รองเท้าวิ่ง 2025 รุ่นไหนกำลังมาแรง? รีวิวจริงจากนักวิ่งมืออาชีพ

“รองเท้าวิ่งที่ใช่ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องวิ่งแล้วเหมือนมีปีกติดเท้า” – หมิงนักวิ่งมาราธอนกว่า 20 ปี

สวัสดีเพื่อนๆ นักวิ่งทุกคน! หมิงเองครับ คนที่หลงรักการวิ่งมาตั้งแต่ยังรู้ไม่เท่าทันว่าวงการรองเท้าวิ่งจะพัฒนาไปไกลขนาดนี้ ปี 2025 นี้ ผมยังจำได้เลยตอนเริ่มวิ่ง Half Marathon ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อนกับรองเท้าธรรมดาๆ คู่หนึ่ง ที่พื้นบางจนรู้สึกได้ถึงทุกเม็ดกรวดบนถนน เทียบกับตอนนี้ที่เรามีรองเท้าพร้อมเทคโนโลยีระดับอวกาศ กลายเป็นว่าผมเสพติดความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่แบรนด์ดังๆ ปล่อยรองเท้ารุ่นใหม่ออกมา

ล่าสุดผมเพิ่งกลับจากงาน Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 และได้สังเกตเห็นรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ๆ มากมายที่นักวิ่งเลือกใช้ หลายคนทำเวลาได้ดีขึ้นอย่างน่าตกใจเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยีรองเท้าวิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับรองเท้าวิ่งรุ่นไหนที่กำลังมาแรงในปี 2025 จากประสบการณ์จริงของผมเองที่ได้ทดลองวิ่งมาแล้วและจากเพื่อนนักวิ่งมืออาชีพที่ผมรู้จักในวงการ พร้อมให้คำแนะนำว่าจะเลือกรองเท้าคู่ไหนให้เหมาะกับสไตล์การวิ่งของคุณ

 

Table of Contents

ทำไมรองเท้าวิ่งปี 2025 ถึงน่าจับตามอง?

“ปีนี้เป็นปีที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวงการรองเท้าวิ่ง ทั้งเทคโนโลยีแผ่นคาร์บอน โฟมเด้งใหม่ และดีไซน์ที่ช่วยเรื่องฟอร์มการวิ่ง”

เห็นได้ชัดเลยว่าการแข่งขันในวงการรองเท้าวิ่งปี 2025 นี้ดุเดือดมาก! ผมออกงานวิ่งเกือบทุกเดือน ทั้ง Garmin Run Asia Series, Laguna Phuket Marathon และหลายเวทีในต่างประเทศ ได้เห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากแบรนด์ทั้งหลาย

แบรนด์ใหญ่ทั้ง Nike, adidas, HOKA, Saucony แข่งกันเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่แค่ปรับสี ปรับลายเหมือนเมื่อก่อน แต่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยให้นักวิ่งทุกระดับทำเวลาได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในรองเท้าวิ่งปีนี้มีอะไรบ้าง?

เพื่อนผมที่อาศัยอยู่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้จัดการร้านรองเท้าวิ่งชื่อดังบอกว่า เทคโนโลยีในรองเท้าวิ่งปีนี้เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ผมสรุปให้ฟังดังนี้

  1. แผ่นคาร์บอนเพลทรุ่นใหม่ – ไม่ได้แค่แข็งแต่เน้นความยืดหยุ่นและตอบสนองมากขึ้น บางรุ่นใช้เทคโนโลยีผสมผสานระหว่างเส้นใยคาร์บอนและวัสดุยืดหยุ่น ให้การกระดกเท้าที่เป็นธรรมชาติกว่า
  2. โฟม PEBA รุ่นใหม่ – โฟมเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ทั้งเบา นุ่ม และเด้งแรงกว่าเดิม อย่าง ZoomX ของ Nike หรือ Lightstrike Pro ของ adidas ที่พัฒนาสูตรให้ทนทานขึ้น แก้ปัญหาการเสื่อมสภาพเร็วของรุ่นก่อนๆ
  3. เทคโนโลยี Speedroll หรือ Rocker Design – การออกแบบพื้นรองเท้าให้มีความโค้งพิเศษ ช่วยให้การกลิ้งเท้าจากส้นไปหน้าเท้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้พลังงานในแต่ละก้าวลง
  4. วัสดุ Upper ที่ระบายอากาศดีขึ้น – บางยี่ห้อหันมาใช้เทคโนโลยีถักแบบไร้ตะเข็บ (Engineered Mesh) ที่ระบายอากาศได้ดีและเบากว่าเดิม บางรุ่นใช้วัสดุรีไซเคิลเพื่อความยั่งยืนด้วย
  5. การออกแบบตาม Running Form – บางแบรนด์เริ่มแบ่งรองเท้าตาม Running Form มากขึ้น เช่น รองเท้าสำหรับคนลงส้นเท้าก่อน (Heel Striker) หรือคนลงปลายเท้า (Forefoot Striker) ที่มีการกระจายแรงกระแทกต่างกัน

ผมยังจำได้เมื่อสามเดือนก่อน ผมไปงาน Running Expo ในญี่ปุ่น ได้คุยกับวิศวกรจาก ASICS ที่บอกว่า ปีนี้พวกเขาใช้ AI มาช่วยในการออกแบบโครงสร้างพื้นรองเท้า วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของนักวิ่งนับพันคนเพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุด นี่เป็นก้าวที่น่าตื่นเต้นจริงๆ

แผ่นคาร์บอน, โฟม PEBA, Speedroll และการดีไซน์ตาม “Running Form” สำคัญแค่ไหน?

“จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมวิ่งเร็วขึ้น 15-20 วินาทีต่อกิโลเมตรเมื่อเปลี่ยนมาใช้รองเท้าแผ่นคาร์บอน”

ผมเริ่มใช้รองเท้าแผ่นคาร์บอนเมื่อสองปีก่อน จำได้ว่าครั้งแรกที่สวมรู้สึกเหมือนตัวเองโกงอยู่ วิ่งไปสองสามก้าวแล้วคิดว่า “เฮ้ย มันเด้งจริงๆ ด้วย!” ผลคือวิ่ง Half Marathon จบที่ 132 ซึ่งเร็วกว่าสถิติเดิม 5 นาที แค่เปลี่ยนรองเท้า!

แต่สำคัญมากที่ต้องเข้าใจว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน

เรื่องแผ่นคาร์บอน – ส่วนตัวผมว่ามันช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างเหลือเชื่อในระยะยาว โดยเฉพาะช่วง 30 กิโลเมตรขึ้นไปที่กล้ามเนื้อเริ่มล้า แต่คนที่น้ำหนักตัวเบาอาจจะรู้สึกว่ามันแข็งเกินไป

โฟม PEBA – ผมเคยใช้รองเท้าที่มีโฟม PEBA วิ่งบนลู่วิ่งที่บ้านรุ่น A5 ที่มีระบบลดแรงกระแทก ให้ความรู้สึกนุ่มเด้งมาก แต่ถ้าใช้รองเท้าโฟม PEBA บนพื้นแข็งๆ บางคนอาจรู้สึกไม่มั่นคง โดยเฉพาะคนตัวใหญ่

Speedroll/Rocker – ช่วยเรื่องประสิทธิภาพจริงๆ แต่ต้องใช้เวลาปรับตัว เพื่อนผมหลายคนบอกว่าสัปดาห์แรกที่ใช้รู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากนั้นก็ติดใจ

การดีไซน์ตาม Running Form – ส่วนนี้ต้องรู้จักตัวเองจริงๆ ผมเคยแนะนำลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งจากผมให้ถ่ายวิดีโอตัวเองตอนวิ่งดู จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นแบบไหน เพราะบางคนคิดว่าตัวเองลงส้นเท้า แต่จริงๆ ลงกลางเท้า

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า รองเท้าคาร์บอนเพลทสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4% ในนักวิ่งที่มีฟอร์มดี นั่นคือสามารถทำให้นักวิ่งมาราธอนระดับเร็วลดเวลาลงได้ประมาณ 5-7 นาที ซึ่งมหาศาลมากสำหรับการแข่งขัน

ความต้องการของนักวิ่งยุคใหม่เปลี่ยนไปอย่างไร?

“นักวิ่งยุคนี้ต้องการรองเท้าที่ไม่ใช่แค่ฟังก์ชัน แต่ต้องสวย ใส่ได้ทุกวัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง ผมได้คุยกับลูกค้านักวิ่งมากมาย และเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน

  1. นักวิ่งต้องการรองเท้าที่ใช้ได้หลากหลาย – ไม่ใช่แค่วิ่งอย่างเดียว แต่ต้องใส่ไปทำงาน ไปเที่ยวได้ด้วย โดยเฉพาะรุ่นที่มี Colorway สวยๆ
  2. ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น – หลายคนถามหารองเท้าที่ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือแบรนด์ที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมชัดเจน
  3. ต้องการรองเท้าเฉพาะทาง – แต่ก่อนอาจมีแค่คู่เดียวใช้ทั้งซ้อมและแข่ง แต่ตอนนี้นักวิ่งหลายคนมีรองเท้าแยกตามวัตถุประสงค์ เช่น คู่ซ้อมเบา คู่ซ้อมหนัก คู่แข่ง หรือคู่วิ่งเทรล
  4. หันมาสนใจแบรนด์เล็กมากขึ้น – ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike หรือ adidas อีกต่อไป แต่ให้โอกาสแบรนด์เล็กๆ ที่มีนวัตกรรมน่าสนใจ
  5. ใส่ใจเรื่องการซัพพอร์ตเท้ามากขึ้น – โดยเฉพาะคนวัย 40+ ที่เพิ่งเริ่มวิ่ง จะถามเรื่องรองเท้าที่ช่วยลดแรงกระแทกและป้องกันการบาดเจ็บเป็นหลัก

สาระน่ารู้จากงานวิจัย งานวิจัยในปี 2023 จากกลุ่มตัวอย่างนักวิ่งกว่า 2,000 คนพบว่า 76% ของนักวิ่งที่เปลี่ยนมาใช้รองเท้ารุ่นที่มีเทคโนโลยีล่าสุดรายงานว่าความเจ็บปวดขณะวิ่งระยะไกลลดลง และ 68% สามารถวิ่งได้ไกลขึ้นก่อนที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า

ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับผลวิจัยนี้มาก ลูกค้าของผมหลายคนที่เคยมีปัญหาปวดเข่าหรือข้อเท้า พอเปลี่ยนมาใช้รองเท้าที่มีเทคโนโลยีโฟมที่ดีขึ้นและวิ่งบนลู่วิ่งที่มีระบบรองรับแรงกระแทกดีๆ อย่างรุ่น X20 อาการเหล่านั้นก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าเราดูจากทิศทางการพัฒนารองเท้าวิ่งในปี 2025 นี้ จะเห็นว่าแบรนด์ต่างๆ พยายามตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้มากขึ้น เราไม่ได้ต้องเลือกระหว่างความสบายกับความเร็วอีกต่อไป แต่สามารถหารองเท้าที่ให้ทั้งสองอย่างได้ในคู่เดียว

 

เลือกรองเท้าวิ่งยังไงให้เหมาะกับสไตล์ของคุณ?

“ทุกครั้งที่มีคนถามผมว่ารองเท้าวิ่งคู่ไหนดีที่สุด ผมจะย้อนถามเสมอว่า ‘คุณวิ่งแบบไหน?'”

พูดตรงๆ นะ แต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก เห็นได้ชัดตอนผมไปงาน Garmin Run ครั้งล่าสุด เพื่อนนักวิ่งขาสั้นของผม (เจนที่สูงแค่ 160) ใส่ HOKA คู่อ้วนๆ วิ่งเร็วจี๊ดเลย แต่พอผมยืมมาลองใส่… โอ้วววว รู้สึกเหมือนใส่รองเท้าแตะฟองน้ำกระโดดไปมา ใส่แล้วขาผมดูเล็กลง 10 เท่า อย่างกับเสียบปลั๊กไม่แน่น นี่แหละที่เขาว่า “One man’s ceiling is another man’s floor”

คืนนั้นผมนั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนนักวิ่งที่บาร์หลังจบงาน มีทั้งหมอ วิศวกร แม่บ้าน นักธุรกิจ แต่ละคนชอบรองเท้าคนละแบบเลย ทั้งที่วิ่งด้วยกันตั้งแต่เช้า พอฝนตกดำๆ เบียร์เย็นๆ เราเถียงกันเรื่องรองเท้าอย่างดุเดือด จนเจ้าของบาร์ต้องหันมามอง

เราสรุปกันได้ว่า นี่คือประเด็นสำคัญที่คุณต้องคิดก่อนควักกระเป๋า

ซ้อม – แข่ง – เทรล ต่างกันยังไง เลือกรองเท้าแบบไหนดี?

“ซื้อรองเท้าตามจุดประสงค์การใช้งาน ไม่ใช่ตามสีสัน ถ้าใช้ผิดประเภท รับรองได้เลยว่าจะเจ็บตัว”

จะเล่าให้ฟัง ปีที่แล้วผมใส่รองเท้าแข่งไปวิ่งเทรลที่เชียงราย ด้วยความคิดว่า “แหม่ แค่วิ่งเขาเล็กๆ จะเป็นไรไป” ผลคือลื่นล้มเกือบหักคอตอนวิ่งลงเขา พื้นรองเท้าแข่งมันบางและไม่มีดอกยางเลย เหมือนใส่รองเท้าบัลเล่ต์ไปเตะฟุตบอล

รองเท้าซ้อม ต้องทนทานเป็นหลัก จะเน้นรองเท้าที่ cushion เยอะๆ ออกแบบมาให้รองรับการกระแทกซ้ำๆ ผมเคยเห็นเพื่อนใช้รองเท้าแข่งไปซ้อมทุกวัน สุดท้ายโฟมยุบภายในเดือนเดียว เสียเงินเปล่าๆ 7,000 บาท

นึกภาพง่ายๆ รองเท้าซ้อมก็เหมือนรถครอบครัว ขับทุกวัน พาไปรับส่งลูก ไปซื้อของ ส่วนรองเท้าแข่งเหมือนรถสปอร์ต เอาออกมาใช้เฉพาะเวลาพิเศษ

สำหรับ รองเท้าแข่ง มักจะเบากว่า มี response ดีกว่า แต่อายุการใช้งานสั้นกว่า ทุกวันนี้เกือบทุกรุ่นแข่งจะมีแผ่นคาร์บอนที่ช่วยดีดตัว ผมทดลองซ้อมบนลู่วิ่ง X20S ที่บ้านด้วยรองเท้าแข่งช่วง race week แต่ให้ระวังเรื่องความคงทนนะ มันออกแบบมาให้ใช้แค่ 100-200 กม. เท่านั้น

ส่วน รองเท้าเทรล จะมีพื้นหนากว่า ดอกหนากว่า และมักมีระบบป้องกันหิน กรวดมาตำเท้า อย่างตอนผมไปวิ่ง Ultra-Trail ที่ญี่ปุ่น ตลกมากที่เห็นนักวิ่งญี่ปุ่นเขาใส่รองเท้าเทรลแบบพื้นหนาเดินไปซื้อกาแฟที่ Lawson ในเมือง เหมือนเราใส่รองเท้าเดินป่าไปห้าง แต่พอไปวิ่งในป่าจริงๆ ถึงเข้าใจว่ามันจำเป็นขนาดไหน ตอนขากลับมีรองเท้าเปื้อนโคลนเป็นสิบๆ คู่วางหน้าโรงแรม อารมณ์เหมือนรถออฟโรดที่เพิ่งลุยมา

สาเหตุที่คนวิ่งหลายคนมีรองเท้าหลายคู่ไม่ใช่เพราะบ้ารองเท้านะ แต่มันจำเป็นจริงๆ ส่วนตัวผมมีรองเท้าซ้อมประจำ 1 คู่ รองเท้าซ้อมสปีด 1 คู่ รองเท้าแข่ง 1 คู่ และรองเท้าเทรล 1 คู่ ไม่นับพวกรองเท้าเก่าที่เอาไว้ใส่ทำสวน

เพื่อนผมอีกคนที่เป็นโค้ชวิ่งมืออาชีพเคยพูดว่า “ตอนนี้ฉันเป็นห่วงแต่ว่าสามีจะรู้ไหมว่ามีรองเท้าวิ่งเพิ่มมาอีกคู่” ฮ่าๆ จริงๆ นะ

เพื่อความลงตัวสุดๆ ถ้าคุณซ้อมที่บ้านด้วยลู่วิ่ง ควรมีรองเท้าสำหรับลู่โดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องหนาเท่ารองเท้าที่ใช้วิ่งถนน เพราะพื้นลู่วิ่งอย่าง A5 หรือ SONIC มีระบบลดแรงกระแทกในตัวอยู่แล้ว

มือใหม่ vs มือโปร เลือกยังไงให้ไม่พลาด

“มือใหม่เริ่มที่ความสบาย มือโปรค่อยมาเน้นความเร็ว”

ขอเล่าประสบการณ์ตรงนิดนึง ตอนผมเริ่มวิ่งใหม่ๆ ไปร้านวิ่งดังที่สุขุมวิท พนักงานแนะนำรองเท้าวิ่งแข่งคู่หนึ่งราคา 5,500 บอกว่าดีที่สุด พอกลับมาใส่วิ่งวันแรก 5 กิโล เท้าพังเลย มีแผลถลอกที่ส้น ปวดน่อง และเท้าชาไปหมด เพราะมันเบากว่าที่ผมเคยใช้และไม่ได้รองรับการกระแทกดีพอสำหรับคนที่ซ้อมน้อย

นี่คือความแตกต่างในการเลือกรองเท้าระหว่างมือใหม่กับมือโปร

สำหรับมือใหม่

  • เน้นความสบายและการป้องกันอาการบาดเจ็บ – ผมมักแนะนำลูกค้าให้เลือกรองเท้าที่มี cushion เยอะ ช่วยรองรับแรงกระแทกดี มากกว่ารองเท้าที่เบาสุดๆ
  • เรื่อง drop ไม่ต้องคิดมาก – Drop คือความแตกต่างระหว่างความสูงพื้นส้นเท้ากับหน้าเท้า มือใหม่ควรเริ่มที่ 8-10 มม. ก่อน ผมเคยเห็นเพื่อนใหม่ๆ ใช้ drop ต่ำแล้วเอ็นร้อยหวายอักเสบเพราะกล้ามเนื้อน่องยังไม่พร้อม
  • ดูความกว้างให้เหมาะกับเท้า – คนไทยส่วนใหญ่เท้ากว้าง แต่รองเท้าหลายรุ่นออกแบบมาให้คนเท้าแคบ พยายามลองใส่ก่อนซื้อเสมอ
  • เลือกรุ่นที่เปลี่ยนมาหลายรุ่นแล้ว – อย่างรุ่น Pegasus ของ Nike รุ่น 41 แล้ว หรือ ASICS Nimbus รุ่น 26 แล้ว แปลว่าผ่านการพัฒนาและแก้ไขปัญหามานาน เชื่อถือได้

สำหรับมือโปร

  • รู้จักสไตล์การวิ่งของตัวเอง – นักวิ่งที่มีประสบการณ์จะรู้แล้วว่าตัวเองชอบรองเท้าแบบไหน ลงส้น ลงกลางเท้า หรือลงปลายเท้า และเลือกให้เหมาะกับสไตล์ตัวเอง
  • สามารถปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เร็ว – อย่างแผ่นคาร์บอน หรือ drop ต่ำๆ ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อและเอ็นที่แข็งแรง
  • ซื้อตามวัตถุประสงค์เฉพาะ – มีรองเท้าแยกสำหรับซ้อมเบา ซ้อมหนัก วิ่งเร็ว และแข่งขัน
  • สนใจรายละเอียดเล็กๆ – เช่น น้ำหนักรองเท้าต่างกัน 10 กรัม หรือความหนาพื้น 2 มม. ซึ่งมีผลกับประสิทธิภาพการวิ่ง

ตอนนี้นิยามของ “มือโปร” เปลี่ยนไปเยอะนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาทีมชาติ แค่วิ่งมาสัก 2-3 ปี เคยลงมาราธอนซักครั้ง ก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร

เพื่อนผมคนนึงที่วิ่งมา 5 ปีบอกว่า “กูไม่เคยใส่อะไรที่ stack height ต่ำกว่า 35 มม. เลย ทุกทีที่ลองใส่ ข้อเท้าพัง แต่เพื่อนกูอีกคนชอบพื้นบางๆ ใส่เท่าไหร่ก็ไม่เคยบาดเจ็บ” นี่แหละ เราต้องรู้จักตัวเอง

ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า ลงทุนกับรองเท้าวิ่งดีๆ คุ้มกว่าต้องจ่ายค่ารักษาอาการบาดเจ็บ ลูกค้าผมที่เพิ่งเริ่มวิ่งพร้อมกับซื้อลู่วิ่ง A3 ไป ผมมักแนะนำให้ซื้อรองเท้ารุ่นที่มี cushion เยอะอย่าง HOKA Clifton หรือ ASICS Cumulus ซึ่งราคาปานกลางแต่ความสบายระดับพรีเมียม

อย่าลืมเรื่องฟิตติ้ง! ขนาด รองเท้า หน้าเท้า และดรอปที่เหมาะสม

“รองเท้าที่ฟิตพอดี ควรมีพื้นที่ประมาณครึ่งนิ้วหัวแม่มือตรงปลายเท้า ไม่รัดเกินไป และไม่หลวมจนเท้าขยับในรองเท้า”

จริงๆ แล้วฟิตติ้งสำคัญที่สุด ถ้าซื้อรองเท้าที่แพงสุดในโลกแต่ไซส์ไม่ถูก ก็ไม่มีประโยชน์ ผมจำได้ว่าครั้งนึงซื้อรองเท้าออนไลน์ มาถึงใส่แล้วหลวมไป ใส่วิ่งเสียท่า ปากรองเท้าเสียดสีจนถลอกไปทั้งหลัง เสียเงินเปล่าๆ

คำถามที่ผมถูกถามบ่อยสุดคือ “รองเท้าวิ่งควรใส่ไซส์อะไร?” คำตอบคือมันขึ้นอยู่กับแบรนด์ บางคนบอก +1 จากไซส์ปกติ แต่ไม่จริงเสมอไป

เมื่อเดือนที่แล้วผมไปงานออกกำลังกายที่เมืองทองฯ มีบูธวัดเท้าด้วยเครื่องสแกน 3D เห็นชัดเลยว่าเท้าผมกว้างกว่าค่าเฉลี่ยคนไทย 7% และนิ้วเท้ายาวไม่เท่ากัน บางแบรนด์เลยใส่แล้วหัวเท้าอึดอัด

สิ่งสำคัญที่พนักงานขายมักไม่บอก

  1. ช่วงเวลาที่ลองรองเท้า – เท้าเราจะบวมระหว่างวัน โดยเฉพาะหลังเดินมาเยอะๆ ควรลองรองเท้าในช่วงเวลาที่คุณจะวิ่งจริงๆ หรือช่วงเย็นจะดีที่สุด
  2. ถุงเท้าที่ใช้ลอง – พาถุงเท้าที่จะใช้วิ่งจริงไปลองด้วยทุกครั้ง ความหนาของถุงเท้ามีผลต่อฟิตติ้งมาก
  3. การผูกเชือก – วิธีการผูกเชือกมีผลกับการฟิตของรองเท้ามาก มีเทคนิคการผูกเชือกตามลักษณะเท้าที่ต่างกัน
  4. ความกว้าง – หลายแบรนด์มีรุ่นความกว้างพิเศษ แต่ในไทยหาซื้อยาก ถ้าเท้ากว้าง แนะนำลองแบรนด์ New Balance, ASICS หรือ Altra ซึ่งมักจะทำรองเท้าที่กว้างกว่า
  5. ช่องว่างด้านหน้า (Toe Box) – ต้องมีพื้นที่พอให้นิ้วเท้ากระดิกได้ แต่ไม่มากจนเท้าเลื่อนไปมา สังเกตว่าถ้ายืนแล้วนิ้วชนปลายรองเท้า ตอนวิ่งจะเจ็บแน่นอน

ถ้าคุณซ้อมบนลู่วิ่งที่บ้านเป็นประจำ ผมแนะนำให้ลงทุนกับรองเท้าที่พอดีเท้าจริงๆ เพราะว่าการวิ่งบนลู่จะทำให้เท้าของคุณรับแรงกระแทกในรูปแบบที่คงที่กว่าการวิ่งบนถนน ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาการบาดเจ็บจะมาในรูปแบบเดิมซ้ำๆ

เรื่องดรอปหรือความต่างระหว่างความสูงพื้นส้นเท้ากับหน้าเท้า ผมชอบพูดเล่นๆ กับเพื่อนว่า “ปรับดรอปรองเท้าเหมือนปรับความชันบนลู่วิ่ง ค่อยๆ ปรับทีละนิด” ถ้าคุณเคยชินกับรองเท้าดรอป 10 มม. แล้วอยากลองดรอป 4 มม. ให้เปลี่ยนทีละนิด อาจลองรุ่น 8 มม. ก่อน ไม่งั้นน่องจะบอบช้ำแน่

ผมมีเทคนิคลับในการเลือกรองเท้าคือ ลองเดินเร็วๆ แล้วหยุดกะทันหัน ถ้ารู้สึกว่าเท้าเลื่อนในรองเท้า แสดงว่าไม่ฟิต เวลาลองก็อย่าแค่เดินไปเดินมา ต้องลองวิ่งเล็กน้อยในร้าน ร้านดีๆ เขาจะมีลู่ให้ทดลอง

 

10 อันดับรองเท้าวิ่งมาแรงปี 2025 พร้อมรีวิวจากผู้ใช้จริง

“ถ้ารองเท้าคู่ไหนทำให้รู้สึกเหมือนเราวิ่งบนก้อนเมฆ แต่เร็วเหมือนถูกผีไล่ นั่นแหละใช่เลย!”

เมื่อต้นปีนี้ ผมไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนเก่าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้าวิ่งแบรนด์ดัง นั่งกินเหล้ากันจนเมาได้ที่ เขาเปิดห้องเก็บของให้ดู… โอ้พระเจ้า! มีรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ที่ยังไม่วางขายในไทยนับสิบคู่!

“เอามั้ย ลองก่อนใครในไทย?” เขาถามผมพร้อมยิ้มแบบที่รู้ว่าผมไม่มีทางปฏิเสธ

หลังจากสามเดือนที่ผมได้ทดลองวิ่งกับรองเท้าเหล่านี้ ทั้งบนลู่วิ่งที่บ้าน บนถนน และในสนามแข่งจริง ผมขอสรุปรายชื่อรองเท้าวิ่งที่มาแรงสุดๆ ในปี 2025 นี้ให้ฟัง

1. Nike Alphafly 3 — รองเท้าที่ใช้ลุยมาราธอนระดับโลก

“ใส่ปุ๊บ รู้สึกปั๊บว่ามันทำให้เราวิ่งเร็วขึ้นได้จริงๆ เหมือนมีสปริงซ่อนอยู่ใต้เท้า”

โห มาเลยครับ ตัวท็อปสุดของ Nike! ผมยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้สวมมันได้เลย… ผมได้ลองตัวนี้ตอนไปวิ่งที่โตเกียว เพื่อนในวงการส่งให้ลองก่อนวางจำหน่าย ตอนแกะกล่อง แม่ง! มันดูเหมือนรองเท้าจากหนัง sci-fi เลย หนาม๊ากกก แต่เบาจนน่าตกใจ

พอใส่ปุ๊บ เท้าจมลงไปในโฟม ZoomX นุ่มฟู แต่พอเริ่มวิ่ง รู้สึกได้เลยว่าแผ่นคาร์บอนทำงาน เหมือนมีใครดีดส้นเท้าเราทุกก้าว ผมวิ่งเทสแค่ 200 เมตรแรกบนถนนในโตเกียว ก็ต้องหยุดแล้วหันไปบอกเพื่อนว่า “เฮ้ย อันนี้โกงว่ะ!”

แรงส่งระดับจรวดจาก ZoomX + แผ่นคาร์บอน Alphafly 3 เอาจริงๆ คือการปรับปรุงต่อจากรุ่น 2 ที่เคยมีปัญหาเรื่องความเสถียร พอสวมแล้วรู้สึกมั่นคงขึ้นเยอะ โฟม ZoomX ยังคงเด้งสุดๆ แต่ Nike แก้ปัญหาการเสื่อมสภาพเร็วได้ดีขึ้น แถมการวางตำแหน่งแผ่นคาร์บอนใหม่ ทำให้การส่งแรงเป็นธรรมชาติกว่าเดิม

ผมเอาไปใส่วิ่งบนลู่วิ่ง A5 ที่บ้าน (ที่พื้นมันนุ่มและลดแรงกระแทกดีอยู่แล้ว) โอ้โห… วิ่งนุ่มจนไม่อยากหยุด! ผมใส่มันวิ่ง 30 กิโลรอบบ้านและสวนหลวง ร.9 เมื่อเดือนที่แล้ว ทำเวลาดีขึ้น 4 นาทีเทียบกับคู่ก่อนหน้า

แต่ต้องเตือนไว้ตรงนี้เลย… ราคามันไม่ใช่เล่นๆ 9,xxx บาท และสำคัญกว่านั้น มันไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะความสูงของพื้นรองเท้า ทำให้เสี่ยงกับการพลิกข้อเท้าถ้าฟอร์มการวิ่งไม่ดี ผมมีเพื่อนที่เพิ่งเริ่มวิ่งได้ 3 เดือน ใจร้อนอยากเร็ว ไปควักเงินซื้อคู่นี้มา วิ่งได้แค่ 5 กม. เอ็นข้อเท้าอักเสบเลย ต้องพักยาวถึง 2 สัปดาห์

เหมาะกับสายแข่งจริงจัง รองเท้าคู่นี้เหมาะกับคนที่ซ้อมมาแล้วอย่างน้อย 1-2 ปี และมีการแข่งขันเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าคุณลงสนามระดับ Half Marathon ขึ้นไป และต้องการทำเวลาให้ดีที่สุด คู่นี้เวิร์คมากๆ

ถ้าซ้อมที่บ้านเป็นประจำ ใช้คู่กับลู่วิ่ง A5 หรือ X20 ได้ดีเลย เพราะทั้งคู่มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดี ช่วยถนอมรองเท้าแข่งที่มีอายุการใช้งานจำกัด ผมเคยใช้ Alphafly 3 ซ้อมบนลู่วิ่ง X20 ตอนใกล้วันแข่ง เพื่อให้เท้าคุ้นชินกับความรู้สึกของรองเท้า แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องผิวถนนที่ทำให้รองเท้าสึกเร็ว

ผมเจอนักวิ่งญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่งาน Tokyo Marathon บอกว่า “รองเท้าพวกนี้เหมือนเป็นเสื้อเกราะไอรอนแมน ใส่แล้วเราไม่ได้กลายเป็นไอรอนแมนทันที แต่ถ้าเราเก่งพอ มันจะช่วยให้เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” ผมว่ามันจริงนะ

2. adidas Adizero Adios Pro 4 — แชมป์ในใจสายเบาแรง

“ความรู้สึกเหมือนวิ่งบนกาวติดเมาส์แผ่นใหญ่ นุ่มนิดๆ แต่ส่งแรงได้เต็มที่”

ตอนที่ adidas เปิดตัว Adios Pro 4 ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะรุ่นก่อนหน้านี้ใส่แล้วปวดฝ่าเท้า แต่พอมีโอกาสได้ลองในงาน Run Expo ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผมเปลี่ยนใจเลย

วัสดุด้านบนของมันเบาสบายมาก แต่ไม่หลวมเหมือนรุ่นก่อน ส่วนโฟม Lightstrike Pro รุ่นใหม่ให้ความรู้สึกนุ่มกว่าเดิม แต่ไม่นุ่มจนเละ นึกภาพว่ามันเหมือนเวลาเรากดแป้งโดว์ แรกๆ จะนุ่ม แต่กดแรงๆ มันจะส่งแรงคืนกลับมา

ผมรู้จักกับโค้ชรันนิ่งคนหนึ่งที่ใช้รองเท้ารุ่นนี้มาตลอด เขาบอกว่า “adidas เหมือนแฟนเก่าที่เราเลิกกันไปแล้ว แต่พอมาเจอกันอีกที เขากลับดีขึ้น น่ารักขึ้น จนเราต้องกลับไปคบใหม่” 😂 ผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน!

วิ่งแล้วรู้สึกยืดหยุ่น แต่นุ่มแน่น คำว่า “นุ่มแน่น” อาจจะฟังดูขัดแย้ง แต่มันคือความรู้สึกจริงๆ เวลาใส่ Adios Pro 4 มันนุ่มพอที่จะสบายในระยะไกล แต่แน่นพอที่จะรู้สึกถึงการตอบสนองเวลาเร่งความเร็ว

การเปลี่ยนแปลงใหญ่สุดของรุ่น 4 คือการปรับปรุงพื้นรองเท้าให้กว้างขึ้น แก้ปัญหาความรู้สึกไม่มั่นคงในรุ่นก่อน โครงสร้างแผ่นคาร์บอนแบบ Energy Rods ช่วยให้การวิ่งเป็นธรรมชาติและมีความยืดหยุ่นมากกว่าแผ่นคาร์บอนแข็งๆ แบบเดิม

ผมต้องยอมรับว่าตัวนี้เป็นรองเท้าที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนวิ่งได้เร็วและไกลโดยไม่เมื่อยขา เพื่อนผมคนหนึ่งที่วิ่ง Ultra 100K บอกว่า “แค่เปลี่ยนมาใส่คู่นี้ ฉันประหยัดเวลาได้เกือบ 30 นาทีเลย โดยที่ขากลับบ้านยังเดินได้ปกติ ไม่ปวดเหมือนเดิม”

ใช้ดีทั้งระยะ Half และ Full Marathon ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Nike Alphafly 3 ผมว่า Adios Pro 4 อาจจะเด้งน้อยกว่า แต่มันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและสบายกว่าในระยะไกล ผมใส่มันวิ่ง Full Marathon ครั้งล่าสุดที่เชียงใหม่ จบที่ 342 โดยที่ช่วง 10 กิโลสุดท้ายไม่ได้ทรมานขาเหมือนทุกที

ที่สำคัญ adidas เขาถนัดเรื่องพื้นรองเท้า Continental ที่จับถนนได้ดีมาก ตอนวิ่งในวันที่ฝนตกที่เชียงใหม่ ผมรู้สึกมั่นใจกว่าเพื่อนที่ใส่ยี่ห้ออื่นเยอะ ไม่ลื่นแม้เหยียบพื้นเปียก

ปล. ถ้าใครอยากลองวิ่งกับ Adios Pro 4 แบบปลอดภัย ลองซ้อมบนลู่วิ่งก่อนได้ โดยเฉพาะลู่วิ่งที่มีระบบรองรับแรงกระแทกดีๆ จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวกับรองเท้าได้ง่ายขึ้น

3. HOKA Cielo X1 — เบาแต่นุ่มสุดสาย HOKA

“มันเหมือนยืนบนเค้กฟองน้ำที่จะดีดกลับทุกครั้งที่เรากด”

จะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง ตอนผมเห็น Cielo X1 ครั้งแรกในร้าน ผมหัวเราะออกมาเลย คิดในใจว่า “เออนี่ HOKA จะพิสูจน์ว่า ‘พื้นหนาไม่ใช่ตัวถ่วง’ ใช่ไหม?” เพราะมันหน้าตาเหมือน HOKA ทั่วไปที่พื้นหนาเตอะ

แต่พอได้จับ… โอ้โห น้ำหนักแค่ 210 กรัม! เบากว่า Nike Alphafly ซะอีก แถมยังนุ่มฟูน่าทึ่งมาก ผมยังจำวันที่เอามาลองวิ่งครั้งแรกบนลู่วิ่ง SONIC ที่บ้าน รู้สึกเหมือนวิ่งบนก้อนเมฆที่มีแรงส่ง

ดีไซน์เน้นฟอร์มและโฟมเด้งแรง จุดเด่นของ Cielo X1 คือ PEBA foam รุ่นใหม่ของ HOKA ที่เขาเรียกว่า PEBA Max ให้ความรู้สึกนุ่มกว่า ZoomX ของ Nike แต่เด้งไม่แพ้กัน และทนทานกว่าเยอะ

ที่ทึ่งมากคือการออกแบบ Rocker (ความโค้งของพื้นรองเท้า) ของมัน ช่วยให้การกลิ้งเท้าเป็นธรรมชาติมาก แม้พื้นหนา 40 มม. ก็ไม่รู้สึกเทอะทะ ต่างจาก HOKA รุ่นอื่นที่ผมเคยลอง

เพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นนักกายภาพบำบัดบอกว่า “HOKA เข้าใจกลไกการวิ่งของมนุษย์จริงๆ รองเท้าของเขาเหมือนทำให้วิธีวิ่งที่ถูกต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ” ผมเห็นด้วย Cielo X1 ทำให้การวิ่งของผมสม่ำเสมอและประหยัดพลังงานขึ้นเยอะ

ใส่วิ่งบนลู่วิ่งได้ดีมาก ปกติผมไม่ค่อยแนะนำให้ใช้รองเท้าแข่งซ้อมบนลู่วิ่ง แต่ Cielo X1 เป็นข้อยกเว้น เพราะความนุ่มของมันช่วยลดแรงกระแทกได้ดี โดยเฉพาะถ้าใช้กับลู่วิ่งรุ่น SONIC ที่มีระบบซับแรงกระแทกดี การคอมโบนี้ทำให้ข้อต่อแทบไม่ได้รับแรงกระทบเลย

ผมเอา Cielo X1 มาใส่ซ้อม Interval บนลู่วิ่ง SONIC ที่บ้านตามโปรแกรมที่โค้ชให้มา ผลคือสามารถทำความเร็วได้ดีกว่าปกติ 5-8 วินาทีต่อกิโล โดยที่รู้สึกเหนื่อยน้อยลง แถมวันรุ่งขึ้นข้อเข่าไม่ปวดเลย ทั้งที่ปกติผมจะมีอาการปวดเข่าเล็กน้อยหลังซ้อมหนัก

เพื่อนผมที่เป็นแพทย์กีฬาบอกว่า “การใช้รองเท้าที่นุ่มและมี Energy Return สูงร่วมกับพื้นลู่วิ่งที่ดี สามารถลดอัตราการบาดเจ็บได้ถึง 30%” ผมว่านี่เป็นเหตุผลที่ผมซ้อมได้หนักขึ้นในช่วงหลังโดยไม่มีอาการบาดเจ็บ

อย่างไรก็ตาม Cielo X1 ไม่เหมาะกับทุกคน ถ้าคุณเป็นนักวิ่งน้ำหนักเบา (ต่ำกว่า 60 กก.) อาจรู้สึกว่ามันนุ่มเกินไป ควบคุมยาก อันนี้ต้องไปลองใส่กันดูครับ

4. Saucony Endorphin Pro 4 — พัฒนามาไกล เหมาะกับสายสปีด

“เด้งสู้ Nike ได้ แต่ราคาเบากว่าหลายพัน”

เมื่อสองเดือนก่อน ตอนไปร่วมงานวิ่งที่หัวหิน ผมนั่งกินส้มตำอยู่กับเพื่อนนักวิ่งกลุ่มหนึ่ง เห็นพี่คนหนึ่งใส่ Endorphin Pro 4 สีสดใส ด้วยความอยากรู้เลยขอเขายืมมาลอง แค่วิ่งไป-กลับบนชายหาดแค่ 400 เมตร ผมก็รู้เลยว่าต้องหามาเป็นเจ้าของให้ได้

ตอนกลับกรุงเทพฯ ผมรีบไปหาซื้อทันที เป็นคู่เดียวที่ผมซื้อแล้วไม่ลังเลเลยในรอบหลายปี

Endorphin Pro 4 เป็นหนึ่งในรองเท้าที่พัฒนาขึ้นมากที่สุดจากรุ่นก่อนหน้า ตัวบนเปลี่ยนเป็นวัสดุใหม่ที่หายใจได้ดีขึ้น บางลง แต่กระชับเท้ามากขึ้น ส่วนโฟม PWRRUN PB ก็ปรับสูตรให้มีความทนทานมากขึ้น แต่ยังคงความเด้งแรงเหมือนเดิม

ที่ประทับใจมากคือ แผ่นคาร์บอนของมันแข็งแรงแต่มีความยืดหยุ่น ไม่ได้รู้สึกแข็งกระด้างเหมือนบางรุ่น ทำให้การวิ่งรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก ผมวิ่งระยะ 10K ด้วยความเร็ว 430/กม. รู้สึกสบายกว่าที่คิด เหมือนมีใครช่วยดันเท้าไปข้างหน้าตลอดเวลา

พี่เจ้าของร้านรองเท้าวิ่งที่ผมรู้จักบอกว่า “Saucony เป็นแบรนด์ที่คนมองข้าม แต่รองเท้าแข่งของเขาเทียบกับ Nike ได้สบาย ต่างกันที่ไม่ได้ทุ่มงบการตลาดเท่านั้นเอง” ผมเห็นด้วยสุดๆ

เรื่องน่าสนใจคือ Endorphin Pro 4 ราคาถูกกว่า Nike Alphafly 3 และ Adidas Adios Pro 4 ประมาณ 25-30% ทั้งที่ประสิทธิภาพไม่ได้ต่างกันมาก ถ้าใครงบจำกัดแต่อยากได้รองเท้าแข่งคุณภาพสูง ผมแนะนำคู่นี้เลย

ผมใช้คู่นี้ซ้อม Interval บนลู่วิ่งเกือบทุกสัปดาห์ ด้วยความที่มันเบาและมี Speedroll ทำให้การวิ่งที่ความเร็วสูงสบายและมีประสิทธิภาพมาก ซ้อมเสร็จไม่ปวดเมื่อยเหมือนก่อน

5. New Balance SC Elite v4 — เด่นเรื่องแรงส่ง + Rocker เด้ง

“เหมือนมีใครช่วยดันเท้าเราไปข้างหน้าตลอดเวลา ที่สำคัญ มันดูดีมากกกก”

New Balance เป็นแบรนด์ที่ผมรู้สึกว่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากแบรนด์ที่ดูเชยๆ กลายเป็นแบรนด์ที่ทั้งสวยและใช้งานดี

ผมได้ SC Elite v4 มาจากเพื่อนที่เป็นตัวแทนจำหน่าย คู่นี้โดดเด่นมากเรื่องดีไซน์ สีสันสดใส รูปทรงสวย ใส่วิ่งก็ดีใส่เดินเล่นก็เท่

นักวิ่งเท้าหนักก็วิ่งได้ลื่น SC Elite v4 มีพื้นกว้างกว่ารุ่นอื่นๆ ในลิสต์นี้ ทำให้รู้สึกมั่นคง ไม่โคลงเคลง ผมมีเพื่อนนักวิ่งร่างใหญ่ น้ำหนัก 85 กิโลกรัม เขาบอกว่า “นี่เป็นรองเท้าแข่งแรกที่ฉันใส่แล้วไม่รู้สึกว่าจะล้มตลอดเวลา”

โฟม FuelCell รุ่นใหม่ของ New Balance นุ่มกำลังดี ไม่นุ่มจนยวบเหมือน HOKA แต่ก็ไม่แข็งเหมือน ASICS เรียกว่าอยู่ตรงกลางพอดี แต่ที่เด่นคือความรู้สึก responsive เวลาออกตัว มันจะให้พลังงานคืนทันที

แผ่นคาร์บอนของมันถูกออกแบบให้มีความโค้งที่เรียกว่า Energy Arc ช่วยส่งแรงได้ดีมาก รู้สึกได้ชัดเวลาเร่งความเร็ว และทำให้การวิ่งที่ steady pace สบายกว่าที่คิด

ผมเคยเอา SC Elite v4 ไปวิ่งทดสอบที่ลู่วิ่ง X20 ที่บ้านเพื่อน ซึ่งมีระบบปรับความชันอัตโนมัติ ตอนปรับความชันขึ้น รู้สึกได้ว่ารองเท้าช่วยดันเท้าไปข้างหน้าได้ดีมาก ทำให้วิ่งขึ้นเขาได้สบายกว่าที่คิด เพื่อนผมบอกว่า “ถ้าจะซื้อรองเท้าคู่เดียวที่ใช้ได้ทั้งซ้อมเร็วและแข่ง SC Elite คือตัวเลือกที่ดีที่สุด”

แต่ข้อเสียที่ผมต้องบอกคือ พื้นรองเท้ามันลื่นนิดนึงเวลาเจอพื้นเปียก

6. ASICS Metaspeed Sky Paris — รุ่นนี้ผมใช้เองกับสนามต่างประเทศ

“อาจจะไม่ได้เด้งเท่า Nike แต่ใส่นานเท่าไรก็ไม่เมื่อย วิ่ง 42.195 กม. จบมาเท้ายังสบาย”

คู่นี้เป็นรองเท้าที่ผมลงทุนซื้อเอง หลังจากได้ยินเพื่อนนักวิ่งยกย่องกันหนาหู เอาตรงๆ ผมนี่แหละที่ไม่เชื่อว่า ASICS จะทำรองเท้าแข่งได้ดี เพราะภาพจำผมคือรองเท้า ASICS หนักๆ นั่นแหละ

แต่พอได้ลองใส่ Metaspeed Sky Paris… เฮ้ย! ทำไมมันใส่สบายจัง? ตอนแรกดูเผินๆ มันดูเหมือนรองเท้าวิ่งธรรมดา ไม่ได้ดูล้ำสมัยเท่า Nike หรือ Adidas แต่พอใส่วิ่ง มันทำให้ผมอยากวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

เรื่องนี้ผมไม่ได้โม้นะ เมื่อปีที่แล้วผมใส่มันวิ่ง Paris Marathon ซึ่งเป็นงานที่มันร้อนมากกกก วิ่งได้ 30 กิโลเมตร ผมนึกว่าเท้าจะพัง (ทุกครั้งที่วิ่งระยะนี้ ฝ่าเท้าผมจะเริ่มปวดแสบปวดร้อน) แต่กับ Metaspeed นี่เท้าสบายจนจบเลย จบมาแค่เล็บช้ำนิดหน่อย ส่วนฝ่าเท้าไม่มีอาการใดๆ ทั้งๆ ที่ภาพจำนักวิ่งมักจะเป็นภาพคนเดินขากะเผลกหลังวิ่งมาราธอน

สุดยอดสำหรับสายมาราธอน เน้น Pace คงที่ Metaspeed Sky Paris มีจุดเด่นที่ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะวิ่งกี่กิโลเมตร มันให้ความรู้สึกเหมือนเดิม ไม่มียุบ ไม่มีอ่อนตัว ผมคุยกับวิศวกรของ ASICS ที่งานวิ่งครั้งล่าสุด เขาบอกว่าเขาออกแบบโฟม FF BLAST TURBO ให้ทนต่อการกดซ้ำๆ ได้ดีกว่าโฟม PEBA ทั่วไป

ผมชอบที่ upper ของมันบางและระบายอากาศดีมาก วิ่งหน้าร้อนเท้าไม่อบอ้าว เคยใส่วิ่งตอนฝนพรำๆ ที่หัวหิน เท้าเปียกนิดหน่อย แต่ไม่ได้รู้สึกหนักหรืออึดอัดเลย

แผ่นคาร์บอนของ ASICS ดูจะแข็งกว่ายี่ห้ออื่นเล็กน้อย แต่กลับทำให้การวิ่งที่ pace คงที่สบายมาก ผมรู้สึกว่าใส่คู่นี้แล้ววิ่งแบบ “กดค้างไว้” ได้ดี ถ้าใครเป็นสาย negative split หรือชอบวิ่ง pace คงที่ นี่คือรองเท้าที่ใช่

เพื่อนนักวิ่งผู้หญิงของผมที่วิ่ง Sub-4 มาราธอนได้ บอกว่า “Metaspeed คือรองเท้าที่ช่วยให้ฉันสามารถรักษา pace ได้ดีที่สุด แม้ในช่วง Wall หรือเมื่อเริ่มเหนื่อย”

อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือความคงทน ตอนนี้ผมวิ่งไปแล้วประมาณ 300 กิโลเมตร แต่รองเท้ายังดูใหม่ ต่างจาก Alphafly หรือ Vaporfly ที่โฟมเริ่มยุบหลังวิ่งไป 100-150 กิโล นี่อาจจะเป็นข้อดีสำหรับคนที่ไม่อยากซื้อรองเท้าบ่อยๆ

ถ้าใครชอบซ้อมที่บ้าน ผมใช้มันซ้อมบนลู่วิ่ง X20 ด้วย มันช่วยให้ซ้อมระยะไกลสบายขึ้นมาก โดยเฉพาะ long run ที่ต้องวิ่ง 30 กิโลเมตรขึ้นไป

7. Brooks Hyperion Elite 4 — สายวิ่งอเมริกันต้องลอง

“รองเท้าที่เปลี่ยนความคิดผมเกี่ยวกับ Brooks เลย บางทีเขาไม่ได้ทำแค่รองเท้าคนแก่นี่นา!”

อันนี้ต้องสารภาพว่าผมมีอคติกับ Brooks มานาน ภาพจำผมคือรองเท้าที่ดูเชย หนัก เหมาะกับผู้สูงอายุ… แต่พอได้เห็น Hyperion Elite 4 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และได้ลองวิ่ง ผมเปลี่ยนความคิดไปเลย!

บังเอิญมากที่งาน Amazing Thailand Marathon ที่ผ่านมา ผมเจอบูธ Brooks ที่มีโปรโมชั่นให้ทดลองวิ่งรอบสวนลุมฯ ผมเลยลองสวมแล้ววิ่งไป 2 กิโล พอกลับมาผมถามคนขายซื่อๆ เลยว่า “เฮ้ย นี่ Brooks จริงเหรอ?” 😂 เขาหัวเราะลั่นเลย

พื้นบาง เด้งแน่น เน้นสปีดต้นถึงกลาง Hyperion Elite 4 มีความพิเศษตรงที่พื้นรองเท้าบางกว่ารุ่นอื่นในลิสต์นี้ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับพื้นมากกว่า แต่ก็ยังมีแผ่นคาร์บอนและโฟม DNA Flash ที่ให้การส่งแรงดีเยี่ยม

ผมรู้สึกว่ามันวิ่งสบายมากในช่วง 5K ถึง Half Marathon เพราะมันเบา (ประมาณ 215 กรัม) และตอบสนองไว วิ่ง 10K ด้วยความเร็ว 420/กม. รู้สึกสบายกว่าที่เคย แต่พอวิ่งเลย 25 กิโลขึ้นไป เริ่มรู้สึกว่าการปกป้องเท้าอาจจะน้อยไปหน่อย

เพื่อนผมที่เป็นนักวิ่งอเมริกันบอกว่า Brooks เป็นแบรนด์ที่ใหญ่มากในอเมริกา เพราะใส่สบาย และมีความคงทนสูง เขาบอกว่า “ทุกคนที่ฉันรู้จักที่ใส่ Brooks จะใช้ให้รองเท้าพังเลย ก่อนซื้อคู่ใหม่ ไม่เหมือนแบรนด์อื่นที่เป็นกระแสแล้วคนรีบเปลี่ยน”

เรื่องที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ แม้จะมีแผ่นคาร์บอน แต่ความรู้สึกตอนวิ่งเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้รู้สึกเหมือนใส่รองเท้าเสริมพลัง ผมชอบมากสำหรับการวิ่งที่ต้องใช้สปีด เช่น การซ้อม Interval หรือการแข่ง 5K-10K

ผมว่าคู่นี้เหมาะสำหรับนักวิ่งที่ชอบความเรียบง่าย ฟีลธรรมชาติ แต่ยังอยากได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีรองเท้าสมัยใหม่ อาจจะเหมาะกับคนที่เคยใช้รองเท้าแบบมินิมอลมาก่อน อยากเปลี่ยนมาลองรองเท้าแบบมีแผ่นคาร์บอน แต่ไม่อยากรู้สึกแตกต่างจากเดิมมาก

หลังจากทดลองใส่ ผมเอาไปซ้อมบนลู่วิ่งที่บ้าน ใช้คู่กับลู่วิ่ง A5 ที่มีระบบลดแรงกระแทกดี รู้สึกสบายมากแม้วิ่งระยะยาว มันเป็นการชดเชยความบางของรองเท้าด้วยพื้นลู่ที่นุ่ม

8. On Cloudmonster Hyper — สวย เด่น ใส่ได้ทั้งวิ่งจริงและเท่ในชีวิตประจำวัน

“รองเท้าที่ไม่รู้ว่าซื้อมาใส่วิ่งหรือใส่เท่ กันแน่… แต่ที่แน่ๆ คือมันเริ่ดมากกกก!”

On เป็นแบรนด์ที่ผมรู้สึกว่ามีพัฒนาการน่าทึ่งมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากแบรนด์เล็กๆ ตอนนี้กลายเป็นแบรนด์ที่มาแรงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบงานดีไซน์

ผมได้ Cloudmonster Hyper มาจากเพื่อนที่เป็นพนักงาน On ในสิงคโปร์ ตอนเห็นมันในกล่องรู้สึกเลยว่า “เฮ้ย นี่มันอาร์ตมาก!” ลายบนรองเท้ามันเท่มาก แบบดูแล้วรู้ว่าไม่เหมือนใคร เหมือนรองเท้าจากหนัง sci-fi

เอามาใส่เดินไปกินข้าวที่สยาม มีคนมองอยู่บ่อยๆ เพราะมันสะดุดตา ใส่แล้วคูลมาก แต่หลายคนคงสงสัยว่า “แล้วมันวิ่งดีไหม?”

ตอบเลยว่า คู่นี้เซอร์ไพรส์ผมมาก! ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากตอนเอามาวิ่ง คิดว่าเป็นแค่รองเท้าสวยๆ แต่มันวิ่งได้ดีจริงๆ โฟม Helion Hyper ให้ความรู้สึกนุ่มก๋วยเตี๋ยว แต่กระเด้งเวลากดเท้า

ระบบ CloudTec ที่เป็นเอกลักษณ์ของ On ช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดีมาก ผมลองวิ่งเทสต์บนลู่วิ่งที่บ้านด้วยความเร็ว 500/กม. ประมาณ 15 กิโล รู้สึกสบายตลอดระยะทาง

ผมว่า On เขาเก่งมากที่ทำให้รองเท้าที่ดูดีและวิ่งดีได้ในเวลาเดียวกัน มันหายากนะที่รองเท้าคู่หนึ่งจะสวยจนอยากใส่ไปเที่ยว แต่ก็วิ่งได้ดีพอที่จะใช้ซ้อมและแข่งได้จริง

เพื่อนนักวิ่งผู้หญิงของผมคนหนึ่งบอกว่า “ฉันซื้อ On เพราะมันสวย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นรองเท้าวิ่งคู่โปรดฉันไปแล้ว เพราะมันใส่สบายมาก และยังเอาไปใส่เที่ยวได้ด้วย”

ข้อสังเกตเล็กๆ คือ ตอนใส่ครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ เพราะพื้นรองเท้ามันมีความรู้สึกเฉพาะตัว แต่หลังจากวิ่งไป 2-3 ครั้ง จะเริ่มชินและรู้สึกว่ามันสบายมาก

อ้อ ผมลองเอา Cloudmonster Hyper ไปใส่ทดสอบวิ่งบนลู่วิ่ง SONIC ที่บ้านเพื่อน ซึ่งเป็นลู่วิ่งที่พื้นนุ่มๆ แล้วรู้สึกว่ามันเข้ากันได้ดีมาก พื้นลู่วิ่งช่วยรองรับแรงกระแทกเพิ่มเติม ทำให้วิ่งสบายมากๆ

9. PUMA Fast R-2 NITRO Elite — แรงขึ้นทุกย่างก้าว

“มันพาผมลืมไปเลยว่า PUMA เคยทำรองเท้าวิ่งห่วยแค่ไหน อันนี้เจ๋งจริงๆ”

PUMA เป็นอีกแบรนด์ที่ผมเคยมองข้ามมานาน มีอคติว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นมากกว่ารองเท้าวิ่งจริงจัง แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา PUMA ทุ่มทุนหนักมากเรื่องรองเท้าวิ่ง จนตอนนี้ผลิตรองเท้าวิ่งที่แข่งขันกับแบรนด์ชั้นนำได้

Fast R-2 NITRO Elite เป็นรองเท้าแข่งรุ่นล่าสุดของ PUMA ที่มาพร้อมเทคโนโลยีเต็มพิกัด ผมได้ลองใส่ตอนไปงาน PUMA Running Club ที่เชิญนักวิ่งมาทดสอบรองเท้ารุ่นใหม่

แรงขึ้นทุกย่างก้าว สิ่งแรกที่สังเกตคือมันเบามาก! น้ำหนักแค่ 190 กรัม รู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย แต่พอเริ่มวิ่ง จะรู้สึกได้ถึงพลังที่ส่งกลับมาทุกก้าว โฟม NITRO Elite ให้ความรู้สึกตื๊บทุกครั้งที่เท้ากระทบพื้น ผมเปรียบเทียบมันเหมือนกับการกดบนกระดานสปริง

แผ่นคาร์บอนของมันก็แปลกตา ไม่ได้เป็นแผ่นแข็งเหมือนแบรนด์อื่น แต่เป็นแท่งคาร์บอนหลายๆ แท่งวางขนานกัน ทำให้การกลิ้งเท้าเป็นธรรมชาติมาก วิ่งเร็วก็ดี วิ่งช้าก็ดี ไม่ได้รู้สึกแข็งเหมือนบางคู่

ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ PUMA ที่ผมได้คุยด้วยบอกว่า “เราออกแบบ Fast R-2 สำหรับนักวิ่งที่ต้องการสปีดแต่ไม่ยอมแลกกับความสบาย” ซึ่งผมเห็นด้วยสุดๆ มันคือรองเท้าที่ใส่แล้วเร็ว แต่ไม่ทรมานเท้า

Upper ของมันก็เจ๋งมาก บางแต่กระชับ และระบายอากาศดีเยี่ยม ผมใช้มันวิ่งวันที่อากาศร้อนมาก รู้สึกได้ว่าเท้าไม่อบอ้าวเลย

มักเห็นใช้คู่กับลู่วิ่งบ้านรุ่น A3 หรือ A5 ผมสังเกตเห็นว่ามีลูกค้าหลายคนที่ซื้อลู่วิ่ง A3 หรือ A5 ไป มักจะใช้รองเท้า PUMA Fast R-2 ในการซ้อม อาจเป็นเพราะความเบาและรองรับแรงกระแทกดี เหมาะกับการซ้อมสปีดบนลู่วิ่ง

ผมเองก็เคยลองใส่มันวิ่งบนลู่วิ่ง A5 รู้สึกว่าเข้ากันได้ดีมาก เพราะพื้นลู่วิ่งช่วยซับแรงกระแทก ทำให้สามารถวิ่งเร็วได้โดยไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

แต่ต้องบอกตรงๆ ว่า PUMA Fast R-2 มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้น ผมใช้มาประมาณ 170 กิโลเมตร เริ่มรู้สึกว่าโฟมเสื่อมสภาพแล้ว การกระเด้งลดลง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็คุ้มค่ามากสำหรับรองเท้าแข่ง

10. Mizuno Wave Rebellion Pro 2 — เด้ง ลื่น ใส่แล้วมั่นใจ

“ญี่ปุ่นมาเต็ม รองเท้าที่ใส่แล้วรู้สึกเร็วขึ้นทันที แถมใส่วิ่งวันฝนตกยังมั่นใจ!”

ต้องบอกก่อนว่า Mizuno เป็นแบรนด์ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นมาก คนที่ใช้ Mizuno มักจะใช้ต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแบรนด์ แต่คนที่ไม่เคยใช้ ก็มักจะไม่ลองใช้ด้วย

ผมเป็นคนกลุ่มหลัง ที่ไม่เคยสนใจ Mizuno มาก่อน จนกระทั่งเพื่อนญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทยพกเอา Wave Rebellion Pro 2 มาด้วย และให้ผมลองใส่

เด้ง ลื่น ใส่แล้วมั่นใจ โอโห้! นี่คือความรู้สึกแรกเมื่อได้ลองวิ่ง มันแข็งนิดหน่อย แต่ให้การตอบสนองที่ดีมาก โฟม MIZUNO ENERZY LITE ให้ความรู้สึกหนึบ ไม่นุ่มเหมือนแบรนด์อื่น แต่พอวิ่งเร็วขึ้น จะรู้สึกว่ามันส่งแรงกลับมาได้ดีเยี่ยม

ผมชอบที่พื้นรองเท้าของมันมีลายดอกที่จับถนนได้ดี ลองวิ่งตอนฝนตกเล็กน้อย ยังรู้สึกเกาะถนนได้ดี ไม่ลื่น ซึ่งเป็นจุดอ่อนของรองเท้าแข่งหลายรุ่น

พอลองวิ่งได้ราว 5 กิโลเมตร ผมรู้สึกว่ามันเริ่มนุ่มขึ้นและปรับเข้ากับเท้าได้ดี แปลกดีที่มันเริ่มจากแข็งนิดหน่อย แล้วค่อยๆ นิ่มขึ้นระหว่างวิ่ง

เพื่อนญี่ปุ่นของผมบอกว่า “Mizuno ใช้เวลาพัฒนารองเท้าคู่นี้นานมาก เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะเป็นรองเท้าแข่งที่ไม่เพียงแต่เร็ว แต่ยังปลอดภัยและใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ” ซึ่งผมเห็นด้วย มันรู้สึกเหมือนรองเท้าที่ผ่านการทดสอบมาอย่างดี

ผมชอบที่มันมีทั้งความเร็วของรองเท้าแข่ง แต่ยังมีความน่าเชื่อถือแบบรองเท้าซ้อม ไม่ได้รู้สึกบอบบางเหมือนบางรุ่นที่กลัวว่าจะพังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

หลังจากได้ลองใส่ ผมเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ Mizuno และคิดว่าจะซื้อเป็นเจ้าของในเร็วๆ นี้ มันไม่ใช่แบรนด์เจ๋งสุดหรือฮิตสุด แต่คุณภาพเยี่ยมจริงๆ

 

รองเท้าวิ่งสำหรับสายซ้อม-เดินเบา ใส่สบายทุกวัน

“อย่าลืมว่า 80% ของการซ้อมของคุณควรเป็นการวิ่งเบาๆ รองเท้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันจึงสำคัญกว่ารองเท้าแข่งซะอีก”

พูดถึงรองเท้าแข่งมาเยอะแล้ว ทีนี้มาพูดถึงรองเท้าที่จริงๆ แล้วคุณจะใช้มากกว่ากันดีกว่า นั่นคือรองเท้าสำหรับซ้อมปกติและเดินเบาๆ ในชีวิตประจำวัน

ตอนผมเริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมวิ่งวันละ 5 กิโลทุกวันด้วยรองเท้าคู่เดียว จนกระทั่งเข่าพัง เพราะรองเท้าไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้หนักขนาดนั้น ตอนนี้ผมมีรองเท้าซ้อม 2 คู่ สลับกันใช้ และเปลี่ยนทุก 500-600 กิโลเมตร นี่เป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้ผมไม่บาดเจ็บมานานแล้ว

HOKA Mach 6 เมื่อต้นปีนี้ ผมซื้อ HOKA Mach 6 มาลองใส่ ต้องบอกว่านี่คือรองเท้าซ้อมที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก ทั้งเบาแต่ก็ให้ cushion เพียงพอ วิ่งระยะกลางสบายมาก พอใส่ครั้งแรกผมวิ่งไป 14 กิโลโดยไม่รู้ตัว มันนุ่มแต่ไม่นุ่มจนยวบเหมือน Bondi หรือ Clifton

เพื่อนผมที่เป็นครูสอนวิ่งบอกว่า “Mach 6 เหมือนรองเท้าลูกครึ่งระหว่างรองเท้าซ้อมกับรองเท้าแข่ง มันเบาพอที่จะใช้วิ่งเร็ว แต่ทนพอที่จะใช้ซ้อมทุกวัน”

สิ่งที่ผมชอบคือน้ำหนักเบามาก แค่ 232 กรัม แต่ให้การปกป้องเท้าได้ดี ใส่วิ่งบนลู่วิ่ง A1 ที่บ้านแล้วรู้สึกเบาลอย แต่ก็ได้การปกป้องเพียงพอ เวลาเพิ่มความเร็ว มันไม่ได้ตอบสนองเร็วเท่ารองเท้าแข่ง แต่ก็ไม่รู้สึกอืดเหมือนรองเท้าซ้อมทั่วไป

ที่น่าแปลกคือ HOKA Mach 6 นี่ยิ่งใช้ยิ่งชอบ ช่วงแรกผมไม่ได้ประทับใจมาก แต่ใช้ไปสัก 100 กิโลกลับรู้สึกว่ามันเข้ากับเท้ามากขึ้น ตอนนี้ใช้มา 300 กิโลแล้ว ยังดูใหม่เอี่ยม แสดงว่าความทนทานดีมาก คุ้มสุดๆ กับราคาประมาณ 4,xxx บาท

Nike Pegasus 41 รองเท้าซ้อมระดับตำนานที่มาถึงรุ่น 41 แล้ว ต้องบอกเลยว่า Nike ปรับปรุงได้ดีขึ้นมาก หลังจากรุ่น 37-39 ที่มีปัญหาเรื่อง Fit และความหนักของรองเท้า

Pegasus 41 ใส่สบายตั้งแต่ครั้งแรก ความรู้สึกแน่นแต่ไม่อึดอัด คุณรู้ไหม รองเท้ารุ่นนี้ผมไม่ต้องเสียเวลา “breaking in” เลย ใส่วันแรกวิ่ง 10 กิโลสบายมาก

โฟม React ให้ความนุ่มพอดี ไม่นุ่มเกินไป ไม่แข็งเกินไป ผมลองใส่มันวิ่งทุกแบบ ตั้งแต่วิ่งเบาๆ ไปจนถึงซ้อม interval บนลู่วิ่ง A3 มันรองรับได้หมด

ชาวบ้านรู้กันดีว่า Pegasus เป็นรองเท้าอเนกประสงค์ แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ รุ่น 41 นี้มีการปรับปรุงเรื่องน้ำหนักให้เบาลง 10% จากรุ่นก่อน และเพิ่มความกว้างของ toe box ทำให้สบายเท้ามากขึ้น

พี่เจ้าของร้านรองเท้าวิ่งที่ผมสนิทด้วยบอกว่า “Pegasus เป็นรองเท้าที่ขายดีที่สุดในร้านตลอดกาล ทุกรุ่นที่ออกมา ไม่เคยมีลูกค้าผิดหวังกลับมา รุ่น 41 นี่ถือว่าเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในรอบหลายปี”

ถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือไม่รู้จะเลือกรองเท้าคู่ไหนดี Nike Pegasus 41 คือตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด และเหมาะกับการใช้ซ้อมบนลู่วิ่งเบาๆ อย่าง A1 ที่เน้นการเดินและวิ่งเบาๆ

ASICS Novablast 4 อันนี้ต้องพูดเลยว่าเป็นรองเท้าที่เซอร์ไพรส์ผมมากที่สุดในปีนี้! ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจ ASICS Novablast เพราะคิดว่าโฟม FF Blast เป็นโฟมเก่า ไม่น่าจะสู้โฟมใหม่ๆ อย่าง ZoomX หรือ PEBA ได้

แต่หลังจากเพื่อนแนะนำให้ลอง ผมตัดสินใจซื้อ Novablast 4 มาใช้ โอ้วววว! มันกระโดดฉีกกฎทุกอย่างเลย! โฟม FF Blast Plus ให้ความรู้สึกนุ่มพิเศษ แต่ไม่นุ่มจนยวบ และเด้งดีมาก

นี่คือรองเท้าที่สร้างความสุขในการวิ่ง! มันไม่ได้เน้นความเร็ว แต่ให้ความรู้สึกสนุก เหมือนมีแรงดีดเล็กๆ ทุกก้าว ผมใส่มันวิ่งได้ทุกระยะตั้งแต่ 5 กิโลไปจนถึง 30 กิโล ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง

เล่าให้ฟังเลยว่า เมื่อเดือนที่แล้วผมพา Novablast 4 ไปวิ่งจริงจังในงาน Half Marathon ที่เขาใหญ่ ช่วงเสร็จงานฝนตกหนักมาก พื้นเปียกลื่น แต่ดอกยางของ Novablast 4 จับพื้นได้ดีมาก วิ่งลงเขาไม่มีลื่นเลย

ผมชอบอีกอย่างคือความทนทาน ตอนนี้ผมใช้มา 450 กิโลแล้ว โฟมยังเด้งดีเหมือนเดิม ไม่มีอาการยุบเหมือนรองเท้าโฟมนุ่มๆ บางรุ่น คุ้มค่ามากสำหรับรองเท้าซ้อมราคา 4,xxx บาท

สรุปสั้นๆ คือ ถ้าคุณไม่เชื่อว่ารองเท้าซ้อมธรรมดาจะทำให้คุณรู้สึกอยากวิ่งออกไปทุกวัน ลอง Novablast 4 ดู มันจะเปลี่ยนความคิดคุณ

ผมชอบใช้มันคู่กับลู่วิ่งรุ่น CX8 ที่เป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า มันเข้ากันได้ดีมาก เพราะ Novablast ให้แรงเด้งที่ช่วยเสริมการวิ่งบนลู่แบบไม่ใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้แรงมากกว่าปกติ

 

รองเท้าวิ่งผู้หญิง 2025 ที่ควรมี

“นักวิ่งผู้หญิงไม่ใช่แค่ผู้ชายตัวเล็ก เท้าเรามีรูปทรง สัดส่วน และการเคลื่อนไหวที่ต่างกัน รองเท้าก็ควรออกแบบมาให้เหมาะกับเราโดยเฉพาะ”

นี่คือคำพูดของเพื่อนนักวิ่งผู้หญิงของผมที่วิ่งมาราธอนมาแล้วกว่า 20 สนาม ตอนได้ยินผมก็คิดอยู่ในใจว่า “จริงแฮะ ทำไมเราไม่ค่อยพูดถึงรองเท้าสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะเลย?”

เลยอยากแชร์ประสบการณ์ที่ได้คุยกับนักวิ่งผู้หญิงหลายคน รวมถึงการสังเกตลูกค้าผู้หญิงที่มาซื้อลู่วิ่งจากผม ว่าพวกเธอชอบรองเท้าวิ่งแบบไหนกัน

ดีไซน์เบา ฟอร์มเหมาะกับหน้าเท้า ข้อมูลที่คนอาจไม่รู้คือ ผู้หญิงมักมีรูปเท้าที่ต่างจากผู้ชาย โดยเฉลี่ยเท้าจะแคบกว่าที่ส้นเท้า แต่หน้าเท้าอาจกว้างพอๆ กัน และมีอุ้งเท้าที่สูงกว่า

รองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะจะคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่แค่เอารองเท้าผู้ชายมาย่อส่วนแล้วทำสีสวยๆ

นอกจากนี้ น้ำหนักตัวเฉลี่ยของผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชาย ทำให้บางทีรองเท้าที่ออกแบบมาให้เหมาะกับน้ำหนักผู้ชาย อาจจะแข็งเกินไปสำหรับผู้หญิง หรือตอบสนองได้ไม่ดีพอ

เพื่อนนักวิ่งผู้หญิงของผมบอกว่า “รองเท้าที่ดีสำหรับผู้หญิงต้องให้ความมั่นคงที่ข้อเท้า แต่ไม่บีบหน้าเท้าจนอึดอัด แล้วก็ต้องไม่หนักเกินไป เพราะเรามักจะมีกล้ามเนื้อขาที่น้อยกว่าผู้ชาย ถ้ารองเท้าหนัก ขาจะล้าเร็ว”

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจคือ มีงานวิจัยพบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการบาดเจ็บที่เข่ามากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอาการ Runner’s knee เนื่องจากมุมระหว่างสะโพกและเข่า (Q-angle) ที่กว้างกว่า รองเท้าที่มีการรองรับที่ดีจึงสำคัญมาก

New Balance Fresh Foam 1080v13 รองเท้าซ้อมที่ผู้หญิงหลายคนบอกว่าใส่สบายสุดๆ ในปี 2025 นี้! Fresh Foam X ให้ความนุ่มกำลังดี ไม่นุ่มจนเละ แต่นุ่มพอที่จะปกป้องข้อต่อได้ดี

จุดเด่นคือ upper ที่ถักแบบ knit ยืดหยุ่นตามรูปเท้า ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักมีปัญหาเรื่องความกว้างของหน้าเท้า แต่รุ่นนี้แก้ไขปัญหานั้นได้ดี

เพื่อนผู้หญิงที่วิ่ง Half Marathon เป็นประจำบอกว่า “1080 คือรองเท้าคู่เดียวที่ฉันสามารถใส่วิ่ง 20 กิโลโดยไม่รู้สึกปวดเลย แถมยังสามารถใส่เดินเล่นต่อได้ทั้งวัน” นี่เป็นความคิดเห็นที่ผมได้ยินบ่อยมากจากลูกค้าผู้หญิงที่มาซื้อลู่วิ่ง

New Balance เขาเก่งเรื่องการทำรองเท้าหลายความกว้าง มี narrow, standard และ wide ให้เลือก ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิงที่มักมีปัญหาเรื่องการหารองเท้าที่พอดีกับเท้า

ผมสังเกตเห็นว่าลูกค้าผู้หญิงที่ซื้อลู่วิ่ง A1 ไปใช้ที่บ้าน มักจะชอบใช้คู่กับรองเท้ารุ่นนี้ เพราะมันเบาและนุ่ม เหมาะกับการซ้อมเบาๆ ประจำวัน

HOKA Clifton 9 นี่คือรองเท้าที่สาวๆ ในวงการวิ่งพูดถึงกันมากที่สุดในปีนี้ ผมว่ามันเป็นเพราะความนุ่มที่ไม่เหมือนใคร HOKA เข้าใจความต้องการของนักวิ่งผู้หญิงดีมาก

Clifton 9 นุ่มมากกกก แต่ไม่ได้หนาและอ้วนเทอะทะเหมือน Bondi มันเบาเพียง 215 กรัม สำหรับไซส์ผู้หญิง ซึ่งเบากว่ารองเท้าซ้อมทั่วไปมาก

เวลาเห็นผู้หญิงใส่ Clifton วิ่ง จะสังเกตเห็นได้ชัดว่าพวกเธอดูสบายมาก ฟอร์มการวิ่งไหลลื่น ไม่กระตุก เพราะความโค้งพิเศษของพื้นรองเท้า (Meta-Rocker) ช่วยให้การกลิ้งเท้าเป็นธรรมชาติ

เพื่อนผู้หญิงที่เป็นนักกายภาพบำบัดบอกผมว่า “Clifton เป็นรองเท้าที่ฉันแนะนำให้ผู้ป่วยผู้หญิงที่มีปัญหาเข่าใส่มากที่สุด มันช่วยลดแรงกระแทกได้ดีมาก และเบา ไม่เพิ่มภาระให้ขา”

สีสันของ Clifton 9 ในปีนี้ก็สดใสมาก มีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งผู้หญิงหลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย “ใส่วิ่งก็ดี ใส่เที่ยวก็เก๋” นี่คือคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ

Nike Winflo 11 รองเท้าที่น่าสนใจมากสำหรับนักวิ่งผู้หญิงที่ต้องการความคุ้มค่า Winflo 11 ราคาเพียง 3,xxx บาท แต่คุณภาพเกินราคามาก

ผมเคยแนะนำ Winflo 11 ให้ลูกค้าผู้หญิงหลายคนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง และผลตอบรับดีมาก พวกเธอชอบที่มันเบา (ประมาณ 228 กรัม) แต่ยังให้ความมั่นคงและการรองรับแรงกระแทกที่ดี

สิ่งที่ Nike ทำได้ดีใน Winflo 11 คือการวางตำแหน่ง Zoom Air ใต้ส้นเท้าและหน้าเท้า ซึ่งช่วยในการรองรับแรงกระแทกและการส่งแรงดีขึ้น แม้ไม่ได้ใช้โฟมระดับพรีเมียมเหมือนรุ่นแพงๆ

เพื่อนผู้หญิงของผมที่เป็นโค้ชวิ่งมือใหม่บอกว่า “Winflo คือรองเท้าที่ฉันแนะนำให้ลูกศิษย์ผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มวิ่งมากที่สุด มันคุ้มค่า ใส่สบาย และมีความทนทานเพียงพอสำหรับการซ้อม 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์”

จุดเด่นอีกอย่างคือ ดีไซน์สวย ไม่ได้ดูเชยหรือราคาถูก แถมยังมีหลายสีให้เลือก ผมเองก็ใช้มันคู่กับลู่วิ่ง A1 ที่บ้านเวลามีเพื่อนผู้หญิงมาขอลองวิ่ง เธอมักจะชอบความรู้สึกเบาและคล่องตัวของมัน

 

รองเท้าวิ่งสำหรับมือใหม่ ราคาดี ใส่สบาย

“ถ้าคุณเพิ่งเริ่มวิ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้รองเท้าราคาแพง แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับเท้าและการใช้งาน”

ตอนผมเริ่มวิ่งใหม่ๆ ผมทุ่มเงินกว่า 6,000 บาทซื้อรองเท้าแพงสุดในร้าน แล้วไม่กี่อาทิตย์ก็เลิกวิ่งเพราะมันใส่ไม่สบาย แถมตัวรองเท้าก็ไม่เหมาะกับฟอร์มการวิ่งของมือใหม่อย่างผมตอนนั้น

ผมอยากบอกมือใหม่ทุกคนว่า คุณไม่จำเป็นต้องควักเงินหลายพันซื้อรองเท้าแพงๆ ที่นักวิ่งมืออาชีพใช้ รองเท้าราคาปานกลางที่ใส่สบายและเหมาะกับการใช้งานของคุณดีกว่าเยอะ

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งให้ลูกค้ามือใหม่มากกว่าพันเครื่อง ผมพบว่ารองเท้ารุ่นเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้น

adidas Duramo SL เริ่มต้นที่ราคาสบายกระเป๋า ประมาณ 2,xxx บาท Duramo SL ให้ความคุ้มค่าเกินราคามาก ผมมักแนะนำรุ่นนี้ให้กับลูกค้าที่เพิ่งซื้อลู่วิ่ง A1 ไปเพื่อเดินออกกำลังกายที่บ้าน

จุดเด่นของมันคือน้ำหนักเบา (ประมาณ 260 กรัม) ซึ่งไม่หนักเกินไปสำหรับมือใหม่ โฟม EVA ให้ความนุ่มพอประมาณ ไม่แข็งจนเจ็บเท้า แต่ก็ไม่นุ่มจนขาดเสถียรภาพ

พื้นรองเท้ามีความทนทานดี เพราะใช้ยาง adiwear ที่ทนต่อการเสียดสี เหมาะสำหรับการเริ่มต้นฝึกวิ่ง ซึ่งบางครั้งฟอร์มการวิ่งอาจยังไม่ดี ทำให้สึกเร็ว

เพื่อนผมที่เป็นเทรนเนอร์ในฟิตเนสบอกว่า “Duramo SL เป็นรองเท้าที่ลูกค้าฟิตเนสซื้อมากที่สุด เพราะใช้ได้ทั้งวิ่งเบาๆ และเทรนเวทได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้า”

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มออกกำลังกายและยังไม่แน่ใจว่าจะติดวิ่งไหม Duramo SL คือตัวเลือกที่คุ้มค่า ใช้วิ่งบนลู่ก็ดี ใช้เดินในชีวิตประจำวันก็ได้ คุ้มสุดๆ

ASICS Excite 10 อีกหนึ่งรุ่นราคามิตรภาพที่ใส่สบายมาก Excite 10 ราคาประมาณ 2,5xx บาท แต่ให้คุณภาพเกินราคา ผมแนะนำรุ่นนี้กับลูกค้ามือใหม่ที่เท้ากว้างกว่าปกติ

โฟม AmpliFoam ให้ความนุ่มก๋วยเตี๋ยวที่เหมาะกับมือใหม่ ลดแรงกระแทกได้ดี แต่ยังให้ความรู้สึกมั่นคง ไม่โยกไปมา ซึ่งสำคัญมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มฝึกฟอร์มการวิ่ง

ผมประทับใจมากกับความทนทานของมัน ลูกค้าผมที่ใช้คู่นี้วิ่งบนลู่วิ่ง A3 มาเกือบปี บอกว่าสภาพยังดีมาก ทั้งที่ใช้วิ่งเกือบทุกวัน

จุดเด่นอีกอย่างคือพื้นที่ toe box กว้าง ทำให้นิ้วเท้าสบาย ไม่อึดอัด ซึ่งเป็นปัญหาที่มือใหม่มักเจอเมื่อเริ่มวิ่งนานขึ้น น้ำหนักก็ไม่ได้หนักมาก ประมาณ 270 กรัม พอเหมาะสำหรับคนเริ่มต้น

เพื่อนที่เป็นแพทย์ออร์โธปิดิกส์บอกว่า “Excite เป็นรองเท้าที่ฉันแนะนำให้กับคนไข้ที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เพราะมันให้การรองรับที่ดี แต่ราคาไม่แพงจนกลายเป็นอุปสรรค”

Nike Downshifter 12 (ต่อ) 12 น่าสนใจมาก ราคาประมาณ 2,xxx บาท แต่ได้สวมใส่รองเท้า Nike คุณภาพดี ผมเคยแนะนำรุ่นนี้ให้ลูกค้าผมที่เพิ่งซื้อลู่วิ่งรุ่นเล็กไปตั้งที่บ้าน และได้รับคำชมเยอะมาก

มันไม่ได้ใช้โฟมระดับพรีเมียมอย่าง ZoomX หรือ React แต่ให้ความสบายที่เพียงพอสำหรับการวิ่งระยะสั้นถึงกลาง ประมาณ 5-10 กิโลเมตรต่อครั้ง แถมน้ำหนักเบาเพียง 255 กรัม ซึ่งถือว่าดีมากในระดับราคานี้

ความพิเศษของ Downshifter 12 คือการปรับปรุง upper ให้ระบายอากาศดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับรุ่น 11 ทำให้วิ่งในสภาพอากาศร้อนของไทยสบายเท้าขึ้น

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งอายุ 50+ เพิ่งเริ่มวิ่งตอนใช้ลู่วิ่ง A1 ที่บ้าน เขาบอกว่า “ไม่เคยคิดว่าจะชอบวิ่ง แต่พอใส่ Downshifter 12 แล้วรู้สึกสบายมาก ตอนนี้วิ่งได้ 15 นาทีต่อวันแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เดินยังเหนื่อย”

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือดีไซน์ของ Downshifter 12 ไม่ได้ดูถูกหรือล้าสมัย แม้จะเป็นรุ่นราคาประหยัด ใครเห็นก็รู้ว่าเป็น Nike ซึ่งช่วยเรื่องความมั่นใจสำหรับมือใหม่ได้ดีทีเดียว

 

รองเท้าวิ่งคาร์บอนเหมาะกับใคร? แล้วต้องวิ่งเร็วแค่ไหนถึงควรใช้?

“รองเท้าคาร์บอนไม่ได้ทำให้คนธรรมดากลายเป็นซุปเปอร์แมน แต่มันทำให้คนที่ซ้อมมาดีแล้วทำสถิติที่ดีขึ้นได้”

ตอนที่ Nike เปิดตัว Vaporfly 4% ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน มันสร้างความฮือฮามาก มีคนบอกว่า “ใส่แล้วจะวิ่งเร็วขึ้นทันที 4%!” หลายคนแห่ไปซื้อโดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเหมาะกับใคร

ผมอยากแชร์ประสบการณ์และข้อสังเกตจากการคลุกคลีกับวงการวิ่งมาเกือบ 20 ปี และจากการพูดคุยกับลูกค้านับร้อยที่ซื้อรองเท้าคาร์บอนไปใช้

ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องใช้คาร์บอน รองเท้าคาร์บอนถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับนักวิ่งที่ต้องการทำเวลาในการแข่งขัน ไม่ใช่สำหรับทุกคน! มันทำงานได้ดีที่สุดเมื่อวิ่งที่ความเร็วระดับหนึ่ง ซึ่งมือใหม่หรือคนทั่วไปอาจจะยังไปไม่ถึง

เรื่องที่หลายคนไม่รู้คือ แผ่นคาร์บอนจะให้ประโยชน์เต็มที่เมื่อวิ่งที่ความเร็วประมาณ 430-530 นาทีต่อกิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ถ้าวิ่งช้ากว่านี้ จะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะไม่ได้กดพื้นแรงพอที่จะทำให้แผ่นคาร์บอน “งอ” และส่งพลังงานกลับมา

ผมมีเพื่อนที่เพิ่งเริ่มวิ่งได้ไม่ถึงปี เห็นผมใช้ Alphafly ก็อยากได้บ้าง พอซื้อไปใส่วิ่งความเร็ว 700/กม. กลับบอกว่า “รู้สึกเหมือนวิ่งบนไม้กระดาน ไม่สบายเลย แถมแพงอีก” นั่นเป็นเพราะเขาวิ่งช้าเกินไปที่จะได้ประโยชน์จากแผ่นคาร์บอน

แนะนำจากประสบการณ์ของโค้ชหมิง ผมมักแนะนำลูกค้าที่สนใจรองเท้าคาร์บอนด้วยหลักการง่ายๆ ดังนี้

  1. คุณวิ่ง 10K ได้เร็วกว่า 55 นาทีหรือไม่? ถ้าใช่ คุณน่าจะได้ประโยชน์จากรองเท้าคาร์บอน เพราะคุณวิ่งเร็วพอที่จะทำให้แผ่นคาร์บอนทำงานได้
  2. คุณวิ่งได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือไม่? ถ้าใช่ แสดงว่าคุณซ้อมสม่ำเสมอพอที่จะปรับตัวเข้ากับรองเท้าคาร์บอนได้ รองเท้าเหล่านี้ต้องการการปรับตัวเพราะมันเปลี่ยนรูปแบบการวิ่งของคุณ
  3. คุณมีเป้าหมายที่จะลงแข่งและทำเวลาหรือไม่? ถ้าใช่ รองเท้าคาร์บอนจะคุ้มค่ากับคุณ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ
  4. คุณมีปัญหาข้อเท้า หรือเคยพลิกข้อเท้าบ่อยหรือไม่? ถ้าใช่ คุณควรระวังเมื่อใช้รองเท้าคาร์บอน เพราะมันมักจะสูงและไม่มั่นคงเท่ารองเท้าทั่วไป

มีเรื่องน่าสนใจที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ รองเท้าคาร์บอนอาจช่วยในการฟื้นตัวด้วย! เพื่อนผมที่เป็นแพทย์กีฬาบอกว่า การที่รองเท้าช่วยประหยัดพลังงานในแต่ละก้าว 4-5% อาจทำให้กล้ามเนื้อมีความเสียหายน้อยลง ทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังการวิ่งระยะไกล

ผมสังเกตเห็นว่าหลังจากใช้รองเท้าคาร์บอนวิ่ง Full Marathon ผมสามารถกลับมาวิ่งได้เร็วกว่าเมื่อใช้รองเท้าธรรมดา อาการปวดเมื่อยน้อยลง แม้จะพยายามวิ่งเร็วกว่าเดิมก็ตาม

ส่วนใครที่ชอบซ้อมที่บ้านด้วยลู่วิ่ง ผมพบว่ารองเท้าคาร์บอนใช้งานได้ดีกับลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกดีๆ เช่น X20S หรือ REAL เพราะพื้นลู่วิ่งนุ่มช่วยลดความแข็งของรองเท้า ทำให้วิ่งสบายขึ้น

เรื่องที่คนไม่ค่อยรู้ รองเท้าคาร์บอนแต่ละยี่ห้อให้ความรู้สึกต่างกันมาก Nike จะเด้งแรงสุด ASICS จะนุ่มและเสถียรกว่า Saucony อยู่ตรงกลาง ถ้าคุณได้ลองหลายยี่ห้อ คุณจะพบว่ารองเท้าที่เพื่อนชมว่าดี อาจไม่เหมาะกับคุณเลยก็ได้

 

รีวิวจริงจากสนาม รองเท้าวิ่งเหล่านี้ทำผลงานยังไงในการแข่งมาราธอนจริง

“ในห้องแล็บมันอาจจะดูดีหมด แต่พอวิ่งจริง 42.195 กิโลเมตร เราถึงรู้ว่ารองเท้าคู่ไหนใช่จริงๆ”

เอาประสบการณ์จริงๆ มาแชร์ดีกว่า! ปีนี้ผมได้ลงแข่งมาราธอนหลายรายการ ทั้ง Amazing Thailand Marathon Bangkok, Garmin Run Asia Series และ Laguna Phuket Marathon ทำให้ได้ทดสอบรองเท้าในสถานการณ์จริงหลายคู่ รวมทั้งได้สังเกตและพูดคุยกับเพื่อนนักวิ่งที่ใช้รองเท้าแตกต่างกันไป

ประสบการณ์จากสนาม Amazing Thailand Marathon, Garmin Run, Laguna Phuket

Amazing Thailand Marathon Bangkok เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมใช้ Nike Alphafly 3 วิ่งระยะ Full Marathon ใน Amazing Thailand Marathon Bangkok ซึ่งเป็นสนามที่มีทั้งทางตรงยาวๆ และโค้งหักศอกหลายจุด

ผลคือ Alphafly 3 ทำได้ดีมากบนเส้นทางตรง ช่วยให้ผมรักษา pace ได้สม่ำเสมอแม้เมื่อเริ่มเหนื่อย แต่พอถึงจุดโค้งหักศอก รู้สึกว่ามันไม่มั่นคงเท่าที่ควร ต้องระวังตัวมากๆ เวลาเลี้ยว ผมจบที่ 328 ซึ่งดีกว่าเป้าหมายเล็กน้อย แต่ช่วงสุดท้ายรู้สึกว่าฝ่าเท้าเริ่มร้อนและปวด

สิ่งที่น่าสนใจคือ นักวิ่งที่ทำเวลาได้ดีในงานนี้ส่วนใหญ่ใช้รองเท้าแผ่นคาร์บอน แต่ไม่ได้จำกัดแค่ Nike อย่างเดียว มี ASICS Metaspeed, Adidas Adios Pro และ Saucony Endorphin Pro เยอะมาก แสดงว่าแบรนด์อื่นก็พัฒนาได้ดีไม่แพ้กัน

Garmin Run Asia Series สำหรับงาน Garmin Run ที่จัดขึ้นที่สิงคโปร์ ผมลองใช้ Saucony Endorphin Pro 4 ในระยะ Half Marathon

เส้นทางนี้มีขึ้นลงเนินเล็กน้อย และพื้นถนนค่อนข้างขรุขระบางช่วง Endorphin Pro 4 ทำได้ดีมากในเรื่องการรับแรงกระแทก แม้บนพื้นขรุขระ ผมไม่รู้สึกเจ็บเท้าเลย การเร่งขึ้นเนินก็ทำได้ดี ไม่รู้สึกว่าต้องใช้แรงมากกว่าปกติ

สิ่งที่ประทับใจมากคือความรู้สึก “consistent” ตลอดการวิ่ง รองเท้าให้ความรู้สึกเหมือนเดิมตั้งแต่กิโลแรกจนถึงกิโลสุดท้าย ไม่มีอาการ “ยุบ” หรือ “หมดแรงเด้ง” ที่บางคนรายงานจากรองเท้าบางคู่

เพื่อนผมที่ใช้ Brooks Hyperion Elite 4 ในงานเดียวกัน บอกว่าเขารู้สึกมั่นคงมากเวลาวิ่งบนพื้นที่ไม่เรียบ แต่เด้งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใช้ Nike หรือ Saucony

Laguna Phuket Marathon สนามนี้มีความพิเศษคือมีทั้งทางลาดชัน ทางโค้ง และบางช่วงเป็นทางคอนกรีตแทนที่จะเป็นยางมะตอย ผมลองใช้ ASICS Metaspeed Sky Paris ด้วยความคาดหวังว่าความเสถียรของมันจะช่วยในเส้นทางที่หลากหลายนี้

ผลคือประทับใจมาก! Metaspeed Sky Paris ทำได้ดีที่สุดในเส้นทางผสม ทั้งขึ้นเนิน ลงเนิน และวิ่งบนคอนกรีต ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ ผมจบ Half Marathon ด้วยเวลา 135 ซึ่งพอใจมาก เมื่อพิจารณาถึงความยากของเส้นทาง

สิ่งที่สังเกตเห็นในงานนี้คือ นักวิ่งที่ใช้รองเท้าแผ่นคาร์บอนที่มีพื้นบางกว่า เช่น Nike Vaporfly หรือ New Balance RC Elite มักจะมีปัญหาเมื่อวิ่งบนพื้นคอนกรีต หลายคนบ่นว่ารู้สึกเจ็บฝ่าเท้าในช่วงท้ายๆ

แต่ละคู่เหมาะกับการวิ่งสนามไหน? จากการสังเกตและประสบการณ์ตรง ผมสรุปว่า

  • Nike Alphafly/Vaporfly เหมาะกับสนามที่เป็นทางตรง พื้นเรียบ มีการเลี้ยวน้อย เช่น Bang-kok Marathon, Tokyo Marathon
  • ASICS Metaspeed เหมาะกับสนามที่มีเส้นทางหลากหลาย ทั้งขึ้นเนิน ลงเนิน พื้นผิวต่างกัน เช่น Phuket Marathon, New York Marathon
  • Adidas Adios Pro เหมาะกับสนามที่มีทางโค้งเยอะ ต้องการความมั่นคง เช่น Singapore Marathon
  • Saucony Endorphin Pro เหมาะกับสนามระยะกลางถึงไกล ที่ต้องการความสม่ำเสมอ เช่น Half Marathon ทั่วไป
  • New Balance SC Elite เหมาะกับนักวิ่งที่ตัวใหญ่ ต้องการความมั่นคงมากกว่าความเร็วสุดขีด

เรื่องที่คนไม่ค่อยรู้คือ อุณหภูมิมีผลมากต่อประสิทธิภาพของโฟมในรองเท้าคาร์บอน! ในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย (30°C+) โฟม PEBA ในรองเท้าหลายรุ่นจะนุ่มลงมาก และอาจรู้สึกไม่เสถียรเท่าที่ควร แต่ในสภาพอากาศเย็น (15-20°C) มันจะให้การตอบสนองที่ดีที่สุด

ผมเคยใช้ Nike Vaporfly ในงาน Tokyo Marathon ที่อากาศเย็นประมาณ 10°C รู้สึกว่ามันเด้งดีกว่าตอนใช้ในไทยมาก! นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมนักวิ่งญี่ปุ่นหรือยุโรปมักจะชอบ Nike ในขณะที่นักวิ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางคนอาจรู้สึกว่า ASICS หรือ Adidas ให้ความรู้สึกดีกว่าในสภาพอากาศบ้านเรา

 

รองเท้าวิ่ง + ลู่วิ่ง = คู่ซ้อมที่ลงตัว

“เลือกรองเท้าให้เหมาะกับลู่วิ่ง เหมือนเลือกยางรถให้เหมาะกับถนน วิ่งจะลื่นไหลกว่าเยอะ”

เรื่องนี้ผมเพิ่งค้นพบเองเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งๆ ที่ขายลู่วิ่งมาหลายปี! มันเริ่มจากลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่ง X20S ไปใช้ที่บ้าน แล้วบ่นว่าวิ่งแล้วเจ็บเข่า ผมเลยขับรถไปดูที่บ้านเขา พอเห็นรองเท้าที่เขาใช้ ก็เข้าใจทันที—เขาใช้รองเท้าแข่งพื้นแข็งวิ่งบนลู่วิ่งที่นุ่มมาก มันเลยไม่สมดุล!

ผมแนะนำให้เขาเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบ cushion ปานกลาง ปรากฏว่าอาการปวดเข่าหายไปเลย นี่ทำให้ผมเริ่มสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างรองเท้าวิ่งและลู่วิ่งมากขึ้น

เมื่อสองเดือนก่อน ผมได้จัดงานเล็กๆ ที่โชว์รูมลู่วิ่งของผม เชิญลูกค้าเก่าประมาณ 30 คนมาทดลองวิ่งด้วยรองเท้าหลากหลายรุ่นบนลู่วิ่งต่างรุ่นกัน เพื่อหาคู่ที่เข้ากันที่สุด ผลการทดลองน่าสนใจมาก ผมขอสรุปดังนี้

รองเท้าคาร์บอน ควรใช้กับลู่วิ่ง AC Motor เช่น X20S, REAL รองเท้าคาร์บอนมักจะมีพื้นแข็งกว่าและให้แรงส่งมากกว่ารองเท้าทั่วไป เมื่อใช้บนลู่วิ่งที่มีพื้นนุ่มเกินไป อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เหมือนยืนบนทรายแล้วพยายามกระโดด—พลังงานถูกดูดซับหมด

ลูกค้าผมที่ชอบซ้อมด้วยรองเท้าคาร์บอนที่บ้าน มักจะใช้คู่กับลู่วิ่ง X20S หรือ REAL ซึ่งมีมอเตอร์ AC ที่ให้ความเสถียรมากกว่า และพื้นที่ไม่นุ่มจนเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งบนถนนจริงมากกว่า

เพื่อนผมที่เป็นนักกายภาพบำบัดอธิบายว่า “เมื่อใช้รองเท้าคาร์บอนบนลู่วิ่งที่นุ่มเกินไป กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพ ทำให้เหนื่อยเร็วและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น”

จากการทดลองของผม Nike Alphafly 3 วิ่งได้ดีที่สุดบนลู่วิ่ง X20S ที่ตั้งความชันประมาณ 1-2% ให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ มาก และช่วยให้ซ้อมได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์แข่งจริง

ส่วน ASICS Metaspeed ทำงานได้ดีบนลู่วิ่ง REAL ด้วยความที่มันมีเสถียรภาพดีอยู่แล้ว เลยเข้ากันได้ดีกับลู่วิ่งที่มีความแข็งแรงระดับพรีเมียม

รองเท้าวิ่งประจำวัน ใช้ได้กับ A1, A3 หรือ SONIC รองเท้าวิ่งประจำวันที่มี cushion ปานกลางถึงมาก เช่น Nike Pegasus, ASICS Gel-Nimbus หรือ HOKA Clifton เหมาะมากกับลู่วิ่งรุ่นกลางๆ อย่าง A3 หรือ SONIC เพราะให้ความสมดุลที่ดี

คุณอาจไม่รู้ว่าลู่วิ่ง A3 มีระบบลดแรงกระแทกที่นุ่มกว่าลู่วิ่งระดับสูง เพราะออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไปที่บ้าน การใช้รองเท้าที่นุ่มมากเกินไปบนลู่วิ่งที่นุ่มอยู่แล้ว อาจทำให้รู้สึกเหมือน “จมลงไป” และต้องใช้พลังงานมากขึ้นในแต่ละก้าว

ลูกค้าผมที่ซื้อลู่วิ่ง A1 ไปใช้เพื่อเดินออกกำลังกายที่บ้าน บอกว่าชอบใช้คู่กับรองเท้า ASICS Gel-Contend หรือ Nike Revolution มากที่สุด เพราะให้ความนุ่มพอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป

เรื่องที่น่าสนใจคือ ความเร็วของการวิ่งก็มีผลต่อการเลือกรองเท้าด้วย ถ้าคุณใช้ลู่วิ่ง A3 เพื่อวิ่งเร็ว (ประมาณ 12 กม./ชม. ขึ้นไป) รองเท้าที่เด้งหน่อย เช่น New Balance FuelCell Rebel จะให้ความรู้สึกดีกว่ารองเท้าที่นุ่มเกินไป

รองเท้าสำหรับการฝึก HIIT ใช้คู่กับ CX8 หรือ X11 ถ้าคุณชอบการฝึกแบบ High Intensity Interval Training ที่มีการเปลี่ยนความเร็วบ่อยๆ หรือผสมการวิ่งกับการออกกำลังกายแบบอื่น รองเท้าที่มีความเสถียรสูงและพื้นไม่สูงมาก เช่น Nike Metcon, Reebok Nano หรือ Under Armour HOVR Rise จะเข้ากันได้ดีกับลู่วิ่งที่ไม่ใช้ไฟฟ้าอย่าง CX8 หรือลู่วิ่งสำหรับการฝึกแบบ X11

ลู่วิ่งแบบไม่ใช้ไฟฟ้าต้องใช้แรงจากตัวคุณเองในการขับเคลื่อนสายพาน ดังนั้นรองเท้าที่ให้การจับยึดที่ดีและฐานที่มั่นคงจึงสำคัญมาก รองเท้าที่นุ่มเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่มั่นคงและใช้พลังงานมากเกินไป

ผมเคยเห็นลูกค้าคนหนึ่งใช้รองเท้าวิ่ง HOKA ที่พื้นหนามากบนลู่วิ่ง CX8 แล้วบ่นว่ารู้สึกแปลกๆ พอเปลี่ยนเป็นรองเท้าโลว์คัท เขาบอกว่ารู้สึกเชื่อมต่อกับลู่วิ่งได้ดีขึ้นมาก

เทรนเนอร์ที่ผมรู้จักแนะนำว่า “สำหรับการฝึก HIIT บนลู่วิ่ง ควรเลือกรองเท้าที่มี drop ต่ำ (4-8 มม.) และฐานกว้าง เพื่อให้มั่นคงเวลาเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน”

เรื่องที่คนมักมองข้าม ไม่ใช่แค่ cushioning ที่สำคัญ แต่รูปแบบดอกยางใต้รองเท้าก็มีผลมากเมื่อใช้บนลู่วิ่ง! รองเท้าที่มีดอกยางแบบแนวขวาง (horizontal grooves) มักจะให้การยึดเกาะที่ดีกว่าบนสายพานลู่วิ่ง เมื่อเทียบกับรองเท้าที่มีดอกยางแบบแนวตั้ง

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ รองเท้าวิ่งที่ใช้บนลู่วิ่งจะสึกเร็วกว่าเมื่อใช้บนถนนประมาณ 20-30% เพราะแรงเสียดทานกับสายพานที่มากกว่า ดังนั้นหากคุณชอบวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้านเป็นประจำ ควรมีรองเท้าเฉพาะสำหรับการใช้งานนี้

 

วิธีดูแลรองเท้าวิ่งให้ใช้ได้นาน

“รองเท้าวิ่งคู่ละหลายพันบาท ถ้าดูแลดีๆ จะใช้ได้นานกว่าที่คิดเยอะ ประหยัดเงินไปได้หลายหมื่นต่อปีเลยนะ”

เรื่องนี้ผมเจ็บตัวมาก่อน! สมัยก่อนผมซื้อรองเท้าวิ่งคู่ละ 5-6 พันบาท แล้วใช้แค่ 3-4 เดือนก็ต้องซื้อใหม่ เพราะดูแลไม่ถูกวิธี จนวันหนึ่งผมไปคุยกับช่างซ่อมรองเท้าเก่าแก่ที่สีลม เขาบอกว่า “คุณทำลายรองเท้าตัวเองโดยไม่รู้ตัวนะ” แล้วสอนวิธีดูแลรองเท้าให้ผม ตั้งแต่นั้นมา รองเท้าผมใช้ได้นานขึ้นเกือบเท่าตัว!

ขอแชร์เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงของผมและจากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ

ซักอย่างไรให้ไม่พัง? เรื่องนี้สำคัญมาก! การซักรองเท้าผิดวิธีเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้รองเท้าพังเร็ว ผมเคยเห็นเพื่อนเอารองเท้าวิ่งราคาหลายพันบาทไปซักในเครื่องซักผ้าโดยไม่ได้ปรับอะไรเลย พอซักเสร็จ โฟมยุบ แผ่นรองฝ่าเท้าเสียรูป แทบใส่ไม่ได้!

วิธีที่ถูกต้องคือ

  1. ถอดเชือกและแผ่นรองฝ่าเท้าออกก่อน แล้วซักแยกกัน
  2. ใช้แปรงขนอ่อนปัดฝุ่นและดินออกก่อน
  3. ล้างด้วยน้ำอุ่น (ไม่ร้อนเกิน 30°C) และสบู่อ่อนๆ ห้ามใช้ผงซักฟอกเด็ดขาด! สบู่ล้างจานก็ไม่ควรใช้ เพราะมันกัดกาวและวัสดุของรองเท้า
  4. ถ้าจะซักในเครื่องซักผ้า ให้ใส่ถุงตาข่ายและปรับเป็นรอบอ่อนที่สุด ไม่ปั่นแรง
  5. ต้องผึ่งให้แห้งในอากาศ ห้ามใช้เครื่องอบหรือตากแดดโดยตรง! ความร้อนจะทำให้กาวและโฟมเสื่อมสภาพเร็ว
  6. ยัดกระดาษหนังสือพิมพ์เข้าไปเพื่อช่วยดูดซับความชื้นและรักษารูปทรง

เคล็ดลับจากช่างซ่อมรองเท้าที่ผมรู้จัก “ใส่รองเท้าวิ่งคู่ใหม่ในถุงผ้าแล้วแช่ช่องฟรีซเป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้กาวและวัสดุแข็งแรงขึ้น” ผมเคยลองทำแล้ว รู้สึกว่าใช้ได้จริง รองเท้ารู้สึกแน่นและทนทานขึ้น

ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่? ดูจากอะไร? คำถามยอดฮิตที่ผมเจอประจำ แต่คำตอบไม่ได้ตายตัวเหมือนที่หลายคนคิด ไม่ใช่แค่วิ่งครบ 500 กิโลแล้วต้องเปลี่ยนเสมอไป มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

  1. ดูจากโฟมที่ยุบตัว – โฟมรองเท้าวิ่งจะยุบตัวตามเวลา ลองทดสอบง่ายๆ โดยกดนิ้วลงบนพื้นรองเท้า ถ้ามันยุบตัวน้อยกว่าปกติหรือแข็งกระด้าง แสดงว่าโฟมเริ่มเสื่อมแล้ว
  2. ดูดอกยาง – ดอกยางใต้รองเท้าสึกไม่เท่ากัน แต่ถ้าสึกจนเห็นโฟมด้านใน หรือสึกไม่สม่ำเสมอ (เช่น ด้านในมากกว่าด้านนอก) แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยน
  3. สังเกตอาการปวด – ถ้าเริ่มมีอาการปวดเข่า ปวดน่อง หรือปวดเท้าที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่อาจเป็นสัญญาณว่ารองเท้าไม่ให้การรองรับที่ดีพอแล้ว
  4. รองเท้ารุ่นแข่ง vs รุ่นซ้อม – รองเท้าแข่งที่ใช้โฟม PEBA อายุสั้นกว่ารองเท้าซ้อมทั่วไปมาก มักอยู่ที่ประมาณ 300-400 กม. เทียบกับ 600-800 กม. ของรองเท้าซ้อม

เทคนิคที่ผมใช้เพื่อยืดอายุรองเท้าคือ มีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่สลับกันใช้ การให้รองเท้าได้ “พัก” จะช่วยให้โฟมคืนตัวได้ดีขึ้น ทำให้ใช้ได้นานขึ้นโดยรวม

เชื่อหรือไม่? รองเท้าวิ่งเสื่อมเร็วกว่าที่คิด ถ้าใช้บนลู่วิ่งไม่เหมาะ นี่เป็นสิ่งที่ผมค้นพบจากประสบการณ์ทั้งในฐานะนักวิ่งและผู้ขายลู่วิ่ง ลู่วิ่งแต่ละรุ่นมีผิวสายพานที่แตกต่างกัน บางรุ่นหยาบกว่า บางรุ่นเรียบกว่า ซึ่งมีผลต่อการสึกหรอของรองเท้ามาก

ลูกค้าของผมที่ใช้รองเท้าวิ่งบนลู่วิ่งรุ่นเก่าที่สายพานไม่ได้มาตรฐาน มักจะพบว่ารองเท้าสึกเร็วผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ในขณะที่ลู่วิ่งคุณภาพดีอย่าง X20 หรือ REAL มีสายพานที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงเสียดทาน ทำให้รองเท้าสึกช้าลง

นอกจากนี้ รองเท้าแต่ละประเภทเหมาะกับลู่วิ่งแต่ละแบบไม่เหมือนกัน รองเท้าที่มีพื้นนุ่มมากอาจเสื่อมเร็วเมื่อใช้บนลู่วิ่งที่มีระบบลดแรงกระแทกนุ่มอยู่แล้ว เพราะโฟมจะถูกกดมากเกินไป

เคล็ดลับเพิ่มเติมที่ไม่ค่อยมีใครรู้

  • ใส่รองเท้าให้พอดี ถ้าหลวมหรือคับเกินไป จะทำให้รองเท้าสึกเร็วขึ้น
  • ควรเก็บรองเท้าในที่แห้งและเย็น ไม่โดนแดด เพราะความร้อนและความชื้นทำให้กาวและวัสดุเสื่อมเร็ว
  • ถ้าเป็นไปได้ อย่าใส่รองเท้าวิ่งเดินเล่นหรือทำกิจกรรมอื่นนอกจากวิ่ง เพราะรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ต่างกันจะทำให้รองเท้าสึกในจุดที่ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับ
  • ถ้ารองเท้าเปียกฝน อย่าใช้เครื่องเป่าผมหรือวางไว้ใกล้เครื่องทำความร้อน ให้ถอดพื้นรองในออกและยัดกระดาษหนังสือพิมพ์เข้าไป ผึ่งในที่อากาศถ่ายเทดี

ถ้าคุณใช้รองเท้าวิ่งบนลู่วิ่งที่บ้านเป็นประจำ ควรมีรองเท้าเฉพาะสำหรับใช้ในบ้าน ซึ่งจะช่วยยืดอายุทั้งรองเท้าและลู่วิ่งของคุณได้ด้วย

 

สรุป รองเท้าวิ่ง 2025 คู่ไหนใช่สำหรับคุณ?

“เลือกรองเท้าที่ใช่ ไม่ใช่แค่สวย ไม่ใช่แค่แพง แต่ต้องใช่กับเท้าคุณ เป้าหมายคุณ และงบประมาณคุณ”

หลังจากพาทุกคนท่องโลกรองเท้าวิ่งปี 2025 มายาวนาน ถึงเวลาสรุปแล้วว่า ควรเลือกรองเท้าคู่ไหนดี? ผมขอแชร์ประสบการณ์จากการเป็นทั้งนักวิ่งมาราธอนที่ลงสนามมาแล้วนับสิบรายการ และเจ้าของธุรกิจลู่วิ่งที่ได้พูดคุยกับลูกค้านักวิ่งมาแล้วหลายพันคน

คำแนะนำปิดท้ายจากนักวิ่งมาราธอนที่ขายลู่วิ่งมาแล้วกว่า 1,000 เครื่อง ผมได้เรียนรู้ว่า คำถามที่ถูกไม่ใช่ “รองเท้าคู่ไหนดีที่สุด?” แต่เป็น “รองเท้าคู่ไหนเหมาะกับฉันที่สุด?” การเลือกรองเท้าวิ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสรีระร่างกาย รูปแบบการวิ่ง เป้าหมาย และงบประมาณ

ถ้าคุณเป็น มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มวิ่ง ผมแนะนำให้เริ่มต้นด้วยรองเท้าที่มี cushion ปานกลาง เน้นความสบายและการป้องกันการบาดเจ็บมากกว่าความเร็ว เช่น Nike Pegasus 41, ASICS Gel-Cumulus 26 หรือ Brooks Ghost 15 ราคาอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,500 บาท เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป ทั้งซ้อมบนถนนและบนลู่วิ่งที่บ้านอย่าง A1 หรือ A3

สำหรับ คนที่วิ่งประจำแล้ว แต่ยังไม่ได้แข่งจริงจัง ผมแนะนำให้มีรองเท้าอย่างน้อย 2 คู่ คู่แรกสำหรับซ้อมทั่วไป เช่น HOKA Clifton 9, New Balance 1080v13 หรือ ASICS Novablast 4 และอีกคู่ที่เบากว่าสำหรับซ้อมเร็วหรือวันแข่ง เช่น Saucony Endorphin Speed 4 หรือ Nike Tempo Next% ซึ่งมีแผ่นไนลอนที่ให้ความเด้งบ้างแต่ไม่แข็งเท่าคาร์บอน

ส่วน นักวิ่งที่ซีเรียส มีเป้าหมายทำเวลา ผมแนะนำให้มีรองเท้าอย่างน้อย 3 คู่ รองเท้าซ้อมหนักสำหรับรันเนอร์ระยะไกล, รองเท้าซ้อมเร็วสำหรับวันที่ซ้อม interval หรือ tempo, และรองเท้าแข่งที่มีแผ่นคาร์บอน สำหรับวันแข่งจริงๆ ทั้งนี้ รุ่นที่แนะนำขึ้นอยู่กับรูปเท้าและสไตล์การวิ่งของแต่ละคน แต่ตัวเลือกยอดนิยมในปี 2025 คือ ASICS Metaspeed, Nike Alphafly 3 หรือ Adidas Adios Pro 4

เลือกจากเป้าหมายการวิ่ง + พื้นที่ใช้งาน (บ้าน, ฟิตเนส, สนามจริง) (ต่อ) อีกปัจจัยสำคัญคือพื้นที่ที่คุณจะใช้วิ่งเป็นหลัก

สำหรับคนที่วิ่งที่บ้านบนลู่วิ่งเป็นหลัก ควรเลือกรองเท้าที่เข้ากับลู่วิ่งของคุณ

  • ลู่วิ่งรุ่นเล็ก (A1, A3) เลือกรองเท้าที่มี cushion ปานกลาง ไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้รู้สึกมั่นคง
  • ลู่วิ่งรุ่นใหญ่ (X20, REAL) สามารถใช้รองเท้าได้หลากหลาย รวมถึงรองเท้าแข่งเพื่อซ้อมสปีด

สำหรับคนที่วิ่งในฟิตเนสหรือสวนสาธารณะเป็นหลัก ควรเลือกรองเท้าที่มีความทนทานสูง เพราะพื้นผิวมักมีความแตกต่างหลากหลาย รองเท้าที่มีพื้นยางหนา เช่น Brooks Ghost หรือ ASICS Gel-Cumulus เป็นตัวเลือกที่ดี

สำหรับคนที่วิ่งในสนามแข่งเป็นหลัก ควรเลือกรองเท้าตามลักษณะของสนาม

  • สนามทางเรียบ รองเท้าที่เน้นความเร็วอย่าง Nike Alphafly หรือ Adidas Adios Pro
  • สนามขึ้น-ลงเขา รองเท้าที่มีเสถียรภาพดีอย่าง ASICS Metaspeed หรือ New Balance SC Elite

สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนเข้าใจว่ารองเท้าคือเพียงเครื่องมือช่วยเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการซ้อมอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี รองเท้าดีเพียงใดก็ไม่สามารถทดแทนการฝึกซ้อมที่ขาดหายไปได้ ในฐานะนักวิ่งที่ผ่านการวิ่งมาราธอนมาแล้วหลายสิบรายการ ผมเชื่อว่า “รองเท้าที่ดีที่สุดคือรองเท้าที่คุณลืมไปว่ากำลังใส่มันอยู่” เพราะนั่นหมายความว่ามันเหมาะกับคุณจริงๆ

 

FAQs คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับรองเท้าวิ่ง 2025

1. รองเท้าวิ่งควรซื้อไซส์อะไร?

โดยทั่วไปควรซื้อใหญ่กว่ารองเท้าปกติประมาณ 0.5-1 ไซส์ เพราะเวลาวิ่งเท้าจะบวมขึ้น ต้องมีพื้นที่ว่างประมาณครึ่งนิ้วโป้งจากปลายเท้าถึงปลายรองเท้า แต่แต่ละแบรนด์ไซส์ไม่เท่ากัน ควรลองใส่ก่อนซื้อทุกครั้ง

2. รองเท้าวิ่งควรเปลี่ยนบ่อยแค่ไหน?

รองเท้าซ้อมทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 500-800 กิโลเมตร รองเท้าแข่งที่มีแผ่นคาร์บอนอายุสั้นกว่า ประมาณ 300-400 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว สไตล์การวิ่ง และพื้นผิวที่วิ่งเป็นประจำ

3. ทำไมรองเท้าวิ่งถึงราคาแพงขึ้นทุกปี?

เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น แผ่นคาร์บอน โฟมที่เบาและเด้งดีขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงการวิจัยและพัฒนาที่แบรนด์ลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องความนิยม การตลาด และเงินเฟ้อด้วย

4. จำเป็นต้องใช้รองเท้าวิ่งแยกสำหรับซ้อมและแข่งไหม?

ไม่จำเป็นสำหรับมือใหม่ แต่สำหรับนักวิ่งที่ต้องการพัฒนาและมีเป้าหมายชัดเจน การมีรองเท้าแยกช่วยให้รองเท้าแข่งมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และรองเท้าซ้อมให้การปกป้องเท้าที่ดีกว่าในการซ้อมประจำวัน

5. รองเท้าวิ่งผู้หญิงต่างจากผู้ชายอย่างไร?

รองเท้าผู้หญิงมักจะออกแบบให้เหมาะกับสรีระเท้าที่ต่างกัน โดยทั่วไปจะแคบกว่าที่ส้นเท้า หน้าเท้าไม่กว้างเท่า และรองรับน้ำหนักที่น้อยกว่า บางรุ่นยังมีการรองรับอุ้งเท้าที่แตกต่างกันด้วย

6. ซื้อรองเท้าวิ่งออนไลน์ดีไหม?

ควรลองใส่ก่อนซื้อถ้าเป็นไปได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นแบรนด์หรือรุ่นที่ไม่เคยใช้มาก่อน แต่ถ้าจำเป็นต้องซื้อออนไลน์ ควรอ่านรีวิวให้มาก ศึกษาตารางไซส์ของแต่ละแบรนด์ และเลือกร้านที่มีนโยบายคืนสินค้าได้

7. ทำไมรองเท้าแบรนด์เดียวกันแต่รุ่นต่างกัน ใส่แล้วให้ความรู้สึกต่างกันมาก?

แต่ละรุ่นออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ต่างกัน มีโครงสร้าง วัสดุ และเทคโนโลยีต่างกัน เช่น รุ่นซ้อมเน้นความทนทาน รุ่นแข่งเน้นความเบาและความเร็ว รุ่นสำหรับเท้าที่พรอเนตเน้นการรองรับด้านใน

8. รองเท้าวิ่งคาร์บอนเพลทช่วยให้วิ่งเร็วขึ้นจริงหรือ?

ช่วยได้จริง โดยเฉพาะในระยะที่ยาวขึ้น มีงานวิจัยพบว่ารองเท้าคาร์บอนสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ 4-5% ซึ่งแปลเป็นเวลาที่ดีขึ้นประมาณ 2-4 นาทีในระยะมาราธอน สำหรับนักวิ่งที่มีฟอร์มดีและความเร็วเพียงพอ

9. วิธีเลือกรองเท้าวิ่งให้เหมาะกับฟอร์มการวิ่งทำอย่างไร?

ควรรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักวิ่งแบบไหน – ลงส้นเท้าก่อน (heel striker), ลงกลางเท้า (midfoot striker) หรือลงปลายเท้า (forefoot striker) รวมถึงเท้าพรอเนต (เท้าแบน) หรือซูพิเนต (อุ้งเท้าสูง) ร้านรองเท้าวิ่งชั้นนำมักมีบริการวิเคราะห์การวิ่ง หรือคุณอาจถ่ายวิดีโอตัวเองตอนวิ่งเพื่อดูรูปแบบการลงเท้า

10. ดูแลรองเท้าวิ่งอย่างไรให้ใช้ได้นาน?

มีรองเท้าหลายคู่สลับกันใช้ ห้ามซักในเครื่องซักผ้าด้วยรอบปกติ ไม่ตากแดดหรืออบความร้อน ทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำและสบู่อ่อนๆ เก็บในที่แห้งและเย็น ไม่ใส่รองเท้าวิ่งทำกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่การวิ่ง และเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ผ่านบทความนี้ ผมหวังว่าคุณจะได้ข้อมูลที่เพียงพอในการเลือกรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ทั้งนี้ การเลือกรองเท้าวิ่งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ต้องลองผิดลองถูกบ้าง เพื่อค้นพบว่าอะไรเหมาะกับคุณจริงๆ การวิ่งควรเป็นความสุข และรองเท้าวิ่งที่ใช่จะช่วยเสริมความสุขนั้นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น