสียงดังเวลาสายพานหมุน ไม่มีเสียง “แกร๊ก แกร๊ก” เวลาสายพานผ่านลูกปืน

แต่ที่สำคัญคือ แม้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะเงียบกว่า แต่ก็ยังไม่เงียบสนิท ยังมีเสียงจากการก้าวเท้าลงบนพื้นลู่วิ่ง ซึ่งอาจรบกวนคนในบ้านหรือเพื่อนบ้านได้ โดยเฉพาะถ้าวิ่งในเวลาดึกหรือเช้ามืด

ผมแนะนำให้ลูกค้าที่อยู่คอนโดใช้แผ่นยางหนาพิเศษรองใต้ลู่วิ่ง หนาประมาณ 10-15 มิลลิเมตร จะช่วยลดทั้งเสียงและแรงสั่นสะเทือนได้มาก ผมเคยแนะนำลูกค้าคนหนึ่งให้ใช้แผ่นยางที่ใช้ในฟิตเนสมารองใต้ X12 ช่วยได้มากทีเดียว เพื่อนบ้านชั้นล่างบอกว่าเสียงลดลงกว่า 50%

2.จะย้ายหรือพับเก็บง่ายแค่ไหน?

“พูดตรงๆ คือย้ายยากมาก เพราะหนัก 150-200 กิโลกรัม แม้จะมีล้อ แต่ก็ต้องใช้คนอย่างน้อย 3-4 คนช่วยยก ส่วนการพับเก็บ ทำได้ แต่ไม่ได้ออกแบบมาให้พับเก็บบ่อยๆ ผมแนะนำให้หาพื้นที่ถาวร จะดีกว่า”

เรื่องนี้ผมต้องตอบตรงๆ เลยว่าลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ย้ายยากมาก แม้จะมีล้อก็ตาม เพราะมันหนักมาก ประมาณ 150-200 กิโลกรัม

ผมเคยพาทีมไปติดตั้ง X12 ให้ลูกค้าที่บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ต้องใช้คนถึง 5 คนช่วยกันยกขึ้นบันได และยังเหนื่อยมาก ตอนนั้นเหงื่อแตกเลย จำได้ว่าลูกค้าถามผมว่า “ถ้าจะย้ายไปอีกห้องในอนาคต ทำยังไง?” ผมได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ต้องโทรเรียกทีมเรามาช่วยครับ ไม่แนะนำให้ทำเอง”

อีกเคสหนึ่งที่น่าสนใจ ลูกค้าซื้อ REAL ไปตั้งที่บ้าน ตอนแรกวางไว้ในห้องนอนชั้น 2 แต่พอใช้ไป 2 เดือน อยากย้ายลงมาไว้ชั้น 1 เพราะรู้สึกว่าพื้นชั้น 2 สั่นมาก เขาลองชวนเพื่อน 3 คนมาช่วยย้าย แต่ยกไม่ไหว สุดท้ายต้องจ้างคนขนของมาช่วย 6 คน ถึงย้ายลงมาได้

ส่วนเรื่องการพับเก็บ แม้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เช่น X11, X12, REAL จะมีระบบพับเก็บแบบไฮโดรลิค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพับเก็บได้ง่ายๆ เหมือนลู่วิ่งบ้านทั่วไป เพราะมันหนักมาก การพับขึ้นต้องใช้แรงพอสมควร แม้จะมีระบบไฮโดรลิคช่วยก็ตาม

ที่สำคัญ การพับเก็บบ่อยๆ อาจทำให้ระบบพับเกิดปัญหาได้เร็วขึ้น เพราะระบบพับเก็บของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ออกแบบมาให้พับเก็บเป็นครั้งคราว เช่น เมื่อต้องทำความสะอาดพื้น หรือเมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้านจำนวนมาก ไม่ได้ออกแบบมาให้พับขึ้นลงทุกวัน

ผมแนะนำลูกค้าเสมอว่า ถ้าซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ ควรหาพื้นที่ถาวรให้มัน ไม่ควรคิดว่าจะย้ายหรือพับเก็บบ่อยๆ จะดีกว่า

มีลูกค้าคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า ตอนแรกเขาตั้งใจจะพับ X11 เก็บทุกครั้งหลังใช้งาน แต่พอทำจริงได้แค่อาทิตย์เดียว ก็เลิกพับแล้ว เพราะยาก และใช้เวลานาน สุดท้ายเขาตัดสินใจจัดห้องใหม่ ให้ลู่วิ่งมีพื้นที่ถาวร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

3.สายพานใหญ่แล้ววิ่งนุ่มจริงไหม หรือแค่ภาพลวงตา?

“วิ่งนุ่มจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา มันนุ่มกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก เพราะระบบซับแรงกระแทกที่ดีกว่า กระดานรองวิ่งหนากว่า และสายพานคุณภาพสูงกว่า ผมเองเคยมีอาการปวดเข่าเวลาวิ่งบนลู่วิ่งราคาถูก แต่พอมาวิ่งบน X12 หรือ REAL อาการหายไปเลย”

นี่เป็นคำถามที่ผมชอบมาก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าลูกค้ากำลังคิดว่า “มันจะนุ่มจริงไหม หรือแค่โดนหลอกด้วยการตลาด?”

ผมขอยืนยันเลยว่า ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์วิ่งนุ่มกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมากจริงๆ ไม่ใช่แค่ภาพลวงตาหรือคำโฆษณา แต่มีเหตุผลทางเทคนิครองรับ

  • ประการแรก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มีระบบซับแรงกระแทกที่ดีกว่า อย่าง X11 มีโช๊คสปริงคู่ช่วยซับแรง ในขณะที่ลู่วิ่งบ้านราคาถูกอาจใช้แค่สปริงธรรมดาหรือยางรอง ความแตกต่างนี้รู้สึกได้ชัดเจนเมื่อวิ่งไประยะหนึ่ง
  • ประการที่สอง กระดานรองวิ่งของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์หนากว่ามาก โดยเฉพาะรุ่น X11 และ X12 ที่มีกระดานรองหนาถึง 25 มม. 2 ชั้น ซึ่งหนากว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปที่มักใช้กระดานหนาเพียง 15-18 มม. กระดานที่หนากว่าช่วยกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่า ทำให้รู้สึกนุ่มกว่า
  • ประการที่สาม สายพานของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มีคุณภาพสูงกว่า มีความหนาและความยืดหยุ่นที่ดีกว่า ช่วยเพิ่มความนุ่มในการวิ่ง และลดแรงกระแทกที่ส่งไปยังข้อเข่าและข้อเท้า

ผมมีประสบการณ์ตรงเรื่องนี้ ตอนที่ผมซ้อมวิ่ง Bangkok Marathon ปีที่แล้ว ผมใช้ลู่วิ่งราคาถูกที่บ้านเพื่อน วิ่งได้ประมาณ 10 กิโล เริ่มมีอาการปวดหัวเข่า ต้องหยุดวิ่ง พอวันต่อมาผมมาวิ่งบน X12 ที่โชว์รูม วิ่ง 15 กิโล ไม่มีอาการปวดเข่าเลย ทั้งที่ระยะทางและความเร็วเท่าเดิม

เคยมีลูกค้าอายุ 60+ ท่านหนึ่ง เขามีปัญหาข้อเข่าเสื่อม หมอแนะนำให้ออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ เขาซื้อลู่วิ่งราคาถูกไปใช้ แต่วิ่งได้ไม่นาน เข่าเริ่มปวด ต้องหยุด พอมาลองวิ่งบน REAL ที่โชว์รูมของเรา เขาวิ่งได้ 30 นาที ไม่มีอาการปวดเลย ตอนนั้นเขาถึงกับอุทานว่า “ทำไมมันต่างกันขนาดนี้?” สุดท้ายเขาตัดสินใจซื้อ REAL ไปใช้ที่บ้าน และใช้มาเกือบ 2 ปีแล้ว ยังวิ่งได้สบาย ไม่มีปัญหาเรื่องเข่า

แต่มีข้อควรระวัง ความนุ่มไม่ได้หมายความว่านุ่มเหมือนวิ่งบนฟองน้ำ ลู่วิ่งที่นุ่มเกินไปจะทำให้เสียพลังในการวิ่ง และอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บแบบอื่นได้ ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จะให้ความนุ่มที่พอดี ไม่แข็งเกินไป และไม่นุ่มเกินไป

4.ใช้รุ่นเล็กได้มั้ย หรือควรข้ามไปซื้อรุ่นใหญ่เลย?

“คำตอบคือ ‘แล้วแต่การใช้งาน’ ถ้าวิ่งไม่บ่อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใช้รุ่นเล็กอย่าง A1 หรือ A3 ก็พอ แต่ถ้าวิ่งทุกวัน วันละชั่วโมงขึ้นไป หรือมีคนใช้หลายคน ข้ามไปซื้อรุ่นใหญ่เลยจะคุ้มกว่า ผมเห็นหลายคนประหยัดตอนซื้อ แต่ต้องมาเสียเงินซ่อมทีหลัง สุดท้ายแพงกว่าซื้อรุ่นใหญ่ตั้งแต่แรก”

คำถามนี้ผมเจอบ่อยมาก แบบว่าบ่อยสุดๆ ลูกค้ามักจะถามว่า “พี่หมิง ผมซื้อรุ่นเล็กไปก่อนได้ไหม แล้วค่อยอัพเกรดทีหลัง?” ผมมักจะย้อนถามว่า “คุณวิ่งบ่อยแค่ไหน? วิ่งนานแค่ไหนต่อครั้ง? และมีคนในบ้านใช้กี่คน?”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมสังเกตเห็นรูปแบบที่ชัดเจน ลูกค้าที่วิ่งไม่บ่อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30-40 นาที ใช้รุ่นเล็กอย่าง A1 หรือ A3 ก็เพียงพอแล้ว ลู่วิ่งจะอยู่กับเขาได้ 3-5 ปีสบายๆ

แต่ลูกค้าที่วิ่งทุกวัน วันละชั่วโมงขึ้นไป หรือมีคนในบ้านใช้ร่วมกันหลายคน มักจะพบปัญหากับลู่วิ่งรุ่นเล็กภายใน 1-2 ปี ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ร้อนเกิน สายพานเริ่มสึก หรือโครงสร้างเริ่มมีเสียงดัง ต้องเสียเงินซ่อม และเสียเวลารอซ่อม

ผมเคยมีลูกค้าคู่หนึ่งที่เป็นนักวิ่งทั้งคู่ พวกเขาตัดสินใจซื้อลู่วิ่งราคา 15,000 บาท เพราะคิดว่าประหยัดกว่า แต่หลังจากใช้งานหนักวันละ 2-3 ชั่วโมง (สลับกันวิ่ง) เพียง 9 เดือน มอเตอร์ก็เริ่มมีปัญหา ต้องส่งซ่อม เสียเงินไป 5,000 บาท ใช้ต่อไปได้อีก 7 เดือน มีปัญหาเรื่องสายพานบ้าง โครงสร้างเริ่มมีเสียงดังบ้าง ต้องซ่อมอีก พอรวมค่าซ่อมไปเกือบ 10,000 บาท รวมกับค่าลู่วิ่ง 15,000 บาท ก็เกือบ 25,000 บาทแล้ว ซึ่งใกล้เคียงกับราคาของ A5

สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจขายลู่วิ่งเครื่องเก่าทิ้งไปในราคาแค่ 3,000 บาท แล้วมาซื้อ X11 ในราคา 59,900 บาท ตอนนี้ใช้มา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไร “น่าจะซื้อรุ่นใหญ่ตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงินซ่อม เสียเวลา และเสียอารมณ์” นี่คือคำพูดของพวกเขา

แต่ก็มีอีกเคสที่น่าสนใจ คุณแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งต้องการลู่วิ่งเพื่อออกกำลังกายหลังคลอด เธอไม่แน่ใจว่าจะวิ่งบ่อยแค่ไหน ผมแนะนำให้เธอซื้อ A3 ในราคา 14,900 บาท แทนที่จะซื้อรุ่นใหญ่ เพราะการใช้งานของเธอไม่หนัก ตอนนี้เธอใช้มา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไร เธอวิ่งสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ซึ่งพอดีกับการใช้งานของ A3

สรุปคือ ถ้าคุณวิ่งไม่บ่อย ไม่หนัก ใช้รุ่นเล็กก็พอ แต่ถ้าคุณวิ่งทุกวัน วิ่งนาน หรือมีคนใช้หลายคน ควรข้ามไปซื้อรุ่นใหญ่เลย จะคุ้มกว่าในระยะยาว

5.ถ้าเน้นวิ่งระยะไกล (10-20 กม./วัน) ควรเลือกแบบไหน?

“ถ้าวิ่งระยะไกล 10-20 กม./วัน ผมแนะนำ X11 หรือ X12 เลย เพราะมีพื้นที่วิ่งกว้าง ระบบซับแรงดีเยี่ยม และมอเตอร์แรงพอให้ทำงานต่อเนื่องนานๆ ไม่ร้อนเกิน ถ้างบจำกัด A5 ก็พอไหว แต่อาจทำงานหนักไปหน่อย อายุการใช้งานอาจสั้นกว่า”

นี่เป็นคำถามที่ผมชอบมาก เพราะมันแสดงว่าคนถามเป็นนักวิ่งจริงๆ การวิ่งระยะไกล 10-20 กิโลเมตรต่อวัน ต้องใช้ลู่วิ่งที่ทนทานมาก

ผมเองก็เป็นนักวิ่งระยะไกล เคยวิ่ง Amazing Thailand Marathon, Laguna Phuket Marathon และอื่นๆ อีกมากมาย ผมรู้ดีว่าการวิ่งระยะไกลบนลู่วิ่งต้องการอะไรบ้าง

สำหรับนักวิ่งระยะไกล ผมแนะนำ X11 หรือ X12 อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการวิ่งนานๆ ดังนี้ 

  • พื้นที่วิ่งกว้าง – X11 มีพื้นที่วิ่งกว้างถึง 155 x 59 ซม. X12 มีพื้นที่วิ่ง 155 x 55 ซม. ซึ่งกว้างมาก เมื่อวิ่งนานๆ เราอาจเริ่มเสียสมาธิ ก้าวเท้าอาจไม่ตรงเป๊ะทุกก้าว พื้นที่วิ่งกว้างจะช่วยป้องกันการพลาดตกลู่วิ่ง ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บได้
  • ระบบซับแรงกระแทกคุณภาพสูง – การวิ่งระยะไกลต้องการระบบซับแรงกระแทกที่ดีมาก เพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้า X11 และ X12 มีกระดานรองหนา 25 มม. 2 ชั้น และมีโช๊คสปริงคู่ช่วยซับแรง ทำให้วิ่งนุ่ม แม้จะวิ่งนานเป็นชั่วโมง
  • มอเตอร์ที่ทนทาน – การวิ่งระยะไกลทำให้มอเตอร์ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ลู่วิ่งบ้านทั่วไปมักจะร้อนเกินเมื่อทำงานนานๆ

ซื้อได้ แต่ต้องเข้าใจ “จุดแข็ง จุดอ่อน” ก่อน

“ซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มาใช้ที่บ้านได้แน่นอน แต่คุณต้องยอมรับว่ามันคือการตัดสินใจที่ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง คุณจะได้ลู่วิ่งที่ทนทานราวกับหิน วิ่งนุ่มราวกับเมฆ แต่ต้องยอมเสียพื้นที่บ้านไปก้อนใหญ่ ยอมเสียเงินก้อนโต และยอมรับว่าถ้าซื้อผิดรุ่น อาจเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า”

ตลอด 10 ปีที่ขายลู่วิ่ง ผมเห็นทั้งคนที่ซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์แล้วมีความสุขมาก และคนที่ซื้อแล้วเสียดายเงิน เสียดายพื้นที่ เพราะอะไร? เพราะพวกเขาไม่เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของมันอย่างถ่องแท้

ผมยังจำได้ว่ามีลูกค้าคู่หนึ่ง สามีเป็นหมอ ภรรยาเป็นพยาบาล พวกเขาซื้อ X12 ไปด้วยความตื่นเต้น วางแผนว่าจะวิ่งทุกวัน วันละอย่างน้อยชั่วโมง พอใช้ไปได้ 2 เดือน กลับมาบอกผมว่า “พี่หมิง เราผิดคิดไปเยอะเลย ที่จริงเราไม่มีเวลาวิ่งขนาดนั้นเลย สัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็ยากแล้ว” ลู่วิ่งเลยกลายเป็นราวตากผ้าราคาแพง

แต่ก็มีอีกกรณีหนึ่ง คุณลุงคนหนึ่งอายุ 65 ปี เป็นนักวิ่งตัวยง ซื้อ REAL ไปใช้ที่บ้าน เขาวิ่งทุกวัน วันละชั่วโมง เพราะกลัวฝนตก กลัวอากาศเป็นพิษ วันนี้เขาใช้มา 3 ปีแล้ว บอกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต “ผมแข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้น ไม่ต้องกลัวฝนตก ไม่ต้องกลัวอากาศเป็นพิษ”

จุดแข็งของลู่วิ่งเชิงพาณิชย์นั้นชัดเจน มันแข็งแรงทนทานมาก ใช้งานได้นานหลายปี แม้จะใช้งานหนักก็ไม่มีปัญหา วิ่งนุ่ม ลดแรงกระแทก ลดการบาดเจ็บ และให้ประสบการณ์การวิ่งที่ดีกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก

แต่จุดอ่อนก็มีเช่นกัน มันใหญ่มาก หนักมาก ย้ายยาก ต้องการพื้นที่มาก และที่สำคัญคือราคาสูง การตัดสินใจซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์จึงต้องคิดให้รอบคอบ

ผมมีเทคนิคง่ายๆ ในการตัดสินใจว่าควรซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์หรือไม่ ให้ถามตัวเองว่า “เราจะใช้ลู่วิ่งบ่อยแค่ไหน? และเราจะใช้นานแค่ไหนต่อครั้ง?” ถ้าคำตอบคือวิ่งอย่างน้อย 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคำตอบคือวิ่งสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ลู่วิ่งบ้านธรรมดาอาจเพียงพอแล้ว

เรื่องพื้นที่ก็สำคัญ ถ้าบ้านคุณมีพื้นที่จำกัด ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เพราะมันใหญ่มาก และย้ายยาก ควรเลือกรุ่นที่เล็กลงมาหน่อย เช่น A5 หรือ X20 ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงรุ่นเชิงพาณิชย์ แต่ขนาดเล็กกว่า

โดยส่วนตัว ผมคิดว่าลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับนักวิ่งจริงจัง ครอบครัวที่รักการวิ่ง หรือคนที่ต้องการลู่วิ่งที่ใช้งานได้นานหลายปี โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพ แต่สำหรับคนทั่วไปที่วิ่งไม่บ่อย ลู่วิ่งบ้านธรรมดาอาจเพียงพอแล้ว

ใช้จริงยังไงให้คุ้มค่าแบบมือโปร

“การใช้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ให้คุ้มค่า ต้องใช้ให้บ่อย ใช้ให้หลากหลาย และดูแลให้ดี ผมแนะนำให้วิ่งอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ใช้โปรแกรมที่หลากหลาย ทั้งวิ่งเร็ว วิ่งช้า เพิ่มความชัน ลองวิ่งแบบ interval และอย่าลืมดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ”

ผมมีลูกค้าหลายคนที่ซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ไปแล้วไม่รู้จะใช้ยังไงให้คุ้มค่า วิ่งซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน เบื่อเร็ว และสุดท้ายก็เลิกใช้ นี่คือสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใคร

จากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะนักวิ่งและคนขายลู่วิ่ง ผมมีเคล็ดลับในการใช้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ให้คุ้มค่าดังนี้ 

1.วิ่งให้บ่อย – อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้าซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มาแล้ววิ่งแค่สัปดาห์ละครั้ง ถือว่าไม่คุ้มค่าเลย เพราะมันแพงกว่าลู่วิ่งบ้านธรรมดา 2-3 เท่า

2.ใช้โปรแกรมที่หลากหลาย – ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักมีโปรแกรมอัตโนมัติหลากหลาย ลองใช้ให้ครบ ทั้งวิ่งเร็ว วิ่งช้า เพิ่มความชัน ลองวิ่งแบบ interval เพื่อเพิ่มความท้าทายและความสนุก

3.ใช้ฟีเจอร์เชื่อมต่อ – ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักมีระบบเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Zwift, FITIME ลองใช้ให้เกิดประโยชน์ จะช่วยเพิ่มความสนุกและความท้าทาย

4.ชักชวนคนในบ้านมาใช้ – ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ออกแบบมาให้คนใช้หลายคน ลองชักชวนคนในบ้านมาใช้ด้วย จะทำให้คุ้มค่ามากขึ้น

5.ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ – ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์แม้จะทนทาน แต่ก็ต้องการการดูแลรักษาเช่นกัน ต้องหยอดน้ำมันสายพานตามกำหนด ต้องทำความสะอาดสม่ำเสมอ และต้องตรวจสอบความตึงของสายพานเป็นระยะ

เคล็ดลับในการดูแลรักษาลู่วิ่งเชิงพาณิชย์คือ หยอดน้ำมันสายพานทุก 2-3 เดือน แม้บางรุ่นจะมีระบบแทงค์เติมน้ำมันอัตโนมัติ แต่ก็ยังต้องเติมน้ำมันเข้าไปในแทงค์เมื่อถึงเวลา และต้องทำความสะอาดฝุ่นใต้สายพานทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการสึกหรอก่อนเวลาอันควร

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งใช้ X12 มานานกว่า 4 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาบอกว่าเคล็ดลับคือการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ “ผมหยอดน้ำมันทุก 2 เดือน ทำความสะอาดทุก 6 เดือน และเช็คความตึงสายพานปีละครั้ง” นี่คือเคล็ดลับในการยืดอายุการใช้งานของลู่วิ่ง

 

โค้ชหมิงแนะนำ – ถ้าเป็นคุณ จะเลือกตัวไหน?

“ถ้าผมเองหรือ? ในฐานะนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งทุกวัน ผมเลือก X12 โดยไม่ลังเล เพราะผมต้องการความทนทานสูงสุด พื้นที่วิ่งกว้าง และระบบซับแรงที่ดี แต่ถ้าผมเป็นคนทั่วไปที่วิ่งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ผมจะเลือก A5 เพราะราคาไม่แพง แต่คุณภาพดีพอ”

นี่คือคำถามที่ลูกค้าถามผมบ่อยมาก “พี่หมิง ถ้าพี่เป็นผม พี่จะเลือกตัวไหน?” ผมมักจะย้อนถามเขาเสมอว่า “คุณวิ่งบ่อยแค่ไหน? วิ่งนานแค่ไหนต่อครั้ง? และมีคนในบ้านใช้กี่คน?” แล้วจึงให้คำแนะนำตามความเหมาะสม

แต่ถ้าถามผมเองว่าผมจะเลือกตัวไหน คำตอบคือแล้วแต่สถานการณ์ ดังนี้ 

ถ้าผมเป็นนักวิ่งที่ซ้อมทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัววิ่งมาราธอน

ผมจะเลือก X12 โดยไม่ลังเล เพราะมันมีคุณสมบัติที่ผมต้องการทั้งหมด ทั้งความทนทานสูงมาก พื้นที่วิ่งกว้าง ระบบซับแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม ระบบความชันที่ปรับได้สูง และหน้าจอขนาดใหญ่ที่แสดงข้อมูลครบถ้วน

แต่ถ้าผมเป็นคนทั่วไปที่วิ่งสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโม

ผมจะเลือก A5 เพราะราคาไม่แพงมาก แต่คุณภาพดีพอ มีพื้นที่วิ่งกว้างพอใช้ และมอเตอร์แรงพอ

  • ถ้าผมอยู่คอนโดและมีพื้นที่จำกัด แต่ยังอยากได้ลู่วิ่งคุณภาพดี ผมจะเลือก A5 เช่นกัน เพราะมันมีขนาดเล็กกว่ารุ่นเชิงพาณิชย์ น้ำหนักเบากว่า ทำให้ติดตั้งและเคลื่อนย้ายง่ายกว่า
  • ถ้าผมมีครอบครัวใหญ่ มีคนใช้ลู่วิ่งหลายคน ผมจะเลือก X11 เพราะมันมีพื้นที่วิ่งกว้างพิเศษ 155 x 59 ซม. รับน้ำหนักได้ถึง 200 กิโล โครงสร้างแข็งแรงมาก และราคาไม่แพงเท่า X12
  • ถ้าผมงบจำกัดไม่เกิน 40,000 บาท แต่อยากได้ลู่วิ่งคุณภาพดี ผมจะเลือก X20 เพราะมันใช้มอเตอร์ AC ซึ่งทนทานกว่ามอเตอร์ DC ของลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก มีพื้นที่วิ่งกว้าง 53 x 151 ซม. และราคาเพียง 39,990 บาท

เรื่องสำคัญที่ผมมักเตือนลูกค้าเสมอคือ อย่าซื้อลู่วิ่งเพราะความพอใจในขณะนั้น แต่ให้ซื้อตามความต้องการที่แท้จริง ผมเคยเห็นหลายคนอยากวิ่งมาราธอน เลยซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ราคาแพง แต่พอวิ่งไปสักพัก พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบวิ่งขนาดนั้น สุดท้ายลู่วิ่งก็กลายเป็นราวตากผ้าราคาแพง

ผมแนะนำให้ลองวิ่งไปสักพักก่อน อาจจะวิ่งที่สวนสาธารณะ หรือสมัครสมาชิกฟิตเนสระยะสั้นๆ เพื่อดูว่าเราจะวิ่งบ่อยแค่ไหน วิ่งนานแค่ไหนต่อครั้ง แล้วจึงค่อยตัดสินใจซื้อลู่วิ่งที่เหมาะกับเรา

สุดท้ายนี้ ผมขอย้ำว่า ลู่วิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่ลู่วิ่งที่แพงที่สุด แต่คือลู่วิ่งที่เหมาะกับเราที่สุด ถ้าคุณวิ่งไม่บ่อย ซื้อลู่วิ่งราคาหมื่นต้นๆ ไปก็พอ แต่ถ้าคุณวิ่งทุกวัน การลงทุนในลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อาจเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าในระยะยาว

 

FAQ 10 ข้อ เรื่องลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้าน

1. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์กับลู่วิ่งบ้านทั่วไป ต่างกันยังไง?

ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ออกแบบมาให้ทนทานกว่ามาก รองรับการใช้งานหนักวันละ 10-12 ชั่วโมง มีโครงสร้างหนากว่า ใช้มอเตอร์ AC แทน DC มีพื้นที่วิ่งกว้างกว่า และระบบซับแรงที่ดีกว่ามาก ส่วนลู่วิ่งบ้านออกแบบมาให้ใช้งานเบากว่า วันละ 1-2 ชั่วโมง โครงสร้างบางกว่า พื้นที่วิ่งแคบกว่า แต่ราคาถูกกว่า 2-3 เท่า

2. ถ้าซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มาใช้ที่บ้าน ต้องใช้บ่อยแค่ไหนถึงจะคุ้มค่า?

ควรใช้อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป ถึงจะคุ้มค่ากับราคาที่แพงกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป 2-3 เท่า ถ้าใช้แค่สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ลู่วิ่งบ้านธรรมดาอาจคุ้มค่ากว่า

3. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ใช้ไฟเยอะกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปไหม?

ใช้ไฟเยอะกว่าแน่นอน เพราะมอเตอร์ใหญ่กว่า แต่ไม่ได้เยอะจนน่ากลัว โดยเฉลี่ยลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ใช้ไฟประมาณ 1.5-2 เท่าของลู่วิ่งบ้านทั่วไป เช่น ถ้าลู่วิ่งบ้านทั่วไปใช้ไฟ 1 หน่วยต่อชั่วโมง ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์อาจใช้ 1.5-2 หน่วยต่อชั่วโมง

4. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เสียงดังไหม? ถ้าอยู่คอนโดจะมีปัญหากับเพื่อนบ้านไหม?

เสียงเงียบกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้มอเตอร์ AC แต่ยังมีเสียงจากการก้าวเท้าลงบนพื้นลู่วิ่ง ถ้าอยู่คอนโดที่พื้นบาง อาจมีปัญหากับเพื่อนบ้านชั้นล่างได้ ไม่ใช่เพราะเสียง แต่เป็นแรงสั่นสะเทือนมากกว่า แนะนำให้ใช้แผ่นยางหนาพิเศษรองใต้ลู่วิ่ง และจำกัดเวลาวิ่งไม่ให้ดึกเกินไป

5. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์พับเก็บได้เหมือนลู่วิ่งบ้านทั่วไปไหม?

บางรุ่นพับเก็บได้ เช่น X11, X12, REAL แต่ไม่ได้พับง่ายเหมือนลู่วิ่งบ้านทั่วไป เพราะหนักมาก และไม่ได้ออกแบบมาให้พับเก็บบ่อยๆ แนะนำให้หาพื้นที่ถาวรให้มันจะดีกว่า

6. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ดูแลรักษายากไหม? ต้องทำอะไรบ้าง?

ไม่ยากเกินไป แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ต้องหยอดน้ำมันสายพานทุก 2-3 เดือน ต้องทำความสะอาดฝุ่นใต้สายพานทุก 6 เดือน และต้องตรวจสอบความตึงของสายพานปีละครั้ง รุ่น X11 และ X12 มีระบบแทงค์เติมน้ำมันอัตโนมัติ ช่วยให้ดูแลง่ายขึ้น แต่ก็ยังต้องเติมน้ำมันเข้าไปในแทงค์เมื่อถึงเวลา

7. ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์วิ่งนุ่มจริงไหม? ช่วยลดอาการปวดเข่าได้ไหม?

วิ่งนุ่มกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไปมาก ไม่ใช่แค่ภาพลวงตาหรือคำโฆษณา แต่มีเหตุผลทางเทคนิครองรับ ทั้งระบบซับแรงกระแทกที่ดีกว่า กระดานรองวิ่งหนากว่า และสายพานคุณภาพสูงกว่า ช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้าได้มาก ผมมีลูกค้าหลายคนที่มีปัญหาข้อเข่า แต่สามารถวิ่งบนลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ได้โดยไม่มีอาการปวด

8. จะรู้ได้ยังไงว่าได้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ของแท้? ไม่ใช่แค่ลู่วิ่งธรรมดาที่ติดป้าย Commercial?

ดูที่มอเตอร์เป็นอันดับแรก ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ของแท้ต้องใช้มอเตอร์ AC ไม่ใช่ DC ดูที่ความหนาของโครงสร้าง ต้องหนาอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร ดูที่น้ำหนักของเครื่อง ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักหนัก 150-200 กิโลกรัม ดูที่พื้นที่วิ่ง ต้องกว้างอย่างน้อย 50 x 140 ซม. และดูที่ระบบซับแรงกระแทก ต้องมีระบบที่ซับซ้อนกว่าแค่สปริงธรรมดา

9. ถ้าซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ไปแล้ว มีปัญหา ซ่อมยากไหม? หาอะไหล่ยากไหม?

หาอะไหล่ไม่ยาก เพราะลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานที่หาซื้อได้ทั่วไป แต่การซ่อมอาจยากกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป เพราะโครงสร้างซับซ้อนกว่า และชิ้นส่วนหนักกว่า อาจต้องใช้ช่างที่ชำนาญพิเศษ แต่ส่วนใหญ่ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์มักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะออกแบบมาให้ทนทานอยู่แล้ว

10. ถ้าบ้านมีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ปลอดภัยไหม?

ต้องระวังมากกว่าลู่วิ่งบ้านทั่วไป เพราะมอเตอร์แรงกว่า อาจเป็นอันตรายกับเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงได้ ควรติดตั้งในห้องที่ล็อคได้ หรือใช้ที่กั้นรอบลู่วิ่ง และเมื่อไม่ใช้งานให้ถอดกุญแจนิรภัย (Safety Key) ออกทุกครั้ง ไม่ควรปล่อยให้เด็กหรือสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ลู่วิ่งโดยไม่มีคนดูแล

สรุป  มีลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้าน – เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

การใช้ลู่วิ่งเชิงพาณิชย์ในบ้านทำได้แน่นอน แต่ต้องเข้าใจว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคนที่วิ่งจริงจัง วิ่งบ่อย หรือมีคนใช้หลายคน มันจะอยู่กับคุณไปอีกนาน ทำให้วิ่งได้สบายกว่า ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ และในระยะยาวอาจคุ้มค่ากว่าการซื้อลู่วิ่งบ้านธรรมดาที่อาจต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ปี

แต่ถ้าคุณวิ่งไม่บ่อย หรือมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ลู่วิ่งบ้านธรรมดาอาจเพียงพอแล้ว หรืออาจเลือก A5 ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงรุ่นเชิงพาณิชย์ แต่ขนาดเล็กกว่าและราคาถูกกว่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นไหน สิ่งสำคัญคือต้องใช้มันให้คุ้มค่า ใช้ให้บ่อย ใช้ให้หลากหลาย และดูแลให้ดี ลู่วิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่ลู่วิ่งที่แพงที่สุด แต่คือลู่วิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด

ในฐานะนักวิ่งและคนขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมได้เห็นทั้งคนที่ซื้อลู่วิ่งเชิงพาณิชย์แล้วมีความสุขมาก และคนที่ซื้อแล้วเสียดายเงิน ความแตกต่างอยู่ที่การเลือกให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ว่าลู่วิ่งเชิงพาณิชย์เหมาะกับคุณหรือไม่

และถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ลองแวะมาที่ Runathome.co ผมยินดีให้คำแนะนำเป็นการส่วนตัว เพื่อช่วยให้คุณเลือกลู่วิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด