10 ความเชื่อผิดๆ เรื่องการวิ่ง ที่หลายคนเข้าใจผิดมานาน

10 เรื่องเข้าใจผิด เกี่ยวกัยการวิ่ง

การวิ่งลดน้ำหนักเป็นหนึ่งในวิธีออกกำลังกายยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำเพื่อลดความอ้วน โดยเฉพาะในปี 2024 ที่กระแสการวิ่งเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง เราจะเห็นคนออกมาวิ่งในสวน หรือวิ่งลู่กันมากขึ้น แต่หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการวิ่งและการเผาผลาญไขมัน ซึ่งอาจส่งผลให้การออกกำลังกายไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร

จากสถิติพบว่า 70% ของผู้ที่เริ่มต้นวิ่งลดน้ำหนักมักจะเลิกกลางคันเพราะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อผิดๆ ที่ได้รับการบอกต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ การเผาผลาญพลังงาน หรือการดูแลร่างกายหลังวิ่ง

บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆ 10 ข้อ ที่อาจทำให้การลดน้ำหนักด้วยการวิ่งของคุณไม่ได้ผลอย่างที่ควร พร้อมคำอธิบายที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อให้การออกกำลังกายด้วยการวิ่งของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น และบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

1. วิ่งเสร็จแล้วนั่งจะทำให้ก้นใหญ่

หลายคนที่วิ่งลดน้ำหนักมักกังวลว่าการนั่งพักทันทีหลังวิ่งจะทำให้ก้นใหญ่ขึ้น ความเชื่อนี้แพร่หลายในกลุ่มนักวิ่งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงขนาดของกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายเกิดจากกระบวนการที่ซับซ้อนมากกว่านั้น

 

วิ่งเสร็จแล้วนั่งจะทำให้ก้นใหญ่ จริงเหรอ

การศึกษาจาก Journal of Applied Physiology (2023) พบว่าขนาดของกล้ามเนื้อก้น (Gluteus Maximus) ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสามประการ: พันธุกรรม รูปแบบการออกกำลังกาย และโภชนาการ การนั่งพักชั่วคราวหลังวิ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงขนาดของกล้ามเนื้อก้นแต่อย่างใด

สิ่งที่ควรทำหลังการวิ่งคือการ Cool Down อย่างถูกวิธี เริ่มจากการลดความเร็วลงและเดินช้าๆ ประมาณ 5-10 นาที วิธีนี้จะช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติ เลือดไหลเวียนดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหน้ามืด วูบ หรือเป็นลม หลังจากนั้นจึงค่อยยืดกล้ามเนื้อเบาๆ 10-15 นาที

การพักผ่อนที่เพียงพอหลังออกกำลังกายมีความสำคัญอย่างมากต่อการฟื้นตัวของร่างกาย ส่งผลดีต่อการเผาผลาญไขมัน และการสร้างกล้ามเนื้อ ในระหว่างที่ร่างกายพักฟื้น จะเกิดการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการวิ่ง ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น

นอกจากนี้ การพักผ่อนที่เหมาะสมยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการวิ่งในครั้งต่อไป ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายพร้อมสำหรับการออกกำลังกายในวันถัดไป คุณสามารถนั่งพัก ดื่มน้ำ หรือทำกิจกรรมเบาๆ หลังจาก Cool Down เสร็จแล้วได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ก้นมีขนาดใหญ่ขึ้น

ดังนั้น แทนที่จะกังวลเรื่องการนั่งพักหลังวิ่ง คุณควรให้ความสำคัญกับการ Cool Down อย่างถูกวิธี การยืดกล้ามเนื้อ และการพักผ่อนที่เพียงพอมากกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การวิ่งลดน้ำหนักของคุณมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น

 

2. ห้ามอาบน้ำทันทีหลังวิ่ง

การอาบน้ำหลังการวิ่งเป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่หลายคนกังวล หลายคนเชื่อว่าการอาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายจะทำให้เป็นไข้หรือช็อก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การอาบน้ำหลังวิ่งสามารถทำได้ หากทำอย่างถูกวิธี

 

ห้ามอาบน้ำทันทีหลังวิ่งเสร็จ

จากการศึกษาในวารสาร Sports Medicine (2023) พบว่าการอาบน้ำหลังวิ่งเพื่อสุขภาพไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ควรรอให้อุณหภูมิร่างกายและอัตราการเต้นของหัวใจลดลงสู่ระดับปกติก่อน ประมาณ 15-20 นาที

สำหรับผู้ที่วิ่งลดน้ำหนัก ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้ หลังจากวิ่งเสร็จให้ทำการ Cool Down ด้วยการเดินช้าๆ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพ จากนั้นซับเหงื่อและพักในที่อากาศถ่ายเท อย่าเพิ่งเปิดเครื่องปรับอากาศทันที เพราะการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลันอาจทำให้เป็นไข้ได้

เมื่อร่างกายเย็นลงแล้ว สามารถอาบน้ำได้ โดยควรเริ่มจากน้ำอุ่นก่อน เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน จากนั้นค่อยๆ ปรับให้เย็นลง การอาบน้ำอุ่นสลับเย็นยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอาการปวดเมื่อย และช่วยให้การสร้างกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกเหนื่อยมาก หน้ามืด หรือวิงเวียน ควรพักให้ร่างกายฟื้นตัวก่อนอาบน้ำ เพราะการอาบน้ำขณะที่ร่างกายอ่อนเพลียอาจทำให้เป็นลมได้ นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากการวิ่งด้วย

 

3. ต้องวิ่งทุกวันถึงจะได้ผล

ความเชื่อที่ว่าต้องวิ่งทุกวันเพื่อให้ได้ผลในการลดน้ำหนักนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมด การพักฟื้นเป็นส่วนสำคัญของการออกกำลังกาย

 

ต้องวิ่งทุกวันถึงจะได้ผล

ผลการวิจัยจาก International Journal of Sports Medicine (2023) แนะนำว่าควรวิ่ง 3-4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัวอย่างเพียงพอ การวิ่งติดต่อกันทุกวันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและทำให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันลดลง

สำหรับผู้ที่วิ่งเพื่อสุขภาพ การจัดตารางวิ่งที่เหมาะสมควรสลับวันพักเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมตัวเอง ในวันที่พักจากการวิ่ง คุณสามารถทำกิจกรรมเบาๆ เช่น เดิน โยคะ หรือยืดกล้ามเนื้อ เพื่อรักษาระดับการเผาผลาญพลังงาน

การพักที่เพียงพอยังช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อ ป้องกันภาวะหมดไฟ (Burnout) และลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บสะสม เช่น อาการเอ็นอักเสบ หรือกล้ามเนื้อล้า

ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องการออกกำลังกายทุกวัน แนะนำให้สลับกิจกรรมที่มีความหนักเบาต่างกัน เช่น วันจันทร์วิ่ง วันอังคารเดิน วันพุธวิ่ง เป็นต้น การวางแผนการวิ่งอย่างเหมาะสมจะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

 

4. วิ่งทำให้เข่าพัง

หลายคนไม่กล้าวิ่งออกกำลังกายเพราะกลัวว่าจะทำให้เข่าเสื่อม โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินที่ต้องการวิ่งลดน้ำหนัก แต่ความจริงแล้ว การวิ่งที่ถูกวิธีกลับช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่า

 

วิ่งทำให้เข่าพัง

การศึกษาในวารสาร Medicine & Science in Sports & Exercise (2023) ติดตามนักวิ่งกว่า 1,000 คนเป็นเวลา 5 ปี พบว่าผู้ที่วิ่งเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อมน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายถึง 20%

การวิ่งเพื่อสุขภาพช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงข้อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า และช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันปัญหาข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับผู้เริ่มต้นวิ่ง ควรเริ่มจากการเดินสลับวิ่ง ค่อยๆ เพิ่มระยะทางและความเร็ว สวมรองเท้าวิ่งที่เหมาะสม และเลือกพื้นผิวที่นุ่ม เช่น ลู่วิ่งยาง หรือสนามหญ้า เพื่อลดแรงกระแทกที่เข่า

การวิ่งผิดวิธีต่างหากที่ทำลายข้อเข่า เช่น การลงน้ำหนักที่ส้นเท้ามากเกินไป การวิ่งด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือการเพิ่มระยะทางเร็วเกินไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการอบอุ่นร่างกายและยืดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังวิ่ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

หากคุณมีน้ำหนักเกินมาก แนะนำให้เริ่มจากการเดินหรือออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำก่อน เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว และค่อยเริ่มวิ่งเมื่อน้ำหนักลดลงในระดับหนึ่ง การวิ่งอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยเผาผลาญไขมัน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับข้อเข่าอีกด้วย

 

5. ต้องงดน้ำระหว่างวิ่ง

ความเชื่อที่ว่าไม่ควรดื่มน้ำระหว่างวิ่งลดน้ำหนักเป็นความเข้าใจผิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

ต้องงดน้ำระหว่างวิ่ง

ตามคำแนะนำจาก American College of Sports Medicine (2023) ระบุว่านักวิ่งควรดื่มน้ำ 3-8 ออนซ์ (90-240 มิลลิลิตร) ทุก 15-20 นาทีระหว่างออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

ร่างกายต้องการน้ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิและรักษาประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยส่งผลให้สมรรถภาพในการวิ่งลดลง เกิดอาการเหนื่อยล้า ปวดศีรษะ และในกรณีรุนแรงอาจเป็นลมหมดสติได้

สำหรับผู้ที่วิ่งเพื่อสุขภาพ ควรดื่มน้ำก่อนวิ่ง 2-3 ชั่วโมง ประมาณ 500-600 มิลลิลิตร เพื่อให้ร่างกายมีเวลาดูดซึมและกำจัดน้ำส่วนเกิน ระหว่างวิ่งควรจิบน้ำเป็นระยะ และหลังวิ่งควรดื่มน้ำทดแทนตามปริมาณเหงื่อที่เสียไป

การดื่มน้ำไม่ได้ทำให้การเผาผลาญไขมันลดลง แต่กลับช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความทนทาน และช่วยให้กระบวนการสร้างกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ คือดูสีปัสสาวะ ซึ่งควรมีสีเหลืองอ่อนใส

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไปจนรู้สึกอึดอัด เพราะอาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนระหว่างวิ่งได้ การจิบน้ำทีละน้อยแต่บ่อยครั้งจะดีกว่าการดื่มครั้งละมากๆ

 

6. วิ่งตอนท้องว่างจะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า

การวิ่งตอนท้องว่างเพื่อหวังผลลดความอ้วนเป็นความเชื่อที่แพร่หลายในกลุ่มคนวิ่งลดน้ำหนัก แต่ความเป็นจริงอาจไม่ได้ดีอย่างที่คิด

 

วิ่งตอนท้องว่างจะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า

จากการศึกษาในวารสาร Journal of Exercise Science & Fitness (2023) พบว่าการออกกำลังกายขณะท้องว่างไม่ได้ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการสูญเสียกล้ามเนื้อ

การวิ่งเพื่อสุขภาพต้องการพลังงานจากอาหาร เมื่อวิ่งตอนท้องว่าง ร่างกายอาจสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทน ส่งผลให้การสร้างกล้ามเนื้อลดลง และอาจเกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด หรือหมดแรงระหว่างวิ่งได้

แนะนำให้ทานอาหารเบาๆ ก่อนวิ่ง 1-2 ชั่วโมง เช่น กล้วย โยเกิร์ต หรือขนมปังโฮลวีท เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้วิ่งได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเผาผลาญไขมันจะเกิดขึ้นตลอดวัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวิ่งตอนท้องว่างเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม

 

7. ห้ามกินหลังวิ่งทันที

การงดอาหารหลังวิ่งลดน้ำหนักเป็นความเข้าใจผิดที่พบบ่อย หลายคนเชื่อว่าการกินทันทีจะทำให้เผาผลาญไขมันได้น้อยลง

 

ห้ามกินหลังวิ่งทันที

จากการศึกษาใน Journal of Sports Sciences (2023) พบว่าร่างกายต้องการสารอาหารภายใน 30 นาทีหลังออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเติมพลังงาน

หลังการวิ่งเพื่อสุขภาพ ร่างกายอยู่ในช่วงที่ดูดซึมสารอาหารได้ดีที่สุด โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกล้ามเนื้อ การงดอาหารในช่วงนี้อาจทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวช้า เกิดอาการปวดเมื่อย และอ่อนเพลีย

แนะนำให้ทานอาหารที่มีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนหลังวิ่ง เช่น นมถั่วเหลือง ไข่ต้ม+ขนมปัง หรือผลไม้+โยเกิร์ต ในปริมาณที่เหมาะสมกับความหนักของการออกกำลังกาย

การรับประทานอาหารหลังวิ่งไม่ได้ทำให้การลดน้ำหนักล้มเหลว แต่กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น และพร้อมสำหรับการออกกำลังกายครั้งต่อไป ที่สำคัญคือการเลือกอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมปริมาณให้เหมาะสม

 

8. ต้องวิ่งระยะไกลถึงจะลดน้ำหนักได้

หลายคนเชื่อว่าต้องวิ่งระยะไกลเพื่อลดความอ้วน แต่การเผาผลาญไขมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว

 

ต้องวิ่งระยะไกลถึงจะลดน้ำหนักได้

การวิจัยจาก Sports Medicine Journal (2023) พบว่าการวิ่งระยะสั้นที่มีความเข้มข้นสูง (HIIT) สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งระยะไกลแบบเรื่อยๆ ถึง 29%

การวิ่งเพื่อสุขภาพให้ได้ผลควรผสมผสานทั้งการวิ่งระยะสั้นและระยะไกล เช่น

  • วันจันทร์ วิ่งเร็ว 20 นาที
  • วันพุธ วิ่งระยะกลาง 30-45 นาที
  • วันเสาร์ วิ่งช้าๆ ระยะไกล 1 ชั่วโมง

การวิ่งระยะสั้นแบบเข้มข้นช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องหลังจากหยุดออกกำลังกาย (Afterburn Effect) ขณะที่การวิ่งระยะไกลช่วยเพิ่มความทนทานและเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ

สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการวิ่งลดน้ำหนัก และการปรับความหนักเบาให้เหมาะกับร่างกาย ไม่จำเป็นต้องวิ่งไกลทุกครั้ง แต่ควรวิ่งให้หลากหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการเผาผลาญที่แตกต่างกัน

 

9. วิ่งเร็วจะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าเสมอ

ความเชื่อเรื่องการวิ่งเร็วเพื่อลดความอ้วนเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะการเผาผลาญไขมันที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียว

 

วิ่งเร็วจะเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าเสมอ

งานวิจัยจาก Exercise and Sport Sciences Reviews (2023) พบว่าการวิ่งช้าที่ระดับความเข้มข้น 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด เป็นช่วงที่ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักได้ดีที่สุด

การวิ่งเพื่อสุขภาพที่มีประสิทธิภาพควรปรับความเร็วให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ดังนี้

  • การวิ่งช้าจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาเพียงพอในการดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงาน 
  • การวิ่งความเร็วปานกลางจะช่วยพัฒนาความทนทานและการสร้างกล้ามเนื้อ 
  • การวิ่งเร็วจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจและการเผาผลาญพลังงานโดยรวม

สำหรับผู้เริ่มต้นวิ่งลดน้ำหนัก ควรเริ่มจากการวิ่งช้าๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว การวิ่งเร็วเกินไปอาจทำให้เหนื่อยล้า เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และท้อแท้ได้ง่าย นอกจากนี้การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพควรผสมผสานความเร็วหลายระดับ และที่สำคัญคือต้องสามารถวิ่งได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

การวิ่งที่ความเร็วพอดีกับสภาพร่างกาย จะช่วยให้เราสามารถวิ่งได้นานขึ้น ส่งผลให้เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นในระยะยาว และมีความสุขกับการวิ่งมากกว่าการฝืนวิ่งเร็วเกินความสามารถของร่างกาย

 

10.ต้องเหงื่อออกเยอะถึงจะถือว่าออกกำลังกายได้ผล

ความเชื่อที่ว่าต้องเหงื่อออกมากๆ ระหว่างวิ่งลดน้ำหนักจึงจะได้ผลนั้น เป็นความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

 

ต้องเหงื่อออกเยอะถึงจะถือว่าออกกำลังกายได้ผล

การศึกษาในวารสาร Exercise Physiology Review (2023) ระบุว่าปริมาณเหงื่อไม่ได้บ่งชี้ถึงการเผาผลาญไขมัน แต่เป็นเพียงกลไกการระบายความร้อนของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน

การวิ่งเพื่อสุขภาพที่มีประสิทธิภาพวัดจากความหนักของการออกกำลัง ระยะเวลา และความสม่ำเสมอ ไม่ใช่ปริมาณเหงื่อ คนที่เหงื่อออกน้อยอาจเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าคนที่เหงื่อออกมาก ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการออกกำลังกาย

ปริมาณเหงื่อขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น พันธุกรรม และสภาพร่างกายของแต่ละคน การพยายามทำให้เหงื่อออกมากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการวิ่งและการสร้างกล้ามเนื้อ

แทนที่จะกังวลเรื่องเหงื่อ ควรโฟกัสที่ความหนักของการวิ่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยวัดจากอัตราการเต้นของหัวใจหรือความสามารถในการพูดคุยขณะวิ่ง ที่สำคัญคือต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากเหงื่อ

 

สรุป

การวิ่งลดน้ำหนักและการวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ความเชื่อผิดๆ หลายอย่างอาจทำให้การวิ่งของคุณไม่ได้ผลเท่าที่ควร จากที่กล่าวมาข้างต้น การนั่งหลังวิ่ง การอาบน้ำ การดื่มน้ำ หรือการรับประทานอาหารหลังวิ่ง ล้วนสามารถทำได้หากปฏิบัติอย่างถูกวิธี

สิ่งสำคัญที่สุดในการวิ่งคือความสม่ำเสมอและการฟังสัญญาณจากร่างกาย การเผาผลาญไขมันและการสร้างกล้ามเนื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเราออกกำลังกายอย่างถูกต้องและมีการพักฟื้นที่เพียงพอ ไม่ว่าคุณจะวิ่งเร็วหรือช้า ระยะสั้นหรือไกล หากทำอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี การวิ่งลดน้ำหนักของคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

เลิกกังวลกับความเชื่อผิดๆ แล้วเริ่มต้นวิ่งเพื่อสุขภาพตามหลักการที่ถูกต้อง เพื่อให้การออกกำลังกายของคุณมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด