กินคาร์โบไฮเดรตแล้วอ้วนจริงหรอ?

คำถามยอดฮิตที่เรามักได้ยินบ่อยๆ เวลาพูดถึงเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ก็คือการกินคาร์โบไฮเดรตทำให้อ้วนจริงหรือไม่? วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจนี้กัน พร้อมทั้งทำความเข้าใจเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรตอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Table of Contents

ความสำคัญของการบริโภคคาร์โบไฮเดรต

จากการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2566) พบว่าคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เป็นแหล่งพลังงานหลักที่สมองและระบบประสาทต้องการ การหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตโดยสิ้นเชิงจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

ประเภทของคาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์

สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตทุกชนิดที่จะส่งผลเสียต่อน้ำหนักตัว การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) แสดงให้เห็นว่า การเลือกกินคาร์โบไฮเดรตให้เหมาะสมต่างหากที่สำคัญ

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นประเภทที่ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยนานกว่า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นทันที อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ตัวอย่างคาร์โบไฮเดรตที่ควรเลือก

อาหารที่มีแป้งที่ดีต่อสุขภาพ ได้แก่ ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี และผักใบเขียว ตามคำแนะนำของสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2566) การกินอาหารเหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและได้ใยอาหารที่เป็นประโยชน์

 

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคาร์โบไฮเดรต

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการคิดว่า “กินแป้งเยอะ ผลเสีย” จะเกิดขึ้นเสมอ แต่ความจริงแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ชนิดและช่วงเวลาในการกินคาร์บด้วย

 

ดัชนีน้ำตาล (GI) กับการเลือกคาร์โบไฮเดรต

ดัชนีน้ำตาลเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่จะช่วยให้เราเลือกกินคาร์โบไฮเดรตได้อย่างฉลาด ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2567) ระบุว่า อาหารที่มีค่า GI ต่ำจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า เพราะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

อาหาร GI ต่ำที่ควรเลือก

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีค่า GI ต่ำ เช่น ถั่วต่างๆ ข้าวกล้อง และธัญพืชไม่ขัดสี จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและควบคุมน้ำหนักได้ดี การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปจากอาหาร GI สูงต่างหากที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่าย

การคำนวณปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อวัน

ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 45-65% ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรี่ต่อวัน ควรกินคาร์บประมาณ 225-325 กรัมต่อวัน

การคำนวณแคลอรี่จากคาร์โบไฮเดรต

ตามหลักโภชนาการของกรมอนามัย (2567) คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 แคลอรี่ การคำนวณง่ายๆ คือ นำปริมาณคาร์บที่กินคูณด้วย 4 จะได้ปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น ข้าว 1 ทัพพีมีคาร์โบไฮเดรต 18 กรัม จะให้พลังงาน 72 แคลอรี่

การคำนวณคาร์บอย่างง่าย

“ใช้กำมือของคุณเป็นตัววัด: คาร์โบไฮเดรต 1 กำมือ = ประมาณ 15 กรัม = 60 แคลอรี่”

ตารางปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารทั่วไป

  • ข้าวขาว 1 ทัพพี (18 กรัม) = 72 แคลอรี่
  • ขนมปังโฮลเวท 1 แผ่น (15 กรัม) = 60 แคลอรี่
  • บะหมี่ 1 ก้อน (50 กรัม) = 200 แคลอรี่
  • มันเทศ 1 หัวกลาง (30 กรัม) = 120 แคลอรี่
  • กล้วยหอม 1 ผล (23 กรัม) = 92 แคลอรี่

 

คาร์โบไฮเดรตที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารแปรรูป ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เป็นอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะนอกจากจะทำให้น้ำหนักเพิ่มง่ายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2566) พบว่าการบริโภคอาหารเหล่านี้มากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและโรคอ้วน

 

วิธีการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต

การควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ได้หมายถึงการงดแป้งทั้งหมด แต่เป็นการเลือกกินอย่างชาญฉลาด ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย (2567) การจัดสัดส่วนอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1.วันที่คาร์บต่ำ

การจัดวันกินคาร์บต่ำสลับกับวันปกติ เป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ในวันที่กินคาร์โบไฮเดรตต่ำ ควรเน้นโปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพแทน

2.ใช้จานแบ่งสัดส่วน

วิธีง่ายๆ ในการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตคือการใช้จานแบ่งสัดส่วน โดย สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2566) แนะนำให้แบ่งจานออกเป็น 4 ส่วน ผัก 2 ส่วน โปรตีน 1 ส่วน และคาร์โบไฮเดรต 1 ส่วน

3.เวลาที่เหมาะสมในการกินคาร์โบไฮเดรต

การศึกษาจากคณะเวชศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) แนะนำว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกินคาร์บคือ:

ช่วงเวลากินคาร์บที่เหมาะสม

  • มื้อเช้า: เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน 40-50% ของมื้อ
  • ก่อนออกกำลังกาย 2-3 ชั่วโมง: คาร์บปานกลาง
  • หลังออกกำลังกาย 30 นาที: คาร์บเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • มื้อเย็น: คาร์บน้อยลง เน้นโปรตีนและผัก

 

การควบคุมปริมาณโปรตีนและไขมัน

การกินคาร์โบไฮเดรตให้พอดีต้องสมดุลกับสารอาหารอื่นๆ ด้วย ตามหลักโภชนาการของกระทรวงสาธารณสุข (2567) แนะนำให้บริโภคโปรตีน 10-35% และไขมัน 20-35% ของพลังงานทั้งหมดต่อวัน การสร้างสมดุลระหว่างสารอาหารทั้งสามชนิดนี้จะช่วยให้ “กินยังไงไม่ให้อ้วน” เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก

 

การออกกำลังกายควบคู่กับการบริโภคคาร์โบไฮเดรต

กินคาร์โบไฮเดรตอย่างเดียวไม่พอ การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการวิจัยของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) พบว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญคาร์บและไขมัน

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐานของร่างกาย ทำให้การกินคาร์บไม่ส่งผลต่อน้ำหนักมากนัก

ชนิดของการออกกำลังกายที่เหมาะสม

สมาคมเวชศาสตร์การกีฬาแห่งประเทศไทย (2566) แนะนำให้ผสมผสานการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและการเล่นเวทเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันได้ดีที่สุด โดยควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

 

เคล็ดลับสำหรับการบริโภคคาร์โบไฮเดรตอย่างมีสติ

การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปไม่ใช่ปัญหา หากรู้จักเลือกและควบคุมปริมาณ สิ่งสำคัญคือการมีสติในการกิน และเข้าใจว่าร่างกายต้องการสารอาหารชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสม

การวางแผนมื้ออาหาร

การวางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าช่วยให้เราควบคุมการกินคาร์โบไฮเดรตได้ดีขึ้น ตามคำแนะนำของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2567) การจัดมื้ออาหารควรคำนึงถึงสัดส่วนของสารอาหาร โดยเฉพาะคาร์บ โปรตีน และไขมัน ให้เหมาะสม

การอ่านฉลากโภชนาการ

การอ่านฉลากโภชนาการเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เลือกอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้อย่างฉลาด โดยควรสังเกตปริมาณแป้ง น้ำตาล และใยอาหารในผลิตภัณฑ์

 

Low carb ทานอย่างไรไม่ให้อ้วน

การกินแบบ low carb ไม่ได้หมายถึงการงดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด การศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2566) แนะนำให้เลือกกินคาร์บคุณภาพดี เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ ร่วมกับการเพิ่มสัดส่วนโปรตีนคุณภาพดี

 

5 อาหารคาร์บโบไฮเดรตสูงเหมาะกับคนลดน้ำหนัก

แม้จะเป็นอาหารที่มีแป้งสูง แต่อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตต่อไปนี้เหมาะสำหรับคนลดน้ำหนัก เพราะมีใยอาหารสูง ดัชนีน้ำตาลต่ำ และย่อยช้า ตามการรับรองของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล (2567)

  1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องอุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามินบี และแร่ธาตุ การกินคาร์บจากข้าวกล้องจะช่วยให้อิ่มนานกว่าข้าวขาว เพราะใช้เวลาย่อยนานกว่า ปริมาณที่แนะนำคือ 1/2-1 ถ้วยต่อมื้อ
  2. มันเทศ มันเทศมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่ามันฝรั่ง อุดมด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี การกินคาร์โบไฮเดรตจากมันเทศจะให้ความหวานธรรมชาติ ช่วยลดความอยากของหวาน แนะนำให้กินครั้งละ 1 หัวขนาดกลาง
  3. ควินัว ควินัวเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโปรตีนครบถ้วน มีใยอาหารสูง และให้พลังงานต่ำ การศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) พบว่าช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี แนะนำให้รับประทาน 1/2 ถ้วยต่อมื้อ
  4. เม็ดบัควีต เม็ดบัควีตมีใยอาหารสูงมาก ช่วยดูดซับไขมันและควบคุมน้ำตาลในเลือด การกินคาร์บจากเม็ดบัควีตช่วยให้อิ่มนานและเผาผลาญดี แนะนำปริมาณ 1/3 ถ้วยต่อมื้อ
  5. ถั่วต่างๆ (เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว) ถั่วมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูง ใยอาหารมาก ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี ตามคำแนะนำของสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2567) การกินคาร์บจากถั่วช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อและควบคุมน้ำหนักได้ดี ปริมาณที่แนะนำคือ 1/2-1 ถ้วยต่อมื้อ

อาหารเหล่านี้แม้จะมีคาร์บสูง แต่เมื่อกินในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ “กินยังไงไม่ให้อ้วน” เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก เพราะให้พลังงานคงที่ อิ่มนาน และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

 

สรุป

การกินคาร์โบไฮเดรตไม่ได้ทำให้อ้วนเสมอไป ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การเลือกชนิด ปริมาณ และช่วงเวลาในการกินที่เหมาะสม การรู้จักสร้างสมดุลระหว่างสารอาหารต่างๆ ทั้งคาร์บ โปรตีน และไขมัน ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราสามารถกินยังไงไม่ให้อ้วน และมีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1.จำเป็นต้องงดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดเพื่อลดน้ำหนักไหม?

 ไม่จำเป็นครับ ตามการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนาการ (2567) การงดคาร์บทั้งหมดอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย สมาธิไม่ดี และเผาผลาญช้าลง ควรกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสมและเลือกชนิดที่ดีแทน

2.ควรกินคาร์บก่อนหรือหลังออกกำลังกาย?

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล (2567) แนะนำให้กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน 2-3 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย และทานคาร์บที่ย่อยง่ายภายใน 30 นาทีหลังออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

3.คาร์โบไฮเดรตมีผลต่อการนอนหลับอย่างไร?

จากการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2567) พบว่าการกินคาร์บมื้อเย็นในปริมาณพอเหมาะช่วยกระตุ้นการผลิตเซโรโทนิน ทำให้นอนหลับง่ายขึ้น แต่ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปก่อนนอน

4.ทำไมบางคนกินคาร์บเยอะแต่ไม่อ้วน?

การศึกษาด้านเมตาบอลิซึมของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (2566) อธิบายว่าเป็นเพราะความแตกต่างของอัตราการเผาผลาญ พันธุกรรม และระดับกิจกรรมทางกาย คนที่มีมวลกล้ามเนื้อมากและออกกำลังกายสม่ำเสมอจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ดีกว่า

5.ควรกินคาร์บมื้อไหนมากที่สุด?

ตามคำแนะนำของสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย (2567) มื้อเช้าเป็นมื้อที่เหมาะสมที่สุดในการกินคาร์โบไฮเดรตปริมาณมาก เพราะร่างกายจะมีเวลาเผาผลาญตลอดทั้งวัน

6.คาร์โบไฮเดรตมีผลต่อฮอร์โมนอย่างไร?

การวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ (2567) พบว่าการกินคาร์บมีผลต่อการหลั่งอินซูลิน เซโรโทนิน และคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลต่อความหิว อารมณ์ และการเก็บสะสมไขมัน

7.ผู้ป่วยเบาหวานควรกินคาร์โบไฮเดรตอย่างไร?

ตามแนวทางของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (2567) แนะนำให้เลือกกินคาร์บที่มีค่า GI ต่ำ กระจายมื้ออาหารให้สม่ำเสมอ และควบคุมปริมาณโดยรวมไม่เกิน 45-60% ของพลังงานทั้งหมด

8.การกินแป้งเยอะ ผลเสียมีอะไรบ้าง?

จากข้อมูลของกรมอนามัย (2567) การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน น้ำหนักเพิ่ม และระบบเผาผลาญผิดปกติ

9.อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแบบไหนที่เหมาะกับการลดน้ำหนัก?

สถาบันวิจัยโภชนาการ (2567) แนะนำให้เลือกคาร์บที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว และผักใบเขียว เพราะช่วยให้อิ่มนานและควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี

10.ถ้าออกกำลังกายหนัก ควรกินคาร์บอย่างไร?

ตามคำแนะนำของสมาคมเวชศาสตร์การกีฬา (2567) ผู้ที่ออกกำลังกายหนักควรได้รับคาร์โบไฮเดรต 5-7 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยเน้นคาร์บเชิงซ้อนเป็นหลักและเพิ่มโปรตีนให้เพียงพอ