การออกกำลังกายด้วยการวิ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะการวิ่งจ๊อกกิ้งที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นการวิ่งที่ไม่หนักจนเกินไป วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการวิ่งประเภทนี้ให้ลึกซึ้งกันครับ
วิ่งจ๊อกกิ้ง(Jogging) คืออะไร ทำไมถึงเหมาะกับผู้เริ่มต้น
Jogging หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อวิ่งเหยาะๆ เป็นการวิ่งที่ใช้ความเร็วปานกลาง โดยเฉลี่ยประมาณ 4-6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า เป็นความเร็วที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะผู้วิ่งยังสามารถพูดคุยได้โดยไม่เหนื่อยจนเกินไป
ความแตกต่างระหว่างวิ่งจ๊อกกิ้งและวิ่งเร็ว
การวิ่งจ๊อกกิ้งแตกต่างจากการวิ่งเร็วอย่างชัดเจน ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา การวิ่งเหยาะๆจะใช้พลังงานประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ในขณะที่การวิ่งเร็วใช้พลังงานถึง 70-85% นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการจ๊อกกิ้งจึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและคนที่ต้องการออกกำลังกายแบบไม่หักโหม
TIP: ลองสังเกตว่าถ้าคุณยังพูดคุยได้ขณะวิ่ง แสดงว่าความเร็วกำลังเหมาะสม แต่ถ้าเหนื่อยจนพูดไม่ออก แนะนำให้ลดความเร็วลง
ประโยชน์ของการวิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ
การวิ่งช่วยอะไรบ้าง?
ผลการวิจัยพบว่า การวิ่งจ๊อกกิ้งอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน และควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ที่สำคัญคือช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับดีขึ้น
การเผาผลาญแคลอรี่จากการวิ่งเหยาะๆ 30 นาที กี่แคล?
การวิ่งเหยาะๆ 30 นาทีสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างน่าประหลาดใจ จากการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาพบว่า สามารถเผาผลาญได้ 200-300 กิโลแคลอรี่ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและความเร็วในการวิ่ง มาดูตารางเปรียบเทียบกันครับ
น้ำหนักตัว (กก.) | แคลอรี่ที่เผาผลาญใน 30 นาที | แคลอรี่ต่อชั่วโมง |
50-60 | 200-240 | 400-480 |
61-70 | 240-280 | 480-560 |
71-80 | 280-320 | 560-640 |
81-90 | 320-360 | 640-720 |
TIP: ถ้าอยากเผาผลาญแคลอรี่ให้ได้มากขึ้น ลองเพิ่มความเร็วในช่วงสั้นๆ สลับกับการวิ่งเหยาะๆ ปกติ
วิธีวิ่งให้ถูกต้องและปลอดภัย
ขั้นตอนการวิ่งจ๊อกกิ้งที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บและทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุด มาดูตารางการเริ่มต้นสำหรับผู้เริ่มวิ่งกันครับ
สัปดาห์ | กิจกรรม | ระยะเวลา | ความถี่ |
1 | เดินเร็ว 5 นาที + วิ่งเหยาะๆ 1 นาที (สลับกัน) | 20 นาที | 3 วัน/สัปดาห์ |
2 | เดินเร็ว 3 นาที + วิ่งเหยาะๆ 2 นาที (สลับกัน) | 25 นาที | 3-4 วัน/สัปดาห์ |
3 | วิ่งเหยาะๆ 3 นาที + เดินเร็ว 1 นาที | 25-30 นาที | 4 วัน/สัปดาห์ |
4 | วิ่งเหยาะๆ ต่อเนื่อง | 30 นาที | 4-5 วัน/สัปดาห์ |
การเตรียมตัวก่อนวิ่งจ๊อกกิ้ง
ก่อนเริ่มวิ่ง การเตรียมร่างกายให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญ จากการศึกษาพบว่า การอบอุ่นร่างกาย 5-10 นาทีก่อนวิ่ง สามารถลดความเสี่ยงการบาดเจ็บได้ถึง 70% เริ่มจากการเดินเร็ว ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วจนถึงระดับการวิ่งเหยาะๆ
TIP: ดื่มน้ำ 200-300 มล. ก่อนวิ่ง 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำระหว่างวิ่ง
ข้อควรระวังในการวิ่งจ๊อกกิ้ง
การป้องกันการบาดเจ็บ
การออกกำลังกายด้วยการวิ่งอาจเกิดการบาดเจ็บได้หากไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณหัวเข่าและข้อเท้า การสวมรองเท้าที่เหมาะสมและการวอร์มอัพอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
TIP: หากรู้สึกปวดหรือไม่สบายตัว ควรหยุดพักทันที อย่าฝืนวิ่งต่อเด็ดขาด
เมื่อไหร่ควรหยุดวิ่ง
ควรหยุดวิ่งทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้:
- เจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบาก
- ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อแบบเฉียบพลัน
- รู้สึกวิงเวียนหรือมึนงง
- เหงื่อออกผิดปกติ
TIP: ฟังสัญญาณร่างกายของคุณเอง เพราะแต่ละคนมีขีดจำกัดไม่เท่ากัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิ่งจ๊อกกิ้ง
1.วิ่งจ๊อกกิ้งวันละกี่นาทีถึงจะพอ?
สำหรับผู้เริ่มต้น การวิ่งเหยาะๆ 20-30 นาทีต่อวัน 3-4 วันต่อสัปดาห์ถือว่าเพียงพอ จากการศึกษาพบว่าการวิ่งเพียง 30 นาทีต่อวันสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ต่อเนื่องถึง 12 ชั่วโมง
2.ควรวิ่งจ๊อกกิ้งช่วงเวลาไหนดีที่สุด?
ช่วงเช้าตรู่ (5:00-7:00 น.) หรือช่วงเย็น (16:00-18:00 น.) เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะอากาศเย็นสบาย และร่างกายสามารถปรับตัวได้ดี
3.อัตราการเต้นของหัวใจที่เหมาะสมขณะวิ่งควรเป็นเท่าไร?
ขณะวิ่งเหยาะๆ อัตราการเต้นของหัวใจควรอยู่ที่ 120-150 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
4.ควรทานอาหารก่อนวิ่งหรือไม่?
ควรทานอาหารเบาๆ ก่อนวิ่ง 2-3 ชั่วโมง หรือทานกล้วยหนึ่งผลก่อนวิ่ง 30 นาที เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ
5.วิ่งจ๊อกกิ้งทุกวันได้ไหม?
ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น ควรวิ่งสลับวัน เพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้น การวิ่ง 3-4 วันต่อสัปดาห์เพียงพอสำหรับการสร้างความแข็งแรงและความทนทาน
6.วิ่งบนลู่กับวิ่งกลางแจ้งแบบไหนดีกว่ากัน?
การวิ่งทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกัน การวิ่งกลางแจ้งช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าเพราะต้องต้านแรงลม ส่วนการวิ่งบนลู่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะควบคุมความเร็วได้ดีกว่า
7.วิ่งจ๊อกกิ้งแล้วปวดหัวเข่าต้องทำอย่างไร?
ควรพักการวิ่ง 3-5 วัน ประคบเย็นวันละ 15-20 นาที และเมื่อกลับมาวิ่งควรเริ่มจากระยะสั้นๆ ก่อน
8.ควรเปลี่ยนรองเท้าวิ่งบ่อยแค่ไหน?
ควรเปลี่ยนรองเท้าทุก 500-800 กิโลเมตร หรือเมื่อสังเกตเห็นพื้นรองเท้าสึกหรอ ลายดอกยางจางหาย
9.วิ่งเหยาะๆแล้วจะลดน้ำหนักได้เท่าไร?
หากวิ่งสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 30 นาที ร่วมกับควบคุมอาหาร สามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
10.มือใหม่ควรซื้ออุปกรณ์อะไรบ้าง?
อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นคือรองเท้าวิ่งที่เหมาะสม เสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี และนาฬิกาจับเวลาหรือแอพติดตามการวิ่ง
สรุป เริ่มต้นวิ่งจ๊อกกิ้งอย่างชาญฉลาด
การวิ่งจ๊อกกิ้งหรือวิ่งเหยาะๆเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ ด้วยความเร็วปานกลางและการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวและพัฒนาความแข็งแรงได้อย่างปลอดภัย
เพียงแค่เริ่มต้นจากการวิ่งวันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน คุณจะได้รับประโยชน์มากมายทั้งการเผาผลาญไขมัน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความทนทานของหัวใจ และที่สำคัญคือการมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่าลืมว่าการเริ่มต้นที่ดีและการทำอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการวิ่งจ๊อกกิ้ง