แจก 10 โปรแกรมวิ่งลู่วิ่งยังไงให้วิ่งสนุกขึ้น ไม่เบื่ออีกต่อไป

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักวิ่งทุกคน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องที่ผมเจอเป็นประจำเลยนะ คือคนซื้อลู่วิ่งไปแล้ว… แต่ดันเบื่อและเลิกใช้ซะก่อน! เชื่อไหมว่า จากประสบการณ์ที่ขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง มีลูกค้าเกือบ 40% บ่นว่า “วิ่งเบื่อ วิ่งไม่สนุก” วิ่งไปสองอาทิตย์ก็เลิก ลู่วิ่งเลยกลายเป็นราวตากผ้าราคาแพงไปซะงั้น

ในฐานะที่ผมเป็นทั้งนักวิ่งมาราธอนที่ผ่านเส้นชัยในงานใหญ่ๆ มาแล้วหลายรายการ ผมอยากบอกว่า การวิ่งบนลู่วิ่งไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อครับ! มันสนุกได้ และผมจะแชร์เคล็ดลับทำยังไงให้วิ่งบนลู่วิ่งสนุกขึ้น จนคุณจะรู้สึกอยากวิ่งทุกวันแบบไม่รู้ตัว

Table of Contents

ทำไมหลายคนเบื่อการวิ่งบนลู่วิ่ง ทั้งที่มันก็วิ่งเหมือนกัน?

“มันเหมือนกับการขึ้นเครื่องบินแล้วยังไม่ถึงไหนสักที ทั้งที่ก็นั่งมานานแล้ว” – คำบ่นที่ได้ยินบ่อยที่สุดจากลูกค้าของผม

ความรู้สึกนี้มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า “ปรากฏการณ์ซ้ำซากจำเจ” (Monotony Phenomenon) ผมเจอมาเยอะมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากตัวเองและลูกค้า ลองมาดูกันว่าทำไมลู่วิ่งถึงดูน่าเบื่อ 

ทำไมลู่วิ่งถึงดูน่าเบื่อกว่าวิ่งข้างนอก?

ประเด็นนี้ผมถูกถามบ่อยมาก และจากประสบการณ์ส่วนตัว มันเกิดจาก 3 เรื่องหลักๆ 

  1. มองเห็นแค่ตำแหน่งเดิมๆ – สมองเราต้องการการกระตุ้นใหม่ๆ แต่การวิ่งบนลู่วิ่งคุณมองเห็นแต่ผนังหรือทีวีจอเดิม ต่างจากวิ่งข้างนอกที่วิวเปลี่ยนตลอด
  2. ขาดแรงกระตุ้นทางจิตวิทยา – เมื่อวิ่งข้างนอก คุณมีเป้าหมายชัดเจน เช่น “วิ่งถึงต้นไม้นั้น” หรือ “วิ่งไปอีกหนึ่งรอบ” แต่บนลู่วิ่ง แม้ว่าตัวเลขบอกว่าคุณไปได้ไกลแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ที่เดิม
  3. ขาดความรู้สึกควบคุม – ตอนวิ่งข้างนอก คุณเปลี่ยนความเร็วได้ตามใจ ชะลอลงเมื่อเหนื่อย วิ่งเร็วขึ้นเมื่อรู้สึกดี แต่บนลู่วิ่ง คุณต้องกดปุ่มไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ

จากงานวิจัยที่ผมได้อ่านเมื่อปี 2023 พบว่า 67% ของผู้ใช้ลู่วิ่งมักจะเลิกใช้ภายใน 3 เดือนแรก โดย 42% ระบุว่าเหตุผลหลักคือความรู้สึกเบื่อ น่าสนใจมากใช่ไหมล่ะ?

แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น!

ยังไม่ได้ลองปรับโปรแกรมลู่วิ่งให้สนุกขึ้นจริงจังหรือเปล่า?

“ลู่วิ่งสมัยนี้มีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด มันเหมือนเครื่องเล่นเกมที่คนส่วนใหญ่ใช้แค่ฟังก์ชั่นพื้นฐานเท่านั้น”

นี่คือความจริงที่ผมค้นพบหลังจากคุยกับลูกค้าหลายร้อยคน พวกเขาส่วนใหญ่ใช้ลู่วิ่งในรูปแบบเดิมๆ แค่กดปุ่มเริ่ม ปรับความเร็วบ้าง แล้วก็วิ่งไปเรื่อยๆ

แต่รู้ไหมครับ? ลู่วิ่งสมัยใหม่มีโปรแกรมที่น่าตื่นเต้นมากมายรอให้คุณได้ลอง!

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่ง เป็นแม่บ้านวัย 45 ปี เธอซื้อลู่วิ่งรุ่น A5 ไปและแทบจะไม่ได้ใช้เลยในช่วง 2 เดือนแรก พอผมโทรไปติดตามผล เธอบอกว่า “เบื่อจัง วิ่งไม่สนุก” ผมเลยนัดไปที่บ้านเธอและแนะนำการใช้โปรแกรมอัตโนมัติที่มีอยู่ในลู่วิ่ง พร้อมทั้งสอนวิธีเชื่อมต่อกับแอป FITIME สามเดือนต่อมา เธอโทรมาขอบคุณผม บอกว่าตอนนี้วิ่งเป็นประจำทุกเช้า สนุกจนลืมเวลา และน้ำหนักลดไปถึง 5 กิโล! นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ การวิ่งบนลู่วิ่งไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อ ถ้าคุณรู้วิธีปรับโปรแกรมให้ถูกต้อง

 

จะเริ่มปรับโปรแกรมลู่วิ่งยังไงดี ให้สนุกขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก?

“เปลี่ยนลู่วิ่งจากเครื่องทรมานให้กลายเป็นเครื่องเล่นสนุก มันอยู่ที่มุมมองและวิธีการใช้งานทั้งนั้น”

ผมยังจำได้ตอนที่เพิ่งเริ่มวิ่งมาราธอนใหม่ๆ บนลู่วิ่งบ้านเมื่อ 15 ปีก่อน… เบื่อจนแทบทนไม่ไหว! แต่พอลองปรับวิธีเล่น มันเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่วิ่งได้แค่ 10 นาทีก็เบื่อ กลายเป็นวิ่งได้ชั่วโมงครึ่งแบบไม่รู้ตัว

ตั้งเป้าหมายใหม่ทุกสัปดาห์

ความแตกต่างระหว่างคนที่รักการวิ่งกับคนที่เบื่อการวิ่ง คือ “เป้าหมาย” นั่นเอง จากประสบการณ์ลูกค้าผมกว่าพันคน คนที่ใช้ลู่วิ่งอย่างต่อเนื่องมักมีเป้าหมายชัดเจนและปรับให้ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ

  • สัปดาห์ที่ 1  “วิ่งให้ครบ 15 นาทีทุกวัน” – เป้าหมายง่ายๆ เพื่อสร้างนิสัย
  • สัปดาห์ที่ 2  “วิ่งให้ได้ 2 กิโลเมตรติดต่อกัน” – เพิ่มความท้าทายนิดหน่อย
  • สัปดาห์ที่ 3  “ลองปรับความชันที่ 3% และวิ่ง 15 นาที” – เพิ่มความหลากหลาย
  • สัปดาห์ที่ 4  “วิ่งช้า-เร็วสลับกัน (30 วินาที เร็ว/1 นาที ช้า) 10 รอบ” – เพิ่มความสนุก

ผมเคยมีลูกค้าที่อายุ 62 ปี ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย เริ่มจากเดินวันละ 10 นาทีบนลู่วิ่ง แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 15, 20, 30 นาที… ตอนนี้ผ่านไป 2 ปี เขาวิ่งได้ 10 กิโลเมตรต่อวันและลงแข่งมินิมาราธอน 10K เรียบร้อยแล้ว!

การตั้งเป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องระยะทางหรือเวลานะครับ ลองคิดนอกกรอบบ้าง เช่น 

  • วิ่งพร้อมกับฟังพอดแคสต์ให้จบ 1 ตอน
  • วิ่งให้ได้จำนวนก้าวมากกว่าเมื่อวาน 500 ก้าว
  • ทำสถิติความเร็วสูงสุดใหม่แค่ 10 วินาที
  • วิ่งพร้อมกับดูซีรีส์ที่ชอบแค่ 1 ตอน

ใช้โปรแกรมวิ่งอัตโนมัติให้เป็น

“โปรแกรมอัตโนมัติในลู่วิ่งเหมือนเชฟส่วนตัวที่ปรุงอาหารให้คุณ – อย่าปล่อยให้มันนั่งว่างเปล่า!”

นี่คือความลับที่ใหญ่ที่สุดที่ผมจะบอกคุณวันนี้ – ลู่วิ่งเกือบทุกเครื่องที่ราคาเกิน 10,000 บาทขึ้นไป มีโปรแกรมวิ่งอัตโนมัติอยู่แล้ว! แต่คนส่วนใหญ่ไม่เคยกดใช้งานมันเลย

จากการสำรวจลูกค้าของผม มีแค่ 23% เท่านั้นที่เคยลองใช้โปรแกรมอัตโนมัติ ที่เหลืออีก 77% ไม่เคยลองเลย!

โปรแกรมอัตโนมัติจะช่วยปรับความเร็วและความชันให้คุณ ทำให้การวิ่งมีจังหวะขึ้นลงที่สนุกเหมือนได้ออกไปวิ่งกลางแจ้งจริงๆ

ตัวอย่างเช่น ลู่วิ่งรุ่น A3 ของเราจะมีโปรแกรมแบบนี้ 

  • P1  วิ่งเทียบเท่าการวิ่งในสวน (ความเร็ว/ความชันค่อยๆ ขึ้นลง)
  • P3  จำลองการวิ่งบนเนินเขา (ความชันจะขึ้นสูงเป็นช่วงๆ)
  • P5  โปรแกรมเผาผลาญไขมัน (รักษาชีพจรที่ 65-75% ของอัตราสูงสุด)
  • P8  ฝึกความอึด (สลับช่วงหนักและเบา)

ผมเคยแนะนำลูกค้าคนหนึ่งให้ลองใช้โปรแกรม P3 แทนที่จะวิ่งแบบความเร็วคงที่ ปรากฏว่าเธอกลับมาบอกว่า “รู้สึกเหมือนได้ไปวิ่งที่เขาใหญ่เลยค่ะ สนุกมาก!”

ผสมผสานความเร็วและความชันแบบมือโปร

ถ้าคุณเบื่อโปรแกรมอัตโนมัติที่มีมาให้แล้ว ลองทำเป็นโค้ชให้ตัวเองดูบ้าง ด้วยเทคนิคผสมผสานความเร็วและความชันที่ผมใช้เองตอนซ้อมวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok เมื่อปีที่แล้ว 

  1. เทคนิค “ขึ้นเขา-ลงเขา” 
    • วอร์มอัพ 5 นาที ที่ความเร็วสบายๆ
    • เพิ่มความชันขึ้น 1% ทุก 2 นาที จนถึง 8%
    • จากนั้นลดลง 1% ทุก 2 นาที จนถึง 0%
    • ทำ 2-3 รอบ
  2. เทคนิค “สปรินท์สั้น พักยาว” 
    • วิ่งที่ความเร็วสบายๆ 5 นาที
    • สปรินท์ 30 วินาที (80% ของความเร็วสูงสุด)
    • เดินเร็ว 90 วินาที
    • ทำซ้ำ 6-8 รอบ
    • คูลดาวน์ 5 นาที

ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Laguna Phuket Marathon 2024 ผมใช้เทคนิคนี้เป็นประจำเพราะมันช่วยเพิ่มความอึดและทำให้วิ่งได้เร็วขึ้นโดยไม่รู้สึกว่ากำลังซ้อมหนัก

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2023 กับนักวิ่งสมัครเล่น 150 คน พบว่า กลุ่มที่ใช้การวิ่งแบบสลับความเข้มข้น (เช่น สปรินท์สั้นพักยาว) มีความสุขในการวิ่งมากกว่ากลุ่มที่วิ่งแบบความเร็วคงที่ถึง 43% และมีอัตราการยกเลิกการออกกำลังกายน้อยกว่าถึง 28%

 

แอปช่วยวิ่งแบบไหนที่ใช้ร่วมกับลู่วิ่งแล้วสนุกขึ้นจริง?

“แอปพลิเคชันสำหรับวิ่งเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมวิ่งที่คอยจูงใจให้คุณอยากออกมาวิ่งทุกวัน”

Zwift, Kinomap, FITIME – เลือกอะไรดี?

“แอปเหล่านี้เปลี่ยนลู่วิ่งของคุณให้กลายเป็นเกมผจญภัยได้เลย แค่มีสมาร์ทโฟนและลู่วิ่งที่เชื่อมต่อได้”

ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Garmin Run Asia Series 2024 ฝนตกหนักมากช่วงเดือนกรกฎาคม ทำให้ต้องซ้อมในบ้านเกือบทั้งเดือน ถ้าไม่มีแอปพวกนี้ คงเบื่อแย่แน่ๆ

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ลองมาทั้งหมด ผมขอแนะนำดังนี้ 

  1. Zwift – เหมาะสำหรับคนชอบความรู้สึกแข่งขันและเล่นเกม
  • ข้อดี  กราฟิกสวย มีชุมชนนักวิ่งทั่วโลก สามารถแข่งกับคนอื่นแบบเรียลไทม์
  • ข้อเสีย  มีค่าสมาชิกรายเดือน (ประมาณ 450 บาท) และต้องมีลู่วิ่งที่เชื่อมต่อได้ดี

ผมเคยใช้ Zwift กับลู่วิ่ง X20S แล้วรู้สึกเหมือนได้ไปวิ่งในโลกเสมือนจริง มันสนุกมากจนผมลืมไปเลยว่ากำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง!

  1. Kinomap – เหมาะสำหรับคนชอบท่องเที่ยวและธรรมชาติ
  • ข้อดี  มีเส้นทางวิ่งจริงจากทั่วโลก เช่น วิ่งเลียบชายหาดที่มัลดีฟส์ หรือวิ่งในป่าที่ญี่ปุ่น
  • ข้อเสีย  ความหลากหลายของเส้นทางในไทยยังมีน้อย

มีลูกค้าคนหนึ่งของผมเป็นคุณป้าวัย 58 ปี บอกว่า “หนูหมิง แอปนี้เหมือนพาฉันไปเที่ยวรอบโลกทุกวันเลย ทั้งที่ฉันยังอยู่ในห้องนอนตัวเอง!”

  1. FITIME – เหมาะสำหรับคนเริ่มต้นและชอบความเรียบง่าย
  • ข้อดี  ฟรี ใช้งานง่าย เชื่อมต่อกับลู่วิ่งหลายรุ่นในไทย (รวมถึงรุ่น A1, A3, A5 ของเรา)
  • ข้อเสีย  กราฟิกเรียบง่าย ฟีเจอร์น้อยกว่าแอปอื่น

ผมแนะนำ FITIME ให้กับลูกค้าใหม่เสมอ เพราะใช้งานง่ายที่สุด และมีโปรแกรมสำหรับมือใหม่ที่ช่วยให้เริ่มต้นได้ไม่ยาก

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  จากการศึกษาในปี 2024 กับกลุ่มตัวอย่าง 400 คน พบว่าผู้ที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีลักษณะเกมมิฟิเคชั่น (Gamification) ร่วมกับการวิ่งบนลู่วิ่ง มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้แอปถึง 68% และมีความสุขในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น 47%

ลู่วิ่งเชื่อมแอป Bluetooth ได้ ช่วยอะไร?

“Bluetooth ในลู่วิ่งไม่ใช่แค่เชื่อมต่อลำโพง แต่มันคือสะพานที่เชื่อมโลกจริงกับโลกดิจิทัล”

เมื่อก่อนผมคิดว่า Bluetooth ในลู่วิ่งมีไว้แค่เปิดเพลง จนวันหนึ่งลูกค้าวัย 35 ปี คนหนึ่งส่งรูปมาอวด – เขาวิ่งบนลู่วิ่งรุ่น A5 แต่ในมือถือของเขาแสดงว่ากำลังวิ่งแข่งกับเพื่อนอีก 5 คนที่อยู่คนละที่ผ่านแอป Zwift!

ความสามารถของ Bluetooth ในลู่วิ่งสมัยใหม่ที่น่าทึ่ง 

  1. ส่งข้อมูลการวิ่งแบบเรียลไทม์ – ความเร็ว ระยะทาง ชีพจร จะถูกส่งไปยังแอปบนมือถือหรือแท็บเล็ต
  2. ควบคุมลู่วิ่งผ่านแอป – บางแอปสามารถสั่งเพิ่ม/ลดความเร็วหรือความชันของลู่วิ่งได้โดยอัตโนมัติตามเส้นทางเสมือน
  3. วิเคราะห์การวิ่ง – รวบรวมข้อมูลการวิ่งเพื่อติดตามพัฒนาการและให้คำแนะนำในการปรับปรุง

นายแพทย์ท่านหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่ง X20 ไปเล่าให้ผมฟังว่า  “ผมวิ่งแข่งกับเพื่อนหมอด้วยกันทุกเช้าวันอาทิตย์ผ่าน Zwift แต่เราต่างอยู่คนละโรงพยาบาลคนละจังหวัด มันสนุกมากเหมือนได้ออกไปวิ่งด้วยกันจริงๆ”

ลู่วิ่งของเราทุกรุ่นตั้งแต่ A1 ขึ้นไปรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth กับแอปพลิเคชันยอดนิยมได้ทั้งหมด ทำให้การวิ่งในบ้านไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

จำลองสนามจริง เพิ่มอารมณ์ “นักวิ่งตัวจริง”

“ลองนึกภาพว่าคุณกำลังวิ่งขึ้นเขาที่ภูกระดึง หรือวิ่งในเส้นทาง Boston Marathon โดยที่ไม่ต้องออกจากบ้าน”

นี่คือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในลู่วิ่งยุคใหม่ – ความสามารถในการจำลองเส้นทางวิ่งจริง!

ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Laguna Phuket Marathon 2024 ผมทำการบ้านมาดีมาก โดยศึกษาเส้นทางการวิ่งจริงและพบว่ามีเนินสูงชันช่วงกิโลเมตรที่ 15-18 ซึ่งเป็นจุดที่นักวิ่งหลายคนหมดแรง

ด้วยลู่วิ่ง X20S ที่เชื่อมต่อกับ Kinomap ผมสามารถจำลองเส้นทางนั้นและซ้อมวิ่งบนเนินเสมือนจริงได้ ผลลัพธ์คือ? ตอนแข่งจริงผมผ่านช่วงเนินนั้นไปได้สบายมาก ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้ซ้อมแบบนี้ต้องเดินขึ้นเนิน!

วิธีจำลองสนามจริงทำได้ง่ายๆ 

  1. ดาวน์โหลดเส้นทางจากเว็บไซต์ – หลายเว็บไซต์มีไฟล์ GPX ของเส้นทางวิ่งดังๆ ทั่วโลก
  2. อัปโหลดไฟล์เข้าแอป – เช่น Kinomap, Zwift หรือ FITIME
  3. เชื่อมต่อกับลู่วิ่ง – ผ่าน Bluetooth
  4. เริ่มวิ่ง – แอปจะปรับความชันของลู่วิ่งให้ตรงกับเส้นทางจริงโดยอัตโนมัติ

ลูกค้าคนหนึ่งของผมเป็นหนุ่มออฟฟิศที่ใช้วิธีนี้เตรียมตัวสำหรับการแข่ง Trail ที่เขาใหญ่ เขาบอกว่า “พอไปวิ่งจริง รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางมากเลยพี่หมิง เหมือนเคยไปมาแล้ว ทั้งที่จริงๆ ซ้อมอยู่แต่ในคอนโดตลอด!”

 

ใช้เสียง เพลง และหน้าจอ ช่วยให้ลู่วิ่งสนุกขึ้นได้ยังไง?

“เสียงและภาพที่ถูกต้องสามารถเปลี่ยนการวิ่ง 30 นาทีที่น่าเบื่อให้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำได้”

เพลงแบบ BPM ตรงสปีดช่วยให้วิ่งเพลิน

“วิ่งตามจังหวะเพลงที่ตรงกับก้าวเท้า เหมือนมีดีเจส่วนตัวคอยเปิดเพลงให้คุณวิ่งแบบมีจังหวะจะโคน”

นี่คือเคล็ดลับที่ผมใช้มาตลอด 20 ปีในการวิ่งมาราธอน – เพลงที่มีจังหวะตรงกับก้าวเท้า!

จังหวะเพลงหรือ BPM (Beats Per Minute) ที่เหมาะกับความเร็วในการวิ่งของคุณ 

  • เดินเร็ว (5-6 กม./ชม.)  110-120 BPM
  • วิ่งเหยาะๆ (7-9 กม./ชม.)  130-140 BPM
  • วิ่งปานกลาง (10-12 กม./ชม.)  150-160 BPM
  • วิ่งเร็ว (13+ กม./ชม.)  170+ BPM

ผมเคยสร้างเพลย์ลิสต์เฉพาะสำหรับช่วงเวลาต่างๆ ของการซ้อมมาราธอน เช่น ช่วงอุ่นเครื่องจะใช้เพลง 120-130 BPM, ช่วงวิ่งเร็วใช้ 160-170 BPM และช่วงสุดท้ายที่ต้องการแรงฮึดจะใช้เพลงที่มี BPM สูงถึง 175!

เคยมีลูกค้าคนหนึ่งที่บ่นว่าเบื่อการวิ่ง ผมแนะนำให้ลองใช้แอป Spotify ที่มีฟีเจอร์ “Running” ซึ่งจะเลือกเพลงให้ตรงกับจังหวะก้าวของคุณ เธอกลับมาอีกทีและบอกว่า “พี่หมิง วิธีนี้เวิร์คมาก ฉันวิ่งได้นานขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลย!”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2023 ที่มหาวิทยาลัยในอเมริกากับกลุ่มตัวอย่าง 200 คน พบว่าการวิ่งพร้อมฟังเพลงที่มี BPM สอดคล้องกับจังหวะก้าววิ่ง สามารถเพิ่มระยะเวลาในการวิ่งโดยไม่รู้สึกเหนื่อยได้ถึง 15% และลดการรับรู้ความเหนื่อยล้า (Rate of Perceived Exertion) ลงได้ 12%

เปิดซีรีส์ระหว่างวิ่ง – สนุกจนลืมเหนื่อย

“ผมเคยวิ่งยาวถึง 2 ชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว เพราะกำลังลุ้นว่าพระเอกในซีรีส์จะรอดไหม”

ผมขอสารภาพเลยครับ วิธีนี้เป็นเคล็ดลับส่วนตัวที่ผมใช้ตอนซ้อมวิ่งระยะยาว โดยเฉพาะในวันที่ต้องวิ่งเกิน 90 นาที

ทริคของผมคือ 

  1. เลือกซีรีส์ที่มีเนื้อเรื่องชวนติดตาม แต่ไม่ต้องใช้สมาธิมากเกินไป
  2. ดูเฉพาะตอนซ้อมวิ่งเท่านั้น (บังคับตัวเองให้อยากออกมาวิ่งเพื่อดูต่อ!)
  3. หยุดดูทันทีเมื่อหยุดวิ่ง แม้จะเหลืออีกนิดเดียวก็ตาม

“Breaking Bad” คือซีรีส์ที่ทำให้ผมซ้อมวิ่งสำหรับ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ได้อย่างสนุกและสม่ำเสมอ จนฟิตพอที่จะทำเวลา 3 45 ในการแข่งขันจริง!

ลูกค้าคนหนึ่งของผมเป็นแม่บ้านวัย 42 ปี เธอใช้วิธีนี้กับซีรีส์เกาหลีและสามารถลดน้ำหนักได้ 8 กิโลในเวลา 3 เดือน! เธอบอกว่า “บางวันฉันวิ่งเกินเป้าไป 20 นาที เพราะอยากดูให้จบฉากสำคัญ!”

สำหรับลู่วิ่งรุ่น X20S หรือ REAL ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ คุณสามารถเชื่อมต่อ Netflix หรือ YouTube ได้โดยตรง ไม่ต้องพกแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์ก็ดูได้สบายๆ

ใช้ลำโพงในลู่วิ่งให้คุ้ม!

“เสียงคุณภาพดีสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คุณวิ่งได้เร็วขึ้นและนานขึ้น”

ลู่วิ่งเกือบทุกรุ่นในปัจจุบันมาพร้อมลำโพงในตัว แต่น้อยคนจะรู้ว่าจะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร

จากประสบการณ์ของผม นี่คือวิธีใช้ลำโพงในลู่วิ่งให้สนุกสุดๆ 

  1. พอดแคสต์ด้านการวิ่ง – ฟังเคล็ดลับจากนักวิ่งระดับโลก หรือเรื่องราวแรงบันดาลใจ
  2. ไลฟ์โค้ชเสมือนจริง – มีแอปที่จะพูดแนะนำและให้กำลังใจคุณระหว่างวิ่ง เหมือนมีโค้ชส่วนตัว
  3. เสียงธรรมชาติ – ลองเปิดเสียงป่า น้ำตก ทะเล เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย
  4. ฝึกภาษา – ใช้เวลาวิ่งให้คุ้มด้วยการฟังบทเรียนภาษาต่างประเทศ

ผมรู้จักนักธุรกิจท่านหนึ่งที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจนคล่องระหว่างวิ่งบนลู่วิ่งทุกเช้า 30 นาที! เขาบอกว่า “ผมได้ทั้งสุขภาพและทักษะใหม่ในเวลาเดียวกัน”

ลู่วิ่งรุ่น A5 และ SONIC ของเรามีลำโพงคุณภาพสูงที่ให้เสียงชัดเจน ทำให้ประสบการณ์การฟังระหว่างวิ่งสมจริงยิ่งขึ้น

 

โปรแกรมลู่วิ่งแต่ละแบบ เหมาะกับเป้าหมายอะไรบ้าง?

“โปรแกรมลู่วิ่งเหมือนยาที่ต้องเลือกให้ถูกกับโรค เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงเป้าหมายที่สุด”

ผมขอรับประกันว่า 90% ของคนที่ซื้อลู่วิ่งไม่เคยรู้เลยว่าโปรแกรมต่างๆ ในลู่วิ่งมีไว้เพื่ออะไร ทั้งที่มันถูกออกแบบมาให้เหมาะกับเป้าหมายเฉพาะทางนั่นเอง

ลดไขมัน / ฝึกความอึด / สร้างกล้ามเนื้อ

โปรแกรมวิ่งเพื่อลดไขมัน 

  • ความเร็วปานกลาง (60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด)
  • ระยะเวลานาน (30-60 นาที)
  • ความต่อเนื่องสม่ำเสมอ (วิ่ง 4-5 วันต่อสัปดาห์)

โปรแกรมวิ่งเพื่อฝึกความอึด 

  • สลับช่วงเร็ว-ช้า (Interval Training)
  • ความเร็วสูง (80-85% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) สลับกับช่วงพัก
  • ทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

โปรแกรมวิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อขา 

  • วิ่งขึ้นเนิน (ความชัน 5-10%)
  • ความเร็วปานกลาง
  • เน้นช่วงสั้นๆ แต่เข้มข้น (20-30 นาที)

ผมมีลูกค้าที่เป็นแพทย์หญิงอายุ 38 ปี เธอต้องการลดไขมันหน้าท้องโดยเฉพาะ ผมแนะนำให้ใช้โปรแกรม P5 (Fat Burning) ในลู่วิ่งรุ่น A3 วันละ 45 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ผลลัพธ์คือเธอลดรอบเอวได้ 4 นิ้วภายใน 2 เดือน!

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  จากการศึกษาในปี 2023 พบว่าการออกกำลังกายแบบสลับความเข้มข้น (HIIT) บนลู่วิ่ง สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งแบบความเร็วคงที่ถึง 25-30% ในระยะเวลาที่เท่ากัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องหลังจากหยุดออกกำลังกายไปแล้วถึง 24 ชั่วโมง (หรือที่เรียกว่า Afterburn Effect)

วิธีปรับสปีด – ระยะ – ชัน ให้ตรงเป้า

“การปรับพารามิเตอร์ทั้ง 3 อย่างนี้ให้สมดุล จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ต้องการโดยไม่บาดเจ็บ”

สูตร 80/20  80% ของการวิ่งควรเป็นความเข้มข้นต่ำถึงปานกลาง และ 20% ควรเป็นการวิ่งที่หนักและท้าทาย

การปรับความชัน 

  • 0-1%  จำลองการวิ่งบนพื้นราบกลางแจ้ง (เหมาะสำหรับวิ่งระยะไกล)
  • 2-3%  เพิ่มความท้าทายเล็กน้อย (เหมาะสำหรับการเผาผลาญไขมัน)
  • 4-6%  ระดับเนินปานกลาง (เสริมสร้างกล้ามเนื้อขา)
  • 7-10%  เนินสูงชัน (เพิ่มกำลังและความแข็งแรง)
  • 10%+  เหมือนการปีนเขา (สำหรับนักวิ่งที่ต้องการความท้าทายสูง)

การปรับระยะเวลาและความเร็ว 

  • เป้าหมายลดน้ำหนัก  ความเร็วปานกลาง (55-65% ของความเร็วสูงสุด) นาน 45-60 นาที
  • เป้าหมายเพิ่มความอึด  สลับความเร็วสูง (80-90%) 1-2 นาที กับเดินเร็ว 2 นาที ทำซ้ำ 8-10 รอบ
  • เป้าหมายวิ่งได้ไกลขึ้น  ความเร็วต่ำ (50-55%) แต่เพิ่มระยะเวลาทีละน้อย ทุกสัปดาห์

ผมจำได้ว่ามีลูกค้าวัย 45 ปี น้ำหนักเกินถึง 15 กิโล ที่มาปรึกษาผมเรื่องการใช้ลู่วิ่งลดน้ำหนัก ผมแนะนำให้เธอเริ่มต้นด้วย 

  • สัปดาห์ 1-2  เดินเร็วที่ความเร็ว 5 กม./ชม. เวลา 30 นาที ความชัน 1%
  • สัปดาห์ 3-4  เดินเร็วสลับวิ่งเหยาะๆ (5 นาทีเดิน / 1 นาทีวิ่ง) 40 นาที
  • สัปดาห์ 5-6  เพิ่มความชันเป็น 2% และทำแบบเดิม 45 นาที
  • สัปดาห์ 7-8  เพิ่มสัดส่วนการวิ่ง (3 นาทีเดิน / 2 นาทีวิ่ง) 50 นาที

ผลลัพธ์คือเธอลดน้ำหนักได้ 6 กิโลในเวลา 2 เดือน โดยไม่มีอาการบาดเจ็บเลย!

 

ลู่วิ่งไม่มีโปรแกรมอัตโนมัติ จะปรับยังไงให้ไม่น่าเบื่อ?

“ลู่วิ่งราคาถูกไม่มีโปรแกรมอัตโนมัติ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะวิ่งแบบน่าเบื่ออีกต่อไป”

ผมเคยได้ยินประโยคนี้บ่อยมาก  “ลู่วิ่งผมราคาไม่แพง ไม่มีโปรแกรมอะไรเลย เลยเบื่อ…” ตอนนั้นผมหัวเราะในใจนิดหน่อย เพราะจริงๆ แล้ว ลู่วิ่งที่ผมเริ่มต้นตอนเตรียมตัววิ่งมาราธอนครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อนก็ไม่มีโปรแกรมอัตโนมัติเหมือนกัน!

DIY โปรแกรมวิ่งแบบ “สนุกทุกวัน”

“ลู่วิ่งธรรมดากลายเป็นเครื่องสร้างความสนุกได้ ถ้าคุณเปลี่ยนมุมมอง”

นี่คือเคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงที่ผมใช้มาตลอด การสร้างโปรแกรมวิ่งเองแบบง่ายๆ ที่คุณทำได้กับลู่วิ่งทุกเครื่อง ไม่ว่าจะราคาถูกแค่ไหน 

เทคนิค “สร้างเรื่องราวในหัว”

ผมมักจะสมมติว่าตัวเองกำลังวิ่งหนีซอมบี้ หรือเป็นนักกีฬาโอลิมปิก มันฟังดูเหมือนเด็กๆ แต่เชื่อผมเถอะ มันได้ผลจริงๆ! ลองแบบนี้ดู 

  • วันจันทร์  “วิ่งตามหาขุมทรัพย์” – เริ่มช้าๆ (6 กม./ชม.) 5 นาที แล้วเร่งขึ้นทุก 5 นาที สมมติว่าคุณกำลังเข้าใกล้สมบัติ จนถึงความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในช่วงสุดท้าย (เหมือนพบสมบัติแล้ว!)
  • วันพุธ  “หนีการไล่ล่า” – เริ่มด้วยความเร็วปานกลาง (8 กม./ชม.) 3 นาที, สปรินท์ (12 กม./ชม.) 1 นาที, เดินเร็ว (5 กม./ชม.) 2 นาที ทำซ้ำ 6-8 รอบ
  • วันศุกร์  “สำรวจโลกใหม่” – เปลี่ยนความเร็วทุกๆ 3 นาที ตามที่รู้สึก บางช่วงช้า บางช่วงเร็ว ไม่มีรูปแบบตายตัว เหมือนกำลังเดินทางผ่านภูมิประเทศแปลกใหม่

 

วิ่ง 5 เพลง / วิ่งให้ทันตอนจบซีรีส์ / วิ่งแบบท้าเวลา

“การวิ่งไม่จำเป็นต้องวัดเป็นนาทีหรือกิโลเมตรเสมอไป คุณสามารถวัดด้วยหน่วยที่สนุกกว่าได้”

เคล็ดลับของผมอีกอย่างที่ทำให้การวิ่งสนุกขึ้นคือ การเปลี่ยนวิธีนับเวลาหรือระยะทาง ลองคิดนอกกรอบแบบนี้ 

  • วิ่งตามเพลย์ลิสต์ – แทนที่จะตั้งเป้า 30 นาที ให้ตั้งเป้าว่า “วันนี้ฉันจะวิ่งจนครบ 7 เพลง” ทำให้ไม่ต้องมองนาฬิกาบ่อยๆ และทุกครั้งที่เพลงเปลี่ยน จะรู้สึกเหมือนถึงด่านใหม่
  • วิ่งให้ทันจบซีรีส์ – ตั้งเป้าว่าจะวิ่งจนกว่าจะดูซีรีส์จบตอน บางทีอาจได้วิ่งนานกว่าที่ตั้งใจเพราะซีรีส์สนุก!
  • วิ่งแบบท้าเวลา – แทนที่จะวิ่งให้ได้ระยะทางหรือเวลาที่กำหนด ลองท้าตัวเองดู เช่น “วันนี้จะพยายามวิ่ง 1 กิโลให้เร็วที่สุด” หรือ “วิ่ง 5 นาทีสุดท้ายให้เร็วกว่าเมื่อวาน 5%”

ผมใช้วิธีนี้กับตัวเองตลอด โดยจะบันทึกสถิติไว้ในโน้ตเล็กๆ ทุกครั้ง ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังแข่งกับตัวเองและมีแรงจูงใจที่จะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  จากการศึกษาในปี 2024 กับกลุ่มคนทั่วไป 350 คน พบว่าการออกกำลังกายที่มีการตั้งเป้าหมายแบบมีเรื่องราว (Narrative Goals) เช่น วิ่งตามเพลง หรือวิ่งระหว่างดูรายการโปรด มีอัตราความต่อเนื่องในการออกกำลังกายสูงกว่าคนที่ตั้งเป้าหมายแบบตัวเลข (เช่น วิ่ง 30 นาที) ถึง 37% ในระยะเวลาติดตาม 6 เดือน

 

ลู่วิ่งแบบไหนช่วยให้คุณวิ่งสนุกขึ้นกว่าเดิม?

“ลู่วิ่งไม่ใช่แค่เครื่องมือออกกำลังกาย แต่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางในเส้นทางสู่สุขภาพที่ดี เลือกให้เหมาะกับตัวคุณ”

ตลอดเวลา 20 ปีที่ผมขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง ผมได้เรียนรู้ว่า ไม่มีลู่วิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่มีลู่วิ่งที่เหมาะที่สุดสำหรับแต่ละคน

ถ้าชอบเล่นโปรแกรม – แนะนำ A5 / X20S

“ถ้าคุณชอบความหลากหลายและต้องการลู่วิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการได้ทุกวัน นี่คือตัวเลือกของคุณ”

สำหรับคนที่ชอบความหลากหลายและอยากลองโปรแกรมวิ่งแบบต่างๆ ผมมักแนะนำลู่วิ่งรุ่น A5 หรือ X20S เพราะเหตุผลดังนี้ 

  • A5 เป็นลู่วิ่งระดับกลางที่มีมอเตอร์แรง 5.0 แรงม้า สามารถรองรับผู้ใช้งานได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักวิ่งระดับกลาง มีโปรแกรมอัตโนมัติ 12 โปรแกรม และปรับความชันได้ถึง 15 ระดับ
  • ส่วน X20S เป็นอีกระดับที่เหนือขึ้นไป ด้วยหน้าจอทัชสกรีนขนาด 12 นิ้ว และโปรแกรมอัตโนมัติถึง 36 โปรแกรม พร้อมฟีเจอร์พิเศษมากมาย เช่น การเชื่อมต่อกับ Netflix, Wifi หรือ Youtube

 

ถ้าเน้นบันเทิง – เลือกรุ่นจอใหญ่ + ลำโพง

“ถ้าคุณคือคนที่ต้องมีความบันเทิงระหว่างวิ่ง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเบื่อทันที ลู่วิ่งเหล่านี้เหมาะกับคุณ”

สำหรับคนที่รักความบันเทิง และต้องการความเพลิดเพลินระหว่างวิ่ง ผมขอแนะนำลู่วิ่งที่มีหน้าจอขนาดใหญ่และระบบเสียงคุณภาพดี

  • รุ่น REAL หรือ X11 มาพร้อมหน้าจอขนาด 22-23 นิ้ว ที่ให้ภาพคมชัด และลำโพงคุณภาพดี ทำให้คุณสามารถดูหนัง ฟังเพลง หรือดูรายการโปรดได้อย่างเต็มอรรถรส

 

ถ้าชอบความสมจริง – ลองลู่วิ่ง Curve CX8

“อยากได้ความรู้สึกเหมือนวิ่งข้างนอกจริงๆ แต่ไม่อยากเจอแดด ฝน หรือมลพิษ นี่คือคำตอบ”

สำหรับนักวิ่งจริงจังที่ต้องการความสมจริงสูงสุด ผมขอแนะนำลู่วิ่งแบบโค้ง (Curved) อย่างรุ่น CX8 ที่ไม่ใช้ไฟฟ้า

สิ่งที่พิเศษมากๆ ของลู่วิ่งแบบโค้งคือ 

  • ประการแรก มันเป็นลู่วิ่งที่ไม่ใช้มอเตอร์ คุณเป็นคนควบคุมความเร็วด้วยตัวเอง ทำให้รู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่า – อยากเร็วก็วิ่งเร็ว อยากช้าก็วิ่งช้า ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ
  • ประการที่สอง ดีไซน์แบบโค้งช่วยให้รูปแบบการวิ่งเป็นธรรมชาติกว่า ลดแรงกระแทกที่ข้อต่อ และเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไปถึง 30%

มีเรื่องน่าสนใจอีกอย่างคือ ผมเองก็มี CX8 ที่บ้าน และใช้มันซ้อมสำหรับ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 สิ่งที่ผมสังเกตคือเมื่อไปวิ่งจริง ผมไม่รู้สึกว่าต้องปรับตัวเลย เพราะกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวเหมือนกับที่ซ้อมมาทุกประการ!

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  จากการศึกษาเปรียบเทียบการเผาผลาญพลังงานระหว่างลู่วิ่งธรรมดากับลู่วิ่งแบบโค้งในปี 2023 พบว่า การวิ่งบนลู่แบบโค้งที่ไม่ใช้มอเตอร์สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งบนลู่ธรรมดาที่ความเร็วเท่ากันถึง 24% และมีการกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดหลังมากกว่า 30% เนื่องจากผู้วิ่งต้องออกแรงขับเคลื่อนสายพานเอง

 

มีตารางฝึกยังไงให้วิ่งสนุกได้ทุกวัน ไม่ซ้ำเดิม?

“10 สูตรโปรแกรมวิ่งแจกฟรี ที่ผมใช้เองและแนะนำให้ลูกค้ากว่าพันคน รับรองสนุก ไม่น่าเบื่อ ผลลัพธ์เห็นชัด!”

จากประสบการณ์ 20 ปีในวงการวิ่งและขายลู่วิ่ง ผมได้พัฒนาสูตรโปรแกรมวิ่งที่ทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งสนุกและได้ผลจริง ผมจัดอันดับเป็น Tier List ให้เลือกใช้ตามเป้าหมายและระดับความฟิตของคุณ 

Tier S (ระดับสุดยอด)  โปรแกรมที่ให้ผลลัพธ์โดดเด่นที่สุด

  1. “มาราธอนเร็ว” – สูตรเร่งความเร็ว
  • เหมาะสำหรับ  นักวิ่งที่ต้องการเพิ่มความเร็ว ลดเวลาวิ่ง
  • วิธีทำ 
    • วอร์มอัพ 10 นาที ที่ 60% ความเร็วสูงสุด
    • วิ่งเร็ว 2 นาที ที่ 85% ความเร็วสูงสุด
    • วิ่งช้า 2 นาที ที่ 60% ความเร็วสูงสุด
    • ทำซ้ำ 8 รอบ
    • คูลดาวน์ 5 นาที
  • ทำเมื่อไร  2 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  เพิ่มความเร็วได้ถึง 15% ใน 4 สัปดาห์
  1. “สวีทสปอต” – สูตรเผาผลาญไขมันทำลายโซน
  • เหมาะสำหรับ  คนต้องการลดไขมัน เผาผลาญแคลอรี่สูงสุด
  • วิธีทำ 
    • วอร์มอัพ 5 นาที
    • วิ่งปานกลาง 3 นาที (ความชัน 1%)
    • วิ่งเร็ว 1 นาที (ความชัน 2%)
    • สปรินท์ 30 วินาที (ความชัน 0%)
    • เดินเร็ว 90 วินาที (ความชัน 0%)
    • ทำซ้ำ 8-12 รอบ
  • ทำเมื่อไร  2-3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  เผาผลาญสูงกว่าการวิ่งปกติ 30% ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง

Tier A (ระดับเยี่ยม)  โปรแกรมที่สนุกและได้ผลดีเยี่ยม

  1. “โรลเลอร์โคสเตอร์” – สูตรขึ้นเขาลงเขา
  • เหมาะสำหรับ  คนที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของขา และความอึด
  • วิธีทำ 
    • เริ่มที่ความชัน 0% นาน 3 นาที
    • เพิ่มความชัน 1% ทุก 2 นาที จนถึง 10%
    • ลดความชัน 1% ทุก 2 นาที จนถึง 0%
    • ทำซ้ำ 2-3 รอบ
  • ทำเมื่อไร  1-2 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  เสริมสร้างกล้ามเนื้อขา เพิ่มความทนทานในการวิ่งขึ้นเนิน
  1. “เอ็นเตอร์เทนเนอร์” – สูตรมีเดียมิกซ์
  • เหมาะสำหรับ  คนที่เบื่อง่าย ต้องการความบันเทิง
  • วิธีทำ 
    • ดูซีรีส์หรือฟังพอดแคสต์ที่ชอบ
    • วิ่งเร็วขึ้นในฉากตื่นเต้น (2-3 นาที)
    • ลดความเร็วลงในฉากปกติ (5 นาที)
    • เพิ่มความชันในฉากที่ตัวละครกำลังเผชิญความท้าทาย
    • วิ่งต่อจนจบตอน (ประมาณ 40-60 นาที)
  • ทำเมื่อไร  2-3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  ระยะเวลาวิ่งยาวนานขึ้นโดยไม่รู้สึกเบื่อ

Tier B (ระดับดี)  โปรแกรมสำหรับวันสบายๆ แต่ยังได้ประโยชน์

  1. “โซนนิ่ง” – สูตรควบคุมหัวใจ
  • เหมาะสำหรับ  ผู้เริ่มต้น หรือวันที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย
  • วิธีทำ 
    • รักษาอัตราการเต้นของหัวใจที่ 65-75% ของอัตราสูงสุด
    • ปรับความเร็วและความชันเพื่อรักษาโซนหัวใจ
    • วิ่งต่อเนื่อง 30-45 นาที
  • ทำเมื่อไร  1-2 ครั้ง/สัปดาห์ (วันฟื้นฟู)
  • ผลที่ได้  เพิ่มความทนทานพื้นฐาน ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  1. “เบิร์นเนอร์” – สูตรเผาไขมันนานนนน
  • เหมาะสำหรับ  ผู้ต้องการลดน้ำหนัก เผาผลาญไขมัน
  • วิธีทำ 
    • วิ่งที่ความเร็วปานกลาง (60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด)
    • ความชัน 1-3%
    • ระยะเวลา 45-60 นาที
  • ทำเมื่อไร  2-3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  เผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ
  1. “มิวสิคมิกซ์” – สูตรวิ่งตามบีท
  • เหมาะสำหรับ  คนรักเสียงเพลง วิ่งตามจังหวะ
  • วิธีทำ 
    • จัดเพลย์ลิสต์หลากหลาย BPM (110-180)
    • ปรับความเร็วตามจังหวะเพลง
    • เพลงช้า = วิ่งช้า, เพลงเร็ว = วิ่งเร็ว
    • ระยะเวลา 30-45 นาที (10-15 เพลง)
  • ทำเมื่อไร  2-3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  สนุก ไม่เบื่อ และได้ฝึกวิ่งหลายความเร็ว

Tier C (ระดับพื้นฐาน)  โปรแกรมเริ่มต้นสำหรับมือใหม่

  1. “ไฟว์คัม” – สูตร 5 ขั้นตอนสู่นักวิ่ง
  • เหมาะสำหรับ  มือใหม่หัดวิ่ง ผู้มีน้ำหนักมาก
  • วิธีทำ 
    • เดิน 5 นาที (4 กม./ชม.)
    • สลับเดินเร็ว 3 นาที (5.5 กม./ชม.) / เดินปกติ 2 นาที
    • ทำซ้ำ 5 รอบ
    • คูลดาวน์ 5 นาที
  • ทำเมื่อไร  3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  สร้างความคุ้นเคยกับลู่วิ่ง เตรียมร่างกายสู่การวิ่งจริง
  1. “ไต่ระดับ” – สูตรเพิ่มระยะทางค่อยเป็นค่อยไป
  • เหมาะสำหรับ  ผู้เริ่มต้น ต้องการเพิ่มระยะทางวิ่ง
  • วิธีทำ 
    • สัปดาห์ที่ 1  วิ่ง 1 กม. เดิน 1 กม. ทำ 2 รอบ
    • สัปดาห์ที่ 2  วิ่ง 1.5 กม. เดิน 0.5 กม. ทำ 2 รอบ
    • สัปดาห์ที่ 3  วิ่ง 2 กม. เดิน 0.5 กม. ทำ 2 รอบ
    • สัปดาห์ที่ 4  วิ่ง 5 กม. ต่อเนื่อง
  • ทำเมื่อไร  3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ผลที่ได้  สามารถวิ่งระยะยาวได้ภายใน 1 เดือน
  1. “ลองสนาม” – สูตรจำลองการแข่งขัน
  • เหมาะสำหรับ  นักวิ่งที่เตรียมตัวแข่งขัน
  • วิธีทำ 
    • ดาวน์โหลดเส้นทางจริงของการแข่งขันที่จะไป
    • จำลองสนามบนลู่วิ่ง ปรับความชันตามเส้นทางจริง
    • วิ่งด้วยความเร็วที่คาดว่าจะใช้ในวันแข่ง
    • ทดลองทั้งกลยุทธ์และอาหารที่จะใช้วันแข่ง
  • ทำเมื่อไร  1 ครั้ง/สัปดาห์ (4 สัปดาห์ก่อนแข่ง)
  • ผลที่ได้  เตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจสำหรับการแข่งขันจริง

แนะนำตารางวิ่ง 7 วัน  สลับเป้าหมาย เปลี่ยนโหมด

จากประสบการณ์ซ้อมวิ่งมาราธอนของผม ตารางฝึก 7 วันที่สมบูรณ์แบบควรจะเป็นดังนี้ 

จันทร์  “โซนนิ่ง” (Tier B) – วิ่งเบาๆ ฟื้นฟูร่างกาย
อังคาร  “มาราธอนเร็ว” (Tier S) – เน้นสร้างความเร็ว
พุธ  “มิวสิคมิกซ์” (Tier B) – สนุกกับเพลงโปรด
พฤหัสบดี  พัก หรือทำกิจกรรมอื่น (ว่ายน้ำ, โยคะ)
ศุกร์  “โรลเลอร์โคสเตอร์” (Tier A) – เสริมความแข็งแรง
เสาร์  “เอ็นเตอร์เทนเนอร์” (Tier A) – วิ่งระยะไกลพร้อมความบันเทิง
อาทิตย์  พักผ่อนเต็มที่

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2024 ติดตามนักวิ่งสมัครเล่น 200 คน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่ากลุ่มที่ใช้ตารางฝึกที่มีความหลากหลาย (สลับประเภทการวิ่ง 3-4 แบบต่อสัปดาห์) มีอัตราการออกกำลังกายต่อเนื่องสูงกว่ากลุ่มที่ทำแบบเดิมซ้ำๆ ถึง 74% และมีการพัฒนาทั้งความเร็วและความอึดเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

 

วิ่งบนลู่วิ่งหรือวิ่งข้างนอก แบบไหนสนุกและเบิร์นดีกว่า?

“คำถามนี้เหมือนถามว่าชอบกาแฟร้อนหรือเย็น  ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความชอบส่วนตัว แต่ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกันที่คุณควรรู้”

หลังจากที่ผมผ่านการวิ่งหลายรายการในชีวิต ทั้งบนถนน บนเส้นทางธรรมชาติ และบนลู่วิ่ง ผมสรุปได้ว่า  ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว

เปรียบเทียบข้อดีของแต่ละแบบ

ข้อดีของการวิ่งบนลู่วิ่ง 

  • ความสะดวก – นี่คือเหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อลู่วิ่งเมื่อ 20 ปีก่อน คุณสามารถวิ่งได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Laguna Phuket Marathon 2024 ฝนตกหนักช่วงเดือนพฤษภาคม แต่ผมยังซ้อมได้ทุกวันบนลู่วิ่ง X20
  • ปลอดภัยกว่า – คุณไม่ต้องกังวลเรื่องรถยนต์ สุนัขจรจัด พื้นขรุขระ หรือคนแปลกหน้า โดยเฉพาะถ้าต้องวิ่งในเวลากลางคืน
  • ควบคุมง่ายกว่า – คุณสามารถตั้งค่าความเร็ว ความชัน และโปรแกรมที่แน่นอนได้ ทำให้การฝึกซ้อมเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เช่น ถ้าเป้าหมายคือวิ่งที่ 10 กม./ชม. คุณก็แค่ตั้งค่าและรักษาความเร็วนั้น
  • เก็บข้อมูลง่าย – ลู่วิ่งสมัยใหม่เก็บข้อมูลทุกอย่าง ทั้งระยะทาง เวลา แคลอรี่ อัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ติดตามความก้าวหน้าได้ง่าย
  • ลดแรงกระแทก – พื้นลู่วิ่งนุ่มกว่าพื้นถนนหรือทางเท้า ช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อต่อ โดยเฉพาะหัวเข่าและข้อเท้า

ข้อดีของการวิ่งข้างนอก 

  • สนุกกว่า – จากการสำรวจลูกค้าของผม 78% บอกว่าพวกเขาสนุกกับการวิ่งนอกบ้านมากกว่า เพราะได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
  • ท้าทายร่างกายมากกว่า – พื้นผิวและภูมิประเทศที่แตกต่างกัน (ขึ้นเนิน ลงเนิน พื้นดิน พื้นหญ้า) ช่วยฝึกกล้ามเนื้อหลายส่วนและการทรงตัว
  • เผาผลาญแคลอรี่มากกว่า – การวิ่งข้างนอกต้องต่อสู้กับแรงต้านลม พื้นที่ไม่เรียบ และการเปลี่ยนทิศทาง ทำให้เผาผลาญพลังงานมากกว่า
  • ได้รับวิตามินดี – การออกไปวิ่งกลางแจ้งทำให้ร่างกายได้รับแสงแดด ซึ่งสำคัญต่อการสร้างวิตามินดี
  • รู้สึกเป็นอิสระ – ความรู้สึกของลมที่พัดผ่านใบหน้า การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมตลอดเส้นทาง ให้ความรู้สึกเป็นอิสระที่ลู่วิ่งไม่สามารถให้ได้

ผมเคยมีลูกค้าท่านหนึ่งที่เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ เขาบอกว่า “ผมวิ่งข้างนอกในวันหยุด เพื่อปลดปล่อยความเครียด แต่ใช้ลู่วิ่งในวันธรรมดาเพราะไม่มีเวลา” นี่คือสมดุลที่เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  จากการศึกษาในปี 2023 ที่ติดตามนักวิ่งสมัครเล่น 300 คน พบว่าคนที่วิ่งทั้งบนลู่วิ่งและกลางแจ้งสลับกันไป มีอัตราการบาดเจ็บน้อยกว่ากลุ่มที่วิ่งรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียวถึง 26% และมีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายมากกว่า 33%

เทคนิคใช้ลู่วิ่งให้ได้ผลเหมือนวิ่งลางแจ้ง

“ถ้าฝนตก ฝุ่น PM 2.5 สูง หรือเวลาไม่เอื้ออำนวย นี่คือวิธีที่จะทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งได้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการวิ่งข้างนอกมากที่สุด”

จากประสบการณ์ฝึกนักวิ่งมาราธอนหลายคน รวมถึงตัวผมเองที่ต้องซ้อมบนลู่วิ่งช่วงหน้าฝน ผมมีเทคนิคพิเศษดังนี้ 

  • ตั้งความชันที่ 1-2% – นักวิทยาศาสตร์การกีฬาค้นพบว่าการวิ่งบนลู่วิ่งที่ความชัน 1% จะใกล้เคียงกับการวิ่งบนพื้นราบกลางแจ้งมากที่สุด เนื่องจากชดเชยแรงต้านลมที่หายไป
  • ลดพึ่งพาราวจับ – ลองปล่อยมือจากราวจับเมื่อวิ่ง เพื่อฝึกการทรงตัวและใช้แกนกลางลำตัว เหมือนตอนวิ่งข้างนอก
  • จำลองเส้นทางจริง – ถ้าคุณกำลังเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ให้ศึกษาเส้นทางและปรับความชันของลู่วิ่งให้เข้ากับลักษณะภูมิประเทศของเส้นทางจริง
  • สร้างความแปรปรวน – อย่าวิ่งด้วยความเร็วคงที่ ให้เปลี่ยนความเร็วบ่อยๆ เช่น วิ่งเร็ว 2 นาที วิ่งช้า 3 นาที เพื่อจำลองการวิ่งในสภาพจริงที่มักมีการเปลี่ยนความเร็วตามสภาพเส้นทาง
  • เปิดพัดลม – การวิ่งข้างนอกมีลมพัดผ่านช่วยระบายความร้อน ดังนั้นให้ตั้งพัดลมไว้ด้านหน้าเพื่อให้รู้สึกเหมือนวิ่งกลางแจ้งมากข

 

วิ่งคนเดียวทำให้สนุกขึ้นได้ยังไง?

“วิ่งคนเดียวไม่ได้หมายความว่าต้องวิ่งอย่างโดดเดี่ยว เทคโนโลยีปัจจุบันทำให้คุณเชื่อมต่อกับชุมชนนักวิ่งได้แม้อยู่ในบ้านตัวเอง”

หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้คนเบื่อการวิ่งบนลู่วิ่งคือความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่จากประสบการณ์ของผมและลูกค้ากว่าพันคน นี่คือวิธีทำให้การวิ่งคนเดียวสนุกขึ้น 

แชร์สถิติลงโซเชียล – แข่งกับเพื่อน

“มนุษย์เราชอบความรู้สึกของการแข่งขันและการยอมรับ การแชร์ผลงานจึงเป็นแรงจูงใจอันทรงพลัง”

เทคนิคนี้ช่วยให้ผมยังคงวิ่งอย่างสม่ำเสมอแม้ในช่วงล็อคดาวน์โควิด การสร้างกลุ่มแข่งขันเสมือนกับเพื่อนๆ!

วิธีทำให้การแชร์สถิติสนุกและได้ผล 

  • สร้างกลุ่มวิ่งเสมือนจริง – ชวนเพื่อน 5-10 คนสร้างกลุ่มไลน์หรือเฟซบุ๊ก เพื่อแชร์สถิติการวิ่งประจำวัน
  • ตั้งความท้าทายประจำสัปดาห์ – เช่น “ใครวิ่งได้ระยะทางรวมมากที่สุดใน 7 วัน” หรือ “ใครทำเวลา 5K ได้เร็วที่สุด”
  • ใช้แอปพลิเคชันติดตาม – แอปอย่าง Strava, Nike Run Club, หรือ Garmin Connect ช่วยให้คุณแชร์เส้นทาง รูปภาพ และสถิติได้อย่างง่ายดาย

ผมเคยมีกลุ่มแข่งขันกับเพื่อนๆ 8 คนตอนเตรียมตัวสำหรับ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 เราตั้งเป้าว่าใครวิ่งได้มากที่สุดในแต่ละเดือน คนแพ้ต้องเลี้ยงกาแฟคนชนะ ผลลัพธ์คือทุกคนวิ่งอย่างสม่ำเสมอเพราะไม่อยากแพ้และถูกล้อเลียน!

ตัวอย่างที่น่าประทับใจคือแม่บ้านวัย 48 ปี ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน แต่เมื่อเข้าร่วมกลุ่มแข่งขันกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน เธอสามารถลดน้ำหนักได้ 8 กิโลใน 3 เดือน และเริ่มรักการวิ่งอย่างจริงจัง!

ลองเข้าร่วม Virtual Run หรือวิ่งตาม Community

“Virtual Run ทำให้คุณมีเป้าหมาย มีกำหนดเวลาชัดเจน และได้รับรางวัลเป็นแรงจูงใจ แม้วิ่งอยู่ที่บ้าน”

Virtual Run คืออะไร?

คือการแข่งขันวิ่งเสมือนจริงที่คุณสามารถวิ่งที่ไหนก็ได้ (รวมถึงบนลู่วิ่ง) ในช่วงเวลาที่กำหนด แล้วส่งผลมาที่ผู้จัด โดยคุณจะได้รับเหรียญรางวัลและเสื้อเช่นเดียวกับการแข่งขันจริง

ข้อดีของ Virtual Run 

  • มีเป้าหมายชัดเจน (ระยะทาง/เวลา)
  • มีกำหนดเวลาที่ต้องทำให้สำเร็จ
  • ได้รับรางวัลที่จับต้องได้ (เหรียญ/เสื้อ)
  • เข้าร่วมชุมชนนักวิ่งออนไลน์

ผมเองเคยเข้าร่วม Virtual Run หลายรายการในช่วงที่ไม่สามารถไปแข่งขันจริงได้ และรู้สึกว่ามันเป็นแรงจูงใจที่ดีมากที่ทำให้ผมยังคงวิ่งอย่างสม่ำเสมอ

วิศวกรหนุ่มคนหนึ่งที่ซื้อลู่วิ่ง SONIC ไป เล่าให้ผมฟังว่า “ผมเริ่มเข้าร่วม Virtual Run ทุกเดือน ตอนนี้มีเหรียญแขวนเต็มผนังห้องแล้วครับ รู้สึกภูมิใจมากและมีแรงจูงใจที่จะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  การศึกษาในปี 2023 พบว่าผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งเสมือนจริง (Virtual Run) มีแนวโน้มที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมถึง 62% และมีความสุขกับการออกกำลังกายมากกว่า 41% เนื่องจากความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและการมีเป้าหมายที่ชัดเจน

 

สรุป  ปรับโปรแกรมลู่วิ่งให้วิ่งสนุกขึ้น ต้องปรับยังไงบ้าง?

“การวิ่งบนลู่วิ่งจะสนุกหรือน่าเบื่อ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานของคุณ และมุมมองที่คุณมีต่อมัน”

มีเป้าหมาย – มีแรงบันดาลใจ – มีความหลากหลาย

จากประสบการณ์ในฐานะนักวิ่งมาราธอนและผู้เชี่ยวชาญด้านลู่วิ่งมากว่า 20 ปี ผมสรุปได้ว่าการทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งสนุกขึ้นนั้น ต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก 

  1. มีเป้าหมายชัดเจน – ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก วิ่งให้ได้ระยะทางที่ยาวขึ้น หรือเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการวิ่ง
  2. มีแรงบันดาลใจ – หาคนต้นแบบ อ่านเรื่องราวของนักวิ่ง หรือเข้าร่วมชุมชนนักวิ่งออนไลน์ เพื่อให้มีแรงบันดาลใจในการวิ่งอย่างต่อเนื่อง
  3. มีความหลากหลาย – เปลี่ยนโปรแกรมวิ่งบ่อยๆ สลับความเร็ว ความชัน และระยะเวลา ลองใช้แอปพลิเคชัน ดูซีรีส์ หรือฟังพอดแคสต์ระหว่างวิ่ง

เมื่อคุณรวม 3 องค์ประกอบนี้เข้าด้วยกัน คุณจะพบว่าการวิ่งบนลู่วิ่งไม่ได้น่าเบื่ออีกต่อไป แต่กลายเป็นกิจกรรมที่คุณตั้งตารอคอย!

เลือกลู่วิ่งให้ตรงกับสไตล์

“ลู่วิ่งเปรียบเหมือนรองเท้า คุณต้องเลือกให้พอดี ไม่ใช่ราคาแพงที่สุดหรือถูกที่สุด แต่เป็นแบบที่เหมาะกับรูปแบบการใช้งานของคุณ”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง ผมพบว่าการเลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับสไตล์การใช้งานเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณใช้งานได้อย่างสม่ำเสมอ 

  • สำหรับคนชอบความบันเทิง – เลือกลู่วิ่งที่มีหน้าจอใหญ่ ลำโพงดี และความสามารถในการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น รุ่น X20S หรือ REAL
  • สำหรับนักวิ่งจริงจัง – เลือกลู่วิ่งที่มีมอเตอร์แรง ปรับความชันได้มาก และพื้นที่วิ่งกว้าง เช่น รุ่น A5 หรือ X12
  • สำหรับคนชอบความสมจริง – ลองพิจารณาลู่วิ่งแบบโค้งที่ไม่ใช้ไฟฟ้า เช่น CX8 ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งข้างนอกมากที่สุด
  • สำหรับมือใหม่ – เริ่มต้นด้วยลู่วิ่งราคาเหมาะสม มีฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วน เช่น รุ่น A1 หรือ A3

แล้วคุณจะอยากวิ่งทุกวันแบบไม่รู้ตัว!

ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า เมื่อคุณนำเทคนิคทั้งหมดที่ผมแชร์มาปรับใช้กับการวิ่งบนลู่วิ่งของคุณ คุณจะพบว่า 

  1. คุณเริ่มรอคอยเวลาวิ่ง แทนที่จะรู้สึกว่าเป็นภาระ
  2. คุณวิ่งได้นานขึ้นโดยไม่รู้สึกเบื่อ
  3. คุณมีความสุขระหว่างและหลังการวิ่ง
  4. คุณเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากความสม่ำเสมอ

ผมเคยมีลูกค้าท่านหนึ่งเป็นแพทย์หญิงวัย 52 ปี ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลย เธอซื้อลู่วิ่ง A3 ไปและใช้เทคนิคที่ผมแนะนำ หลังจากผ่านไป 6 เดือน เธอโทรมาบอกผมว่า “คุณหมิง ฉันติดลู่วิ่งซะแล้ว! ถ้าวันไหนไม่ได้วิ่ง จะรู้สึกหงุดหงิด กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว”

นั่นแหละคือเป้าหมายสูงสุด – เมื่อการวิ่งไม่ใช่ภาระ แต่เป็นสิ่งที่คุณรอคอยและรักที่จะทำทุกวัน!

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1. ลู่วิ่งรุ่นไหนดีที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นวิ่ง?

สำหรับมือใหม่ ผมแนะนำลู่วิ่งรุ่น A1 หรือ A3 เพราะราคาไม่แพงเกินไป แต่มีฟังก์ชันพื้นฐานครบถ้วน มีความแข็งแรงทนทาน และใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการเริ่มต้นสร้างนิสัยการวิ่ง ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะชอบการวิ่งหรือไม่ การลงทุนกับรุ่นเริ่มต้นเป็นทางเลือกที่ฉลาด

2. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่?

ความเร็วในการวิ่งขึ้นอยู่กับระดับความฟิตของคุณ สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มที่ความเร็ว 5-6 กม./ชม. (เดินเร็ว) แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 7-8 กม./ชม. (วิ่งเหยาะๆ) หลักการง่ายๆ คือ คุณควรวิ่งด้วยความเร็วที่ยังพอพูดคุยได้ (Talk Test) ถ้าคุณหอบจนพูดไม่ได้ แสดงว่าคุณวิ่งเร็วเกินไป

3. ควรวิ่งบนลู่วิ่งบ่อยแค่ไหนจึงจะเห็นผล?

สำหรับผู้เริ่มต้น ผมแนะนำให้วิ่ง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าความเข้มข้น ดังนั้นวิ่งน้อยแต่สม่ำเสมอดีกว่าวิ่งหนักแต่เป็นครั้งคราว

4. ทำไมบางคนถึงบ่นว่าวิ่งบนลู่วิ่งแล้วเจ็บเข่ามากกว่าวิ่งข้างนอก?

ปัญหานี้มักเกิดจากการตั้งค่าลู่วิ่งไม่ถูกต้อง หรือเทคนิคการวิ่งที่ไม่เหมาะสม ลู่วิ่งที่มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดี (เช่น รุ่น A5 หรือ X20) จะช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าได้มาก นอกจากนี้ การวิ่งด้วยก้าวสั้นๆ ปล่อยให้เท้าตกกระทบลู่วิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ และใส่รองเท้าวิ่งที่เหมาะสม จะช่วยลดอาการบาดเจ็บได้

5. ควรวิ่งเท่าไหร่ถึงจะเผาผลาญไขมัน?

นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยมาก คำตอบคือ  การวิ่งที่ความเข้มข้นปานกลาง (60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) เป็นเวลา 30-45 นาที จะเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอ วิ่ง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

6. ควรกินอะไรก่อนและหลังวิ่งบนลู่วิ่ง?

การวิ่งในช่วงเช้า ถ้าเป็นการวิ่งน้อยกว่า 30 นาที คุณอาจไม่จำเป็นต้องกินอะไรก่อน แต่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ สำหรับการวิ่งนานกว่า 45 นาที ควรกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเล็กน้อย (เช่น กล้วย, ขนมปังโฮลวีท) 30-60 นาทีก่อนวิ่ง หลังจากวิ่งเสร็จ ควรกินโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตภายใน 30 นาที เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

7. ลู่วิ่งรุ่นราคาแพงกับรุ่นราคาถูกต่างกันอย่างไร?

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งหลายระดับราคา ความแตกต่างหลักๆ คือ  คุณภาพของมอเตอร์ (แรงม้า, ความทนทาน), ระบบรองรับแรงกระแทก, ขนาดพื้นที่วิ่ง, ฟังก์ชันพิเศษ (เช่น โปรแกรมอัตโนมัติ, การเชื่อมต่อ Bluetooth), และอายุการใช้งาน ลู่วิ่งราคาแพงมักจะมีน้ำหนักมากกว่า แข็งแรงกว่า และเสียงเงียบกว่า

8. วิ่งบนลู่วิ่งต่างจากวิ่งบนถนนแบบไหน?

วิ่งบนลู่วิ่งใช้รูปแบบการวิ่งที่ต่างจากการวิ่งบนถนนเล็กน้อย เนื่องจากสายพานเคลื่อนที่ใต้เท้าคุณ ทำให้การยกขาหลังง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังไม่มีแรงต้านลม ทำให้เผาผลาญแคลอรี่น้อยกว่าประมาณ 5-7% ที่ความเร็วเท่ากัน แต่คุณสามารถชดเชยได้ด้วยการตั้งความชันที่ 1-2%

9. ถ้ามีพื้นที่จำกัด ลู่วิ่งแบบไหนเหมาะที่สุด?

สำหรับพื้นที่จำกัด เช่น อพาร์ตเมนต์หรือคอนโดขนาดเล็ก ผมแนะนำลู่วิ่งรุ่น A1 หรือ A3 ที่มีขนาดกะทัดรัด และสามารถพับเก็บได้ง่าย ลู่วิ่ง A1 มีขนาดเพียง 69 x 149 ซม. เมื่อใช้งาน และพับเก็บได้แนวตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่ ทำให้เหมาะสำหรับที่พักอาศัยขนาดเล็ก

10. จะใช้ลู่วิ่งวิ่งเร็วๆ นี้ ขอเทคนิคเตรียมตัวสำหรับมือใหม่หน่อย!

เทคนิคสำหรับมือใหม่ที่ผมแนะนำเสมอ 

  1. เริ่มช้าๆ – อย่ารีบร้อนวิ่งเร็วหรือไกลเกินไปในช่วงแรก เริ่มด้วยการเดินเร็วสลับกับวิ่งเหยาะๆ
  2. สร้างความคุ้นเคย – ใช้เวลา 5-10 นาทีแรกเพื่อทำความคุ้นเคยกับลู่วิ่ง เรียนรู้ตำแหน่งปุ่มควบคุม
  3. วอร์มอัพทุกครั้ง – เริ่มด้วยการเดินเร็ว 5 นาที ก่อนเพิ่มความเร็ว
  4. โฟกัสที่ท่าทาง – หลังตรง หัวตั้ง มองไปข้างหน้า ไม่ก้มมองเท้า
  5. ใช้เป้าหมายสั้นๆ – เริ่มด้วยเป้าหมาย 15-20 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลา
  6. จัดตารางล่วงหน้า – เตรียมวันและเวลาที่จะวิ่งไว้ล่วงหน้า เพื่อสร้างความสม่ำเสมอ

 

สรุปทิ้งท้าย จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการวิ่งและลู่วิ่ง ผมอยากฝากข้อคิดสุดท้ายว่า 

“ลู่วิ่งเป็นเพียงเครื่องมือ แต่แรงบันดาลใจและความสนุกเกิดจากตัวคุณเอง การวิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่การวิ่งที่เร็วที่สุดหรือไกลที่สุด แต่เป็นการวิ่งที่ทำให้คุณอยากกลับมาวิ่งอีกในวันพรุ่งนี้”

ถ้าคุณสามารถทำให้การวิ่งบนลู่วิ่งกลายเป็นกิจวัตรที่สนุกและน่าตื่นเต้น โดยใช้เทคนิคและโปรแกรมที่ผมแนะนำในบทความนี้ คุณจะค้นพบว่า แม้จะวิ่งอยู่กับที่ แต่ชีวิตและสุขภาพของคุณกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง!

หวังว่าโปรแกรมวิ่งทั้ง 10 แบบที่ผมแจกไป จะช่วยให้คุณวิ่งบนลู่วิ่งได้อย่างสนุกสนานและเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ!

สุดท้ายนี้ หากคุณสนใจลู่วิ่งคุณภาพดีที่ช่วยให้การวิ่งสนุกยิ่งขึ้น ลองดูคอลเลคชั่นลู่วิ่ง Runathome.co ของเรา ทั้งรุ่น A1, A3, A5, SONIC, X20, REAL และ CX8 ที่มีให้เลือกตามความต้องการและงบประมาณของคุณ

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *