มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไง? เลือกมอเตอร์ลู่วิ่งแบบไหนดีไม่พังเร็ว

“เรื่องจริงที่คนซื้อลู่วิ่งมักไม่รู้  มอเตอร์คือหัวใจของลู่วิ่ง เลือกผิดแล้วจะเสียดายทีหลัง! หลังจากขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง ผมพบว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการเลือกประเภทมอเตอร์ไม่เหมาะกับการใช้งาน”

สวัสดีครับ โค้ชหมิงจาก Runathome.co นะครับ นักวิ่งตัวจริงที่ผ่านสนามมาราธอนมาแล้วทั้ง Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024, Garmin Run Asia Series 2024 และอื่นๆ อีกเพียบ วันนี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องที่คนซื้อลู่วิ่งมักมองข้าม นั่นคือเรื่อง “มอเตอร์” ของลู่วิ่ง

ผมเคยเจอลูกค้าหลายรายที่มาบ่นว่า “ทำไมลู่วิ่งใช้ได้แค่ปีเดียวก็พังแล้ว?” หรือ “ทำไมวิ่งได้แค่ 10 นาทีแล้วเครื่องร้อนจัด?” สาเหตุหลักๆ คือการเลือกประเภทมอเตอร์ไม่เหมาะสมกับการใช้งานจริงนั่นเอง

เมื่อเดือนที่แล้ว มีลูกค้ารายหนึ่งโทรมาปรึกษาผม น้ำตาจะไหล เพราะเพิ่งซื้อลู่วิ่งราคา 4 หมื่นกว่าบาทมาได้ 3 เดือน แต่เริ่มมีปัญหามอเตอร์ส่งเสียงดัง เนื่องจากเขาซื้อลู่วิ่งที่ใช้มอเตอร์ DC แต่ใช้วิ่งทุกวัน วันละเกือบชั่วโมง ซึ่งเกินกำลังของมอเตอร์ DC ไปมาก

ในบทความนี้ ผมจะอธิบายให้ชัดเจนเลยว่า มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไง แต่ละแบบเหมาะกับใคร และทำไมการเลือกให้ถูกต้องถึงช่วยประหยัดเงินในระยะยาวได้

มาเริ่มกันเลยครับ!

 

Table of Contents

ทำไมการเลือกมอเตอร์ลู่วิ่งผิด…ถึงทำให้ลู่วิ่งพังเร็ว?

“เมื่อปีที่แล้ว มีลูกค้าโทรมาด่าผมเลย บอกว่าลู่วิ่งที่ซื้อไปใช้ได้แค่ 4 เดือนก็มอเตอร์ไหม้! พอผมถามว่าใช้ยังไง ปรากฏว่าเขาซื้อลู่มอเตอร์ DC ไปแต่วิ่งวันละ 2 ชั่วโมงทุกวัน แถมเป็นคนตัวใหญ่หนัก 90 กิโล… มันก็เหมือนเอาเครื่องปั่นน้ำผลไม้ราคาพันกว่าบาทไปปั่นน้ำแข็งก้อนทั้งวันยังไงล่ะ!”

คนส่วนใหญ่มักเลือกลู่วิ่งจากราคาและขนาด แต่จริงๆ แล้ว หัวใจหลักอยู่ที่มอเตอร์! ผมจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งตอนที่ผมเพิ่งเริ่มขายลู่วิ่งใหม่ๆ ลูกค้าคนหนึ่งโทรมาถามว่า “โค้ชหมิง ผมซื้อลู่วิ่งยี่ห้อดังมา แต่ใช้ได้แค่ 2-3 เดือน มันก็เริ่มกระตุก มีกลิ่นไหม้” ผมเลยถามกลับไปว่า “คุณซื้อรุ่นไหน ใช้งานยังไง” พอได้คำตอบมา ผมก็ได้แต่ส่ายหัว… เขาเลือกลู่วิ่งมอเตอร์ DC แบบบ้านๆ แต่ใช้หนักเหมือนในฟิตเนส

ว่าแต่… ทำไมเรื่องมอเตอร์ถึงสำคัญนักล่ะ?

มอเตอร์ลู่วิ่งคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญที่สุดในเครื่องลู่วิ่งไฟฟ้า?

“มอเตอร์ลู่วิ่งก็เหมือนหัวใจคนเรานั่นแหละ ถ้าเสีย ทั้งเครื่องก็จบ! แถมซ่อมแล้วก็ไม่เหมือนเดิมอีก หลายคนเน้นแต่ดูจอภาพสวยๆ โปรแกรมเยอะๆ แต่ลืมดูที่หัวใจของมัน”

จริงๆ นะ ผมเจอมาเยอะมาก คนมาบ่นว่าลู่วิ่งพัง พอถามว่าพังตรงไหน 8 จาก 10 คนตอบว่า “มอเตอร์มีปัญหา”

มอเตอร์ลู่วิ่งคือตัวที่ทำให้สายพานเคลื่อนที่ได้ เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ของรถยนต์ เป็นชิ้นส่วนที่แพงที่สุดและซ่อมแทบไม่ได้ถ้าพัง ประสบการณ์ขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมพบว่าคนส่วนใหญ่มักมองข้ามส่วนนี้ไป แล้วไปโฟกัสที่ 

  1. ดีไซน์สวยๆ (ที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยตอนวิ่ง)
  2. จอใหญ่ๆ (ที่พังง่ายกว่ามอเตอร์อีก)
  3. ราคาถูก (แล้วก็ต้องเสียเงินซื้อใหม่ทุก 1-2 ปี)

เมื่อเดือนก่อน ผมเจอลูกค้าที่สนามวิ่ง เขาทักมาว่า “โค้ชหมิง ผมซื้อลู่วิ่งที่อื่นมา ตอนนี้มอเตอร์มีปัญหา มันซ่อมได้ไหม?” ผมถึงกับถอนหายใจ เพราะจริงๆ แล้ว การซ่อมมอเตอร์ลู่วิ่งส่วนใหญ่มักไม่คุ้มค่า และมักใช้งานได้ไม่ดีเหมือนเดิม

มอเตอร์มีผลต่อความแรง ความทน และความปลอดภัยยังไง?

“อย่าคิดว่ามอเตอร์แค่ทำให้สายพานวิ่งได้! มันยังมีผลต่อความปลอดภัยด้วย ลองคิดดู ถ้าคุณกำลังวิ่งแล้วสายพานกระตุก หรือดับเฉยๆ คุณจะล้มคว่ำหน้าแตกแน่ๆ”

มอเตอร์มีผลมากกว่าที่คิด 

  • ความแรง  มอเตอร์ดีจะทำให้การปรับความเร็วราบรื่น ไม่กระตุก ไม่สะดุด ทำให้วิ่งแล้วรู้สึกเหมือนวิ่งบนถนนจริงๆ ไม่ใช่เหมือนวิ่งบนเครื่องที่จะพังทุกเมื่อ

ผมเคยลองวิ่งบนลู่วิ่งที่มอเตอร์อ่อนแรง มันเหมือนวิ่งบนทรายที่กำลังจะถล่ม! แต่พอมาวิ่งบนลู่ที่มอเตอร์ AC แรงๆ รู้สึกเหมือนกำลังวิ่งบนพื้นสนามกีฬา มั่นคง ไม่ต้องกังวลว่าจะล้ม

  • ความทน  มอเตอร์คุณภาพดี โดยเฉพาะ AC จะใช้งานได้นานกว่ามาก ไม่ร้อนง่าย ไม่ไหม้ ไม่เสียหายเมื่อใช้งานต่อเนื่อง

ผมยังจำได้ตอนที่ศูนย์ฟิตเนสแห่งหนึ่งเปลี่ยนมาใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC เพราะถูกกว่า ผลคือไม่ถึงปีต้องเปลี่ยนใหม่เกือบหมดทุกเครื่อง! ขณะที่ลู่มอเตอร์ AC ใช้มา 5 ปีแล้วยังดีอยู่

ความปลอดภัย  มอเตอร์ที่เสถียรจะไม่กระตุกหรือหยุดกะทันหัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บบนลู่วิ่ง

เมื่อ 2 ปีก่อน มีลูกค้าโทรมาเล่าว่าเกือบล้มเพราะลู่วิ่งดับกะทันหัน สาเหตุคือมอเตอร์ร้อนเกิน ระบบตัดไฟอัตโนมัติ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นผู้สูงอายุหรือคนที่มีปัญหาข้อเข่า กระดูก นี่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลย!

 

มอเตอร์ DC ลู่วิ่งดียังไง? เหมาะกับใคร?

“ถ้าคุณแค่อยากเดินสบายๆ วันละ 30 นาที มอเตอร์ DC ก็พอ แต่ถ้าคุณเป็นสายซีเรียส วิ่งทุกวัน วิ่งนาน หรือหนักเกิน 80 กิโล… อย่าเสี่ยงเลย!”

ผมไม่ได้จะบอกว่ามอเตอร์ DC ไม่ดีนะ มันมีข้อดีของมันเหมือนกัน และเหมาะกับบางคน

จุดเด่นของมอเตอร์ DC ในลู่วิ่งไฟฟ้าคืออะไร?

“มอเตอร์ DC นี่ราคาไม่แพง เสียงเบา ประหยัดไฟ แต่อย่าคิดจะใช้มันซ้อมวิ่งมาราธอนล่ะ!”

มอเตอร์ DC มีจุดเด่นที่คนชอบเยอะเลย 

  • ราคาถูกกว่า – ลู่วิ่งมอเตอร์ DC มักมีราคาถูกกว่า AC 30-50% ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดึงดูดใจสำหรับคนงบน้อย
  • เสียงเงียบ – มอเตอร์ DC เสียงเบากว่า เหมาะสำหรับใช้ในคอนโด อพาร์ทเม้นท์ที่กลัวรบกวนเพื่อนบ้าน
  • ประหยัดไฟ – กินไฟน้อยกว่า เหมาะสำหรับคนที่กังวลเรื่องค่าไฟพุ่ง
  • น้ำหนักเบา – ตัวเครื่องมักเบากว่า เคลื่อนย้ายสะดวก
  • ใช้พื้นที่น้อย – ลู่วิ่งมอเตอร์ DC ส่วนใหญ่มีขนาดกะทัดรัดกว่า เหมาะกับบ้านหรือคอนโดที่พื้นที่จำกัด

ผมเคยแนะนำลู่วิ่งมอเตอร์ DC ให้กับเพื่อนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย เขาแค่ต้องการเดินเร็วๆ วันละ 30 นาที ในคอนโดขนาดเล็ก ใช้มา 2 ปีแล้วยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะใช้งานไม่หนัก

มอเตอร์ DC ใช้ดีจริงไหม? เหมาะกับการเดินหรือวิ่งเบา ๆ หรือไม่?

“มอเตอร์ DC ก็เหมือนรถเก๋งทั่วไป ใช้ขับในเมืองสบายๆ ไปทำงาน ไปซื้อของ ก็โอเคมาก แต่อย่าเอาไปลุยงานหนักเหมือนรถกระบะ”

ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ มอเตอร์ DC เหมาะกับคุณมาก 

  1. เดินมากกว่าวิ่ง (ความเร็วไม่เกิน 8 กม./ชม.)
  2. ใช้งานไม่เกินวันละ 30-45 นาที
  3. ไม่ได้ใช้ทุกวัน (สัก 3-4 วันต่อสัปดาห์)
  4. น้ำหนักไม่เกิน 80 กิโล
  5. ไม่วิ่งเร็วมาก ไม่เล่น interval
  6. อยู่คอนโดหรือพื้นที่จำกัด
  7. มีงบประมาณจำกัด

ผมเคยมีลูกค้าที่อายุ 60+ มาหา อยากได้ลู่เดินออกกำลังกายเบาๆ ในบ้าน วันละ 20-30 นาที ผมแนะนำลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคาไม่แพง ผ่านไป 3 ปี ยังใช้ได้ดีอยู่ ไม่มีปัญหา เพราะใช้งานเหมาะสมกับประเภทของมอเตอร์

ลู่วิ่งรุ่นไหนจาก RunatHome ที่ใช้มอเตอร์ DC แล้วคุ้มค่าที่สุด?

“ถ้าคุณแน่ใจว่าต้องการมอเตอร์ DC ตัวเลือกอันดับหนึ่งคือ A1 สำหรับเดิน และ A5 สำหรับวิ่งเบาๆ ผมขายมาหลายร้อยเครื่อง ลูกค้าพอใจมาก”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง ผมขอแนะนำ 2 รุ่นที่ใช้มอเตอร์ DC ที่คุ้มค่าที่สุด 

A1 – เหมาะสำหรับเดินออกกำลังกายเงียบ ๆ ในคอนโด

รุ่นนี้เป็นขวัญใจคนอยู่คอนโด เพราะเสียงเงียบมาก ขนาดกะทัดรัด พับเก็บง่าย ราคาเริ่มต้นเพียง 9,990 บาท มอเตอร์ DC 3.0 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 14.8 กม./ชม. รองรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโล

มีลูกค้า อยู่คอนโดชั้น 5 ซื้อไปใช้เดินวันละ 40 นาที ตอนนี้ใช้มา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขาใช้แค่เดินเท่านั้น ไม่ได้วิ่ง

A5 – DC มีกำลังสูงขึ้น ใช้วิ่งได้จริงจังในบ้าน

ถ้าคุณต้องการวิ่งด้วย ไม่ใช่แค่เดิน แต่ยังอยากได้มอเตอร์ DC ที่เสียงเงียบ ประหยัดไฟ A5 เป็นตัวเลือกที่ดี ราคา 25,900 บาท มอเตอร์ DC 5.0 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 20 กม./ชม. รองรับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล

เมื่อเดือนที่แล้ว มีครอบครัวหนึ่งมาซื้อ A5 ไปใช้ร่วมกัน 3 คน คุณพ่อใช้วิ่ง คุณแม่ใช้เดิน และลูกสาววัยรุ่นก็ใช้วิ่งเบาๆ บ้าง พวกเขาพอใจมากเพราะเสียงเงียบ ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน แต่ก็แรงพอใช้สำหรับการวิ่ง (แต่ผมก็เตือนไว้ว่าอย่าวิ่งหนักเกินวันละชั่วโมงนะ)

แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นสายวิ่งจริงจังหรือน้ำหนักมาก ผมขอแนะนำให้ข้ามไปดูมอเตอร์ AC เลย คุ้มค่ากว่าในระยะยาวครับ

 

มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไง? แล้วทำไมสายจริงควรเลือก AC?

“ตอนที่ผมเริ่มวิ่งมาราธอนใหม่ๆ ผมซื้อลู่วิ่ง DC เหมือนกัน เพราะราคาถูก แล้วรู้ไหมอะไรเกิดขึ้น? สามเดือนติดๆ ซ้อมวันละชั่วโมง มอเตอร์เริ่มมีกลิ่นไหม้… สุดท้ายผมต้องทิ้งแล้วซื้อลู่วิ่ง AC รุ่นที่โรงยิมใช้ มันใช้งานมาจนถึงตอนนี้ 4 ปีแล้วยังแรงเหมือนวันแรกที่ซื้อ!”

เอาล่ะ ถึงเวลาที่เราจะพูดถึงประเด็นสำคัญที่สุด มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไงกันแน่? ทำไมนักวิ่งจริงจังถึงไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้

มอเตอร์ AC คืออะไร? ทำไมคนวิ่งเยอะต้องใช้?

“มอเตอร์ AC เปรียบเหมือนรถกระบะญี่ปุ่นที่ทำงานหนักได้ทั้งวันไม่มีพัง ส่วน DC เหมือนรถเก๋งเล็กๆ ที่ขับในเมืองได้ดี แต่ให้ลากของหนักวันละ 12 ชั่วโมงมันจะโดนเข้า”

มอเตอร์ AC (Alternating Current) คือ มอเตอร์ที่ทำงานด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ มันมีลักษณะเด่นคือ 

  • แรงบิดสูงสม่ำเสมอ – ผมเคยทดสอบให้ลูกค้าดู ยืนบนลู่วิ่ง AC กลางเวลาที่มันกำลังทำงาน มันยังพยายามขับสายพานอยู่ได้ โดยไม่เสียหายเลย
  • ระบายความร้อนดีเยี่ยม – คุณรู้ไหม มอเตอร์ AC มักมีพัดลมระบายความร้อนในตัว ทำให้มันไม่ร้อนแม้ใช้งานต่อเนื่องนานๆ

ผมเคยเห็นฟิตเนสดังๆ ย่านสุขุมวิทใช้ลู่วิ่งตลอด 16 ชั่วโมงต่อวัน ทุกวัน คุณคิดว่าพวกเขาใช้มอเตอร์อะไร? AC ทั้งนั้นครับ มอเตอร์ DC อยู่ไม่รอดหรอก

คนที่วิ่งหนักๆ ต้องเลือกมอเตอร์ AC เพราะ 

  • มันทนทานกับการใช้งานซ้ำๆ – เมื่อปีที่แล้วมีลูกค้าผมคนหนึ่ง เขาเป็นนักวิ่งอัลตร้ามาราธอน ซ้อมบนลู่วิ่งที่มีมอเตอร์ AC ทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 ปีเต็ม ยังใช้ได้ดีเหมือนเดิม
  • มีความเสถียรสูงแม้วิ่งความเร็วสูง – ผมอธิบายให้เห็นภาพว่า ถ้าคุณวิ่งที่ 15 กม./ชม. บนลู่มอเตอร์ DC มันจะสั่น กระตุก ไม่ราบรื่น แต่ AC จะคงที่ตลอด รู้สึกเหมือนวิ่งบนพื้นจริงๆ

ตอนนี้ที่บ้านผมมีลู่วิ่งมอเตอร์ AC อายุการใช้งาน 6 ปีแล้ว ใช้ซ้อมวิ่งเตรียมแข่งมาราธอนทุกปี ปีละ 2-3 รายการ มันทนมาก ไร้ปัญหา คุ้มกับที่จ่ายแพงกว่าตอนแรกไปเยอะเลย

ลู่วิ่งมอเตอร์ AC ใช้งานหนักได้แค่ไหน?

“เมื่อเดือนก่อน มีฟิตเนสย่านรัชดามาสั่งลู่วิ่ง 15 เครื่อง ผมถามว่าทำไมไม่สั่งแบรนด์อื่นที่ถูกกว่า เจ้าของบอกว่า ‘เบื่อแล้ว ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC มาเปลี่ยนทุกปี เสียเวลามาก เอาแบบที่ในโรงแรม 5 ดาวใช้เลย'”

จากประสบการณ์จริงในการขายลู่วิ่งให้ฟิตเนสและโรงแรม มอเตอร์ AC สามารถใช้งานหนักได้ 

  • วันละ 5-8 ชั่วโมง ทุกวัน ไม่มีปัญหา – ลู่วิ่งในฟิตเนสต้องการความทนทานแบบนี้
  • รองรับน้ำหนักผู้ใช้ได้ถึง 180-200 กิโล – ไม่ต้องกังวลเรื่องโหลดหนัก
  • ใช้ได้ต่อเนื่อง 5-10 ปี โดยแทบไม่ต้องซ่อม – แค่บำรุงรักษาปกติ

ลองนึกภาพลู่วิ่งในโรงแรมที่ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง มีคนมาวิ่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งเดินเบาๆ วิ่งเร็ว ออกแรงหนัก ทำไมมันถึงไม่พัง? เพราะใช้มอเตอร์ AC ไง!

ลู่วิ่งรุ่นไหนของ RunatHome ที่ใช้มอเตอร์ AC แบบฟิตเนส?

“หลายคนชอบถามผมว่า ‘โค้ชหมิง แล้วคุณใช้ลู่วิ่งรุ่นไหนเอง?’ ผมใช้รุ่น REAL ที่ใช้มอเตอร์ AC แบบฟิตเนส เพราะผมวิ่งทุกวัน บางวันซ้อมยาว 2-3 ชั่วโมง ลู่วิ่งธรรมดาอยู่ไม่รอดหรอก”

จากประสบการณ์การขายและใช้งานจริง ผมขอแนะนำ 2 รุ่นที่ใช้มอเตอร์ AC คุณภาพสูง 

CX8 – เสียงเบา แม้เป็นมอเตอร์ AC เหมาะกับใช้ในบ้าน

นี่คือหนึ่งในลู่วิ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก ราคา 59,000 บาท มอเตอร์ AC ที่เสียงเงียบผิดปกติ (เงียบกว่ามอเตอร์ AC ทั่วไป) มันเป็นลู่วิ่งแบบโค้ง ที่ไม่ใช้ไฟฟ้า แต่ปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ

ผมเคยมีลูกค้า เป็นนักวิ่งตัวยง อยู่คอนโดหรู แต่มีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน เขาเลือก CX8 เพราะไม่ต้องใช้ไฟ ไม่มีมอเตอร์ที่ต้องระบายความร้อน (ซึ่งเป็นส่วนที่เสียงดัง) ใช้มา 3 ปีแล้ว ยังใช้ได้ดีมาก

PowerX – เกรดฟิตเนส สำหรับคนวิ่งทุกวันหรือแชร์ในครอบครัว

ถ้าคุณเป็นครอบครัวนักวิ่ง หรือซีเรียสกับการวิ่ง รุ่น X20 หรือ X11 ที่ใช้มอเตอร์ AC เกรดฟิตเนส นี่แหละที่คุณต้องการ ราคาเริ่มต้นที่ 39,990 บาท มอเตอร์ AC ขนาด 4.5 แรงม้า รองรับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง สายพานกว้างพิเศษ รองรับน้ำหนักได้ถึง 160 กิโล

เมื่อปีที่แล้วมีครอบครัวหนึ่ง 4 คน ทั้งพ่อ แม่ และลูกสาวสองคนที่เป็นนักวิ่ง มาซื้อลู่วิ่ง X20 ไปใช้ วันนี้ก็ยังใช้ดีอยู่ แม้จะมีการใช้งานทุกวัน วันละ 3-4 ชั่วโมง (เพราะสี่คนผลัดกันใช้)

ตอนแรกเขาลังเลเรื่องราคา เพราะมันแพงกว่าลู่วิ่งทั่วไปในห้าง แต่ผมบอกเขาว่า “ลองคิดดูว่าถ้าซื้อลู่วิ่งราคาถูกปีละเครื่อง เทียบกับซื้อแพงกว่าแต่ใช้ได้ 5-10 ปี อันไหนคุ้มกว่ากัน?” เขาเลยตัดสินใจซื้อ และไม่เคยเสียใจเลย

 

เปรียบเทียบลู่วิ่งมอเตอร์ AC กับ DC  แบบไหนทนกว่า คุ้มกว่า?

“เวลามีลูกค้าถามผมว่า ‘ลู่วิ่งมอเตอร์ AC แพงกว่า DC ตั้งเยอะ มันคุ้มเหรอ?’ ผมจะย้อนถามว่า ‘คุณอยากซื้อรองเท้าคู่ละ 500 บาทแต่ต้องซื้อใหม่ทุก 2 เดือน หรืออยากซื้อคู่ละ 3,000 บาท แต่ใช้ได้ 2 ปี?’ คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว”

มาถึงจุดนี้ ผมว่าหลายคนคงสงสัยแล้วว่าแท้จริงแล้ว มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไงบ้างในแง่ต่างๆ ในฐานะคนขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง ผมจะแชร์สิ่งที่รู้ให้ฟัง

มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไงในเรื่องแรงม้า (HP)?

“นี่มันเรื่องสำคัญมาก! แรงม้าที่เขียนบนกล่องกับแรงม้าจริงๆ ตอนใช้มันคนละเรื่องกันเลย มอเตอร์ DC ที่เขียนว่า 5 แรงม้า จริงๆ แล้วอาจจะให้แรงม้าต่อเนื่องได้แค่ 2.5 เท่านั้น!”

นี่คือความจริงที่คนขายลู่วิ่งมักไม่บอกคุณ 

มอเตอร์ DC มักโฆษณา “Peak HP” ไม่ใช่ “Continuous HP” – นี่เป็นเทคนิคการตลาด Peak HP คือกำลังสูงสุดที่มอเตอร์ทำได้ในช่วงสั้นๆ (อาจจะแค่ 2-3 วินาที) แต่ไม่สามารถรักษาระดับนั้นได้นาน ส่วน Continuous HP คือกำลังที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง

ผมเคยทดสอบโดยเอาลู่วิ่งมอเตอร์ DC ที่เขียนว่า 4.0 HP มาให้เพื่อนผมที่หนัก 95 กิโลวิ่ง หลังจากวิ่งไป 20 นาที ความเร็วเริ่มตก สายพานเริ่มไม่ลื่น และมอเตอร์เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

มอเตอร์ AC มักจะระบุ Continuous HP ทำให้คุณได้กำลังจริงตามที่เขียนไว้ – ถ้าเขียนว่า 3.0 HP คุณจะได้แรงม้านั้นจริงๆ ตลอดการใช้งาน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน

เมื่อเดือนที่แล้ว มีลูกค้าโทรมาปรึกษา เขาเจอโฆษณาลู่วิ่งออนไลน์ที่บอกว่ามอเตอร์ 7.0 HP ในราคา 15,000 บาท ผมบอกเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มอเตอร์ขนาดนั้นราคาอย่างเดียวก็เกิน 15,000 แล้ว นั่นเป็นเพียงตัวเลขการตลาดที่ไม่มีความหมายในการใช้งานจริง

เสียงดังไหม? ไฟฟ้ากินแค่ไหน? อายุการใช้งานใครยาวกว่ากัน?

“เพื่อนผมซื้อลู่วิ่ง DC ในห้างสรรพสินค้ามา 15,000 บาท ใช้งานวันละชั่วโมง หลังจาก 8 เดือน ค่าไฟเพิ่มขึ้น 500 บาทต่อเดือน แถมมอเตอร์มีเสียงดังผิดปกติ เขาเอาช่างมาดู ปรากฏว่ามอเตอร์เสื่อมสภาพ ต้องเปลี่ยนใหม่ราคา 8,000 บาท แพงกว่าซื้อใหม่อีก!”

นี่คือความจริงที่น้อยคนรู้ 

  • เสียง  มอเตอร์ DC จะเงียบกว่าในช่วงแรกใช้ แต่เมื่อใช้ไปนานๆ จะมีเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนมอเตอร์ AC อาจจะเสียงดังกว่าเล็กน้อยตอนเริ่มใช้ แต่เสียงจะคงที่ไปตลอด ไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ผมเคยเปรียบเทียบให้ลูกค้าฟังระหว่างลู่วิ่งมอเตอร์ DC อายุ 1 ปี กับมอเตอร์ AC อายุ 3 ปี มอเตอร์ DC ดังกว่าเยอะเลย จนเขาแปลกใจว่า “ทำไมไม่เหมือนที่โฆษณาบอกว่าเงียบ?” ก็เพราะมันเงียบเฉพาะตอนใหม่ๆ ไง!

ค่าไฟ  หลายคนเข้าใจผิดคิดว่ามอเตอร์ DC กินไฟน้อยกว่า จริงๆ แล้วเมื่อใช้ไปนานๆ มอเตอร์ DC จะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้กินไฟมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มอเตอร์ AC กินไฟคงที่ตลอดอายุการใช้งาน

มีลูกค้าคนหนึ่งโทรมาบ่นว่าค่าไฟพุ่งหลังจากใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC มาประมาณ 1 ปี จาก 200 บาท/เดือน เป็น 600-700 บาท/เดือน ทั้งที่ใช้งานเท่าเดิม นั่นเพราะมอเตอร์เริ่มเสื่อม ต้องใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ความเร็วเท่าเดิม

อายุการใช้งาน  นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด จากข้อมูลลูกค้าของผม 

  • มอเตอร์ DC ใช้งานหนัก มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี
  • มอเตอร์ DC ใช้งานเบา มีอายุเฉลี่ย 3-5 ปี
  • มอเตอร์ AC ใช้งานหนัก มีอายุเฉลี่ย 5-7 ปี
  • มอเตอร์ AC ใช้งานปกติ มีอายุเฉลี่ย 8-10 ปี หรือมากกว่า

เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ผมขายลู่วิ่งมอเตอร์ AC ให้กับครอบครัวหนึ่ง พวกเขายังใช้งานได้ดีอยู่จนถึงทุกวันนี้ ขณะที่เพื่อนบ้านเขาซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปเปลี่ยนมาแล้ว 3 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกัน

ตารางเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของมอเตอร์ทั้งสองประเภท

“ลองดูเปรียบเทียบกันชัดๆ เลย แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงแนะนำให้คนที่วิ่งจริงจังเลือกมอเตอร์ AC”

จากประสบการณ์จริงในการขายลู่วิ่งมาเป็นพันเครื่อง นี่คือการเปรียบเทียบแบบตรงไปตรงมา 

มอเตอร์ DC

  • ข้อดี  ราคาถูก, เสียงเงียบ (ตอนใหม่ๆ), น้ำหนักเบา, ขนาดกะทัดรัด, ค่าไฟเริ่มต้นต่ำ
  • ข้อเสีย  อายุการใช้งานสั้น, ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก, ร้อนง่าย, ซ่อมยาก, ประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้นาน, ไม่เสถียรที่ความเร็วสูง

มอเตอร์ AC

  • ข้อดี  ทนทานสูง, อายุการใช้งานยาวนาน, เสถียรแม้ใช้ความเร็วสูง, ใช้งานหนักได้, ประสิทธิภาพคงที่ตลอดอายุการใช้งาน, ระบายความร้อนดี
  • ข้อเสีย  ราคาแพงกว่า, เสียงอาจดังกว่าเล็กน้อย, น้ำหนักมากกว่า, ขนาดใหญ่กว่า, ค่าไฟอาจสูงกว่าในช่วงแรก

ผมเคยมีลูกค้าที่ลังเลระหว่างลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคา 20,000 กับมอเตอร์ AC ราคา 40,000 เขาบอกว่า “แพงเป็นเท่าตัวเลย” ผมเลยพูดติดตลกว่า “ถ้าคุณซื้อรถยนต์ คุณจะซื้อรถที่วิ่งได้ 2 ปีแล้วพัง หรือจะยอมจ่ายแพงกว่าแต่ใช้ได้ 10 ปี?” เขาหัวเราะและตัดสินใจซื้อรุ่น AC ไป

เมื่อถึงจุดนี้ คุณอาจจะคิดว่า “แล้วฉันควรเลือกแบบไหนดี?” คำตอบคือ มันขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ ซึ่งผมจะอธิบายในหัวข้อถัดไป

 

เลือกมอเตอร์ลู่วิ่งแบบไหนดี ให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน?

“เมื่อเดือนที่แล้ว มีคู่สามีภรรยาเข้ามาในร้านผม ภรรยาอยากได้ลู่วิ่งราคาถูกๆ แค่เดิน ส่วนสามีเป็นนักวิ่งตัวยง ต้องการซ้อมวิ่งมาราธอน พวกเขาทะเลาะกันซะเสียงดังเลย ผมเลยต้องนั่งลงแล้วบอกว่า ‘พี่ครับ มันคนละเรื่องกันเลย เหมือนซื้อจักรยานให้คนปั่นเล่นรอบหมู่บ้าน กับนักปั่นที่เตรียมแข่ง Tour de France เลยนะ'”

เอาล่ะ ถึงประเด็นสำคัญแล้ว การเลือกมอเตอร์ลู่วิ่งให้เหมาะกับตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมจะแชร์จากประสบการณ์ตรง ไม่มีกั๊ก!

วิ่งวันละ 30 นาที เลือก DC ได้ไหม?

“เพื่อนผมถามผมแบบนี้บ่อยๆ ผมตอบได้เลยว่า ‘ถ้าคุณไม่หนักเกิน 80 กิโล และแค่วิ่งเบาๆ ความเร็ว 8-10 กม./ชม. วันละไม่เกิน 30-40 นาที DC ก็พอ แต่ถ้าวิ่งทุกวันไม่เคยหยุด ผมว่า AC คุ้มกว่านะ'”

นี่คือความจริงที่ผมพบจากลูกค้า 

คนที่วิ่งวันละ 30 นาที แต่ไม่ได้วิ่งทุกวัน (วิ่งสัก 3-4 วันต่อสัปดาห์) สามารถใช้มอเตอร์ DC ได้สบายๆ โดยไม่มีปัญหา

ผมเคยมีลูกค้าที่ทำงานออฟฟิศ อายุ 35 ปี น้ำหนัก 65 กิโล ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC รุ่น A3 ไปใช้วิ่งช่วงเย็นหลังเลิกงาน วันละ 30 นาที แค่ 4 วันต่อสัปดาห์ เขาใช้มาได้ 3 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไร

แต่ถ้าคุณวิ่งทุกวันไม่มีวันหยุด แม้จะแค่วันละ 30 นาที ผมแนะนำให้ลงทุนกับมอเตอร์ AC เลย มันจะคุ้มกว่าในระยะยาว เพราะการใช้งานสม่ำเสมอทุกวันจะทำให้มอเตอร์ DC เสื่อมเร็วกว่าปกติ

จำได้ว่ามีลูกค้าคนหนึ่ง เป็นพนักงานธนาคาร วิ่งวันละ 30 นาที แต่ไม่เคยหยุดเลย วิ่งทุกวัน 365 วันต่อปี เขาซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปและต้องเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่ภายใน 14 เดือน คิดดูสิว่าถ้าเขาเลือกมอเตอร์ AC ตั้งแต่แรก จะคุ้มกว่าขนาดไหน

ใช้กับผู้สูงอายุ – มอเตอร์แบบไหนปลอดภัยที่สุด?

“มีคุณลุงอายุ 72 ปีมาหาผมที่ร้าน บอกว่าเพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า หมอให้เดินออกกำลังกายทุกวัน ผมแนะนำให้ซื้อลู่วิ่งที่มีมอเตอร์ AC เพราะมันเคลื่อนที่นุ่มนวล ไม่กระตุก ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้สูงอายุ คุณลุงใช้มาเกือบ 3 ปีแล้ว ผมยังได้รับการ์ดอวยพรปีใหม่จากท่านเลย”

เรื่องความปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุเป็นเรื่องสำคัญมาก จากประสบการณ์ของผม 

มอเตอร์ AC มีความเสถียรสูงกว่า ทำให้สายพานเคลื่อนที่อย่างราบรื่น ไม่มีการกระตุกหรือเปลี่ยนความเร็วกะทันหัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการล้มในผู้สูงอายุ

ผมเคยเห็นผู้สูงอายุล้มบนลู่วิ่งมอเตอร์ DC เพราะมอเตอร์ทำงานไม่สม่ำเสมอ เวลาที่มันเริ่มร้อนหลังใช้งานไปสักพัก การล้มในวัยนี้อันตรายมาก อาจถึงขั้นกระดูกหัก

สังเกตได้จากฟิตเนสสำหรับผู้สูงอายุหรือศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ พวกเขาจะใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ AC ทั้งนั้น และระบบความปลอดภัยที่ดีกว่ามาก

เมื่อปีที่แล้ว ผมติดตั้งลู่วิ่งให้หมู่บ้านเกษียณอายุแห่งหนึ่ง พวกเขาเลือกรุ่น X10 ที่ใช้มอเตอร์ AC เพราะมั่นใจในความปลอดภัยและความทนทาน แม้ราคาจะสูงกว่า แต่เมื่อคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย มันคุ้มค่ามากกว่า

แชร์ใช้งานทั้งบ้าน หรือวิ่งเร็ว วิ่งโซน 2 – ต้องใช้ AC เท่านั้น?

“มีครอบครัวหนึ่งมาหาผม มีสมาชิก 5 คน ทั้งพ่อ แม่ ลูกสาววัยรุ่น ลูกชายวัยทำงาน และคุณยายอายุ 75 ปี ทุกคนอยากใช้ลู่วิ่ง ผมบอกเลยว่า ‘ถ้าใช้กัน 5 คน ไม่มีทางรอดถ้าเลือกมอเตอร์ DC หรอก มันเหมือนใช้รถเก๋งเล็กๆ ไปรับส่งคนทั้งครอบครัวพร้อมกระเป๋าเดินทางทุกวัน'”

จากประสบการณ์จริงที่ผมพบ 

ครอบครัวที่มีคนใช้ลู่วิ่งหลายคน หรือการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ควรเลือกมอเตอร์ AC เท่านั้น เพราะโหลดการใช้งานจะมากขึ้นตามจำนวนคน และความหลากหลายของการใช้งาน

เคยมีครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 4 คน ทุกคนใช้ลู่วิ่งในแบบที่ต่างกัน 

  • พ่อ  วิ่งเร็ว 14-16 กม./ชม.
  • แม่  เดินเร็ววันละ 45 นาที
  • ลูกสาว  วิ่ง interval training
  • ลูกชาย  วิ่งระยะไกลความเร็วปานกลาง

พวกเขาซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปเพราะราคาถูก ใช้ได้แค่ 6 เดือน มอเตอร์ก็เริ่มมีปัญหา ต้องเปลี่ยนใหม่ด้วยค่าใช้จ่ายเกือบครึ่งหนึ่งของราคาเครื่อง

สำหรับคนที่วิ่งเร็ว หรือวิ่งแบบ Zone 2 (วิ่งระยะไกลแบบความหนักปานกลาง) มอเตอร์ AC เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือก

ผมเองเป็นนักวิ่งมาราธอน ช่วงก่อนแข่ง Amazing Thailand Marathon ผมวิ่ง Zone 2 บนลู่วิ่งที่บ้านครั้งละ 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 4-5 วัน ถ้าใช้มอเตอร์ DC คงไม่มีทางรอด ขณะที่มอเตอร์ AC รุ่น REAL ที่ผมใช้อยู่ ผ่านมาแล้ว 3 รายการมาราธอน ยังวิ่งลื่นเหมือนวันแรกที่ซื้อ

อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ มีฟิตเนสขนาดเล็กแห่งหนึ่งพยายามประหยัด เลือกลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคาถูก เพราะคิดว่าคนมาใช้ไม่เยอะ แต่หลังจากเปิด 3 เดือน ลู่วิ่งพัง 2 เครื่องจาก 4 เครื่อง และสุดท้ายต้องเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ AC ทั้งหมด เสียเงินไปมากกว่าถ้าซื้อ AC ตั้งแต่แรกเกือบเท่าตัว

 

มอเตอร์ลู่วิ่งพังเร็วเพราะอะไร? คำตอบจากโค้ชหมิงและประสบการณ์จริง

“มีลูกค้าโทรมาบ่นว่าลู่วิ่งพัง ผมถามว่า ‘พี่ใช้ยังไง?’ เขาตอบว่า ‘ก็วิ่งปกติ’ ผมถามต่อ ‘วิ่งวันละกี่ชั่วโมง?’ เขาตอบ ‘ก็ไม่มาก 2-3 ชั่วโมงเอง’ ผมถึงกับอึ้ง! นี่แหละปัญหา คุณใช้ลู่วิ่งบ้านแบบในฟิตเนส แต่คาดหวังให้มันอยู่ได้นาน”

จากประสบการณ์ 20 ปีในวงการลู่วิ่ง ผมได้เห็นสาเหตุการพังของมอเตอร์ลู่วิ่งมานับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่เกิดจาก 

ลูกค้า RunatHome ใช้มอเตอร์ DC วิ่งทุกวัน แล้วเกิดอะไรขึ้น?

“มีลูกค้าคนหนึ่งโทรมาร้องไห้เลย บอกว่าเพิ่งซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคา 30,000 บาท ไปเมื่อ 5 เดือนก่อน ตอนนี้มอเตอร์ไหม้แล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่ 12,000 บาท พอผมถามว่าใช้ยังไง เขาบอกว่าช่วงล็อกดาวน์ ทั้งบ้าน 6 คนผลัดกันวิ่งตลอดทั้งวัน รวมๆ วันละ 4-5 ชั่วโมง แถมมีคนในบ้านน้ำหนัก 100 กิโลอีก”

จากกรณีศึกษาจริงของลูกค้า 

  • มีครอบครัวหนึ่งซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปใช้ช่วงโควิด ทุกคนในบ้านมาออกกำลังกาย ใช้รวมกันวันละหลายชั่วโมง หลังจาก 4 เดือน มอเตอร์เริ่มมีปัญหา ร้อนผิดปกติ มีกลิ่นไหม้ สายพานเริ่มกระตุก สุดท้ายต้องซ่อมด้วยค่าใช้จ่ายเกือบครึ่งหนึ่งของราคาเครื่อง
  • อีกกรณีคือนักวิ่งหนัก 95 กิโล ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปวิ่งซ้อมมาราธอนทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง หลังจาก 3 เดือน มอเตอร์เริ่มมีปัญหา ต้องเปลี่ยนใหม่ และสุดท้ายเขาตัดสินใจเปลี่ยนเป็นรุ่นที่ใช้มอเตอร์ AC เลย
  • ผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นโค้ชวิ่ง เขาใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC วิ่งทุกวัน เพื่อสาธิตท่าวิ่งให้ลูกศิษย์ผ่านวิดีโอคอล หลังจาก 6 เดือน มอเตอร์พัง และเขาต้องเสียเวลารอซ่อมเกือบเดือน ทำให้เสียรายได้ไปมาก

มอเตอร์ไหม้ เกิดจากอะไร? ใช้งานผิด หรือเลือกผิด?

“มีลูกค้าเอาลู่วิ่งไปวางกลางแดดในสวน แล้วมาบ่นว่าทำไมมอเตอร์ร้อนเร็ว ผมถึงกับหัวเราะออกมา บอกเขาว่า ‘พี่ครับ มันเหมือนเอารถยนต์ไปจอดกลางแดด 40 องศา แล้วสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง แล้วถามว่าทำไมเครื่องร้อน'”

สาเหตุที่มอเตอร์ไหม้มีหลายประการ ทั้งจากการใช้งานผิดและการเลือกผิด 

ใช้งานผิด 

  • ใช้งานต่อเนื่องนานเกินไปโดยไม่ให้มอเตอร์ได้พัก (โดยเฉพาะ DC)
  • ไม่หยอดน้ำมันหล่อลื่นสายพานตามกำหนด ทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักขึ้น
  • วางลู่วิ่งในพื้นที่ที่ร้อน อากาศไม่ถ่ายเท
  • ไม่ทำความสะอาดฝุ่นและสิ่งสกปรกในมอเตอร์
  • ใช้งานที่ความเร็วสูงเกินกำลังของมอเตอร์

ผมเคยเห็นลูกค้านำลู่วิ่งไปตั้งในห้องเก็บของที่แทบไม่มีการระบายอากาศ เวลาใช้งาน อุณหภูมิในห้องพุ่งสูงมาก มอเตอร์ DC ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีพอ สุดท้ายอายุการใช้งานเหลือแค่ครึ่งเดียว

เลือกผิด 

  • เลือกมอเตอร์ DC แต่ใช้งานหนักแบบ AC
  • เลือกกำลังมอเตอร์ (HP) ต่ำเกินไปสำหรับน้ำหนักตัวและรูปแบบการวิ่ง
  • เลือกรุ่นคุณภาพต่ำเพราะราคาถูก

เคยมีลูกค้าหนัก 110 กิโล ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ขนาด 2.5 HP เพราะราคาถูก แต่ใช้ได้ไม่ถึง 3 เดือน มอเตอร์ก็พัง เพราะกำลังมอเตอร์ไม่พอสำหรับน้ำหนักของเขา

ความจริงก็คือ ถ้าคุณใช้งานผิดประเภท ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์แบบไหนก็พังได้ แต่ถ้าคุณเลือกให้เหมาะกับการใช้งานตั้งแต่แรก โอกาสที่จะเกิดปัญหาก็น้อยลงมาก

 

เทคนิคเลือกมอเตอร์ลู่วิ่งไม่ให้โดนหลอก! ดูอะไรบ้าง?

“มีลูกค้าภูมิใจมากที่ซื้อลู่วิ่งออนไลน์ราคา 15,000 บาท ในโฆษณาบอกว่ามอเตอร์ 6.0 HP แถมเป็น ‘มอเตอร์ญี่ปุ่น’ ผมขอดูสักหน่อย พอเปิดฝาดู เห็นแค่มอเตอร์จีนเล็กๆ ไม่มีเครื่องหมายการค้าใดๆ แถมตัวเลข HP ก็ไม่มีระบุไว้ที่มอเตอร์เลย”

เทคนิคจากคนในวงการ เพื่อให้คุณเลือกมอเตอร์ลู่วิ่งอย่างฉลาด 

Peak HP กับ Continuous HP ต่างกันยังไง?

“ผมอธิบายให้ลูกค้าฟังว่า ‘Peak HP ก็เหมือนคนที่ยกของหนัก 100 กิโลได้ แต่ยกได้แค่ 1 วินาทีแล้วต้องวาง ส่วน Continuous HP คือคนที่ยกของหนัก 50 กิโลได้ต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา ถ้าเป็นลู่วิ่ง คุณคิดว่าแบบไหนสำคัญกว่ากัน?'”

นี่คือกลเม็ดที่ผู้ผลิตและผู้ขายมักใช้หลอกลูกค้า 

Peak Horsepower (Peak HP) คือ กำลังสูงสุดที่มอเตอร์ผลิตได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 วินาที เช่น ตอนเริ่มสตาร์ท แต่ไม่สามารถรักษาระดับนี้ได้นาน ผู้ผลิตมักใช้ตัวเลขนี้ในการโฆษณา เพราะมันสูงและดูน่าประทับใจ

ผมเคยทดสอบลู่วิ่งที่โฆษณาว่ามี Peak HP 6.0 แต่เมื่อใช้งานจริง มันทำได้แค่ 2.0-2.5 HP เท่านั้น เมื่อใช้งานต่อเนื่อง 20 นาที

Continuous Horsepower (Continuous HP) คือกำลังที่มอเตอร์สามารถผลิตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยไม่เสียหาย นี่คือตัวเลขที่สำคัญจริงๆ สำหรับลู่วิ่ง แต่ผู้ผลิตมักไม่ค่อยระบุหรือพูดถึง เพราะมันต่ำกว่า Peak HP มาก (ประมาณ 50-60% ของ Peak HP)

ลองคิดดู ถ้าคุณวิ่งต่อเนื่อง 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง คุณต้องการมอเตอร์ที่ทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ทำงานได้ดีในช่วง 2-3 วินาทีแรกแล้วก็แย่ลงเรื่อยๆ ใช่ไหม?

วิธีสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าโฆษณาระบุแค่ “HP” โดยไม่ระบุว่าเป็น Continuous หรือ Peak ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่ามันคือ Peak HP ซึ่งหมายความว่า Continuous HP จริงๆ จะต่ำกว่านั้นมาก

เคยมีลูกค้าหลงเชื่อโฆษณาลู่วิ่งที่บอกว่ามีมอเตอร์ 7.0 HP ราคาแค่ 17,000 บาท แต่เมื่อใช้งานจริง มันทำงานได้เหมือนมอเตอร์ 2.0 HP เท่านั้น แถมพังภายใน 6 เดือน

“มอเตอร์ญี่ปุ่น” จริงไหม? เช็กยังไงว่าไม่ใช่แค่คำโฆษณา?

“เวลาลูกค้าบอกผมว่าเขาเจอลู่วิ่งที่โฆษณาว่าใช้ ‘มอเตอร์ญี่ปุ่นแท้’ ในราคาถูกกว่าของผมครึ่งหนึ่ง ผมจะยิ้มแล้วบอกว่า ‘ดีเลย ลองขอให้เขาเปิดฝาให้ดูสักหน่อย ดูว่ามีโลโก้หรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทญี่ปุ่นหรือเปล่า รับรองว่าไม่มีแน่ๆ'”

นี่คือเทคนิคตรวจสอบว่ามอเตอร์ญี่ปุ่นจริงหรือไม่ 

มอเตอร์ญี่ปุ่นแท้จะมีโลโก้และเครื่องหมายการค้าของบริษัทญี่ปุ่นชัดเจน เช่น Toshiba, Hitachi, Mitsubishi, Panasonic

ผมเคยตรวจสอบลู่วิ่งที่โฆษณาว่าใช้ “เทคโนโลยีมอเตอร์จากญี่ปุ่น” ราคาถูกมาก พอเปิดดูดูข้างใน พบว่าเป็นมอเตอร์จีนธรรมดาๆ ไม่มีเครื่องหมายการค้าใดๆ แถมขนาดเล็กมาก ไม่สมกับตัวเลข HP ที่โฆษณาเลย

ราคาก็เป็นตัวบอกได้เหมือนกัน ถ้าลู่วิ่งบอกว่าใช้มอเตอร์ญี่ปุ่นแท้ แต่ราคาถูกผิดปกติ (ต่ำกว่าท้องตลาด 30-50%) แสดงว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน

เมื่อปีที่แล้ว มีลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่ง “มอเตอร์ญี่ปุ่น” จากเว็บขายของออนไลน์ในราคา 13,900 บาท หลังจากใช้ไป 2 เดือน มอเตอร์มีปัญหา เขาพยายามติดต่อร้านค้าเพื่อใช้สิทธิ์ประกัน แต่ก็ติดต่อไม่ได้ สุดท้ายต้องทิ้งลู่วิ่งไปเลย

คำว่า “เทคโนโลยีญี่ปุ่น” หรือ “ระบบญี่ปุ่น” มักเป็นแค่คำโฆษณาที่ไม่มีความหมายชัดเจน อาจหมายถึงแค่มีชิ้นส่วนบางอย่างที่ได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ผลิตในญี่ปุ่นหรือผลิตโดยบริษัทญี่ปุ่นแต่อย่างใด

ผมเคยไปเยี่ยมโรงงานผลิตลู่วิ่งในประเทศจีน พวกเขาหัวเราะเมื่อผมถามถึงลู่วิ่ง “มอเตอร์ญี่ปุ่น” ที่ขายในไทย และบอกว่ามันคือมอเตอร์จีนธรรมดาๆ นั่นเอง แต่มีบางรุ่นที่ซื้อลิขสิทธิ์หรือเทคโนโลยีบางอย่างจากบริษัทญี่ปุ่น เท่านั้นเอง

ลู่วิ่งที่มีระบบระบายความร้อน มีผลต่ออายุการใช้งานจริงไหม?

“ผมดูแลลูกค้ารายหนึ่งมา 6 ปีแล้ว เขาซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ AC ที่มีระบบระบายความร้อนแบบพัดลมคู่ ใช้วิ่งทุกวัน วันละชั่วโมง มาตลอด 6 ปี ไม่เคยเปลี่ยนมอเตอร์สักครั้ง ส่วนเพื่อนข้างบ้านเขาซื้อลู่วิ่งไม่มีระบบระบายความร้อน ใช้ได้แค่ 2 ปี ก็ต้องเปลี่ยนมอเตอร์ไปแล้ว”

ระบบระบายความร้อนสำคัญมากต่ออายุการใช้งานของมอเตอร์ โดยเฉพาะถ้าคุณวิ่งต่อเนื่องนานๆ 

มอเตอร์ AC ระดับดีมักมีพัดลมระบายความร้อนแบบคู่ (Dual Cooling Fans) ทำให้อุณหภูมิของมอเตอร์ไม่สูงเกินไปแม้ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง

จากการทดสอบของผมเอง ลู่วิ่งที่มีระบบระบายความร้อนที่ดีจะมีอุณหภูมิมอเตอร์ต่ำกว่าลู่วิ่งทั่วไปประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส หลังจากใช้งานต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออายุการใช้งาน

ผมเคยทดสอบลู่วิ่งสองรุ่นที่มีมอเตอร์ขนาดเท่ากัน แต่รุ่นหนึ่งมีระบบระบายความร้อนดีกว่า หลังจากใช้งานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง รุ่นที่ไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดีมีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศา ขณะที่รุ่นที่มีระบบระบายความร้อนที่ดีมีอุณหภูมิเพียง 60 องศาเท่านั้น

จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการ ผมพบว่ามอเตอร์ที่ทำงานที่อุณหภูมิสูงเกิน 70 องศาเป็นประจำ จะมีอายุการใช้งานสั้นลงเฉลี่ย 40-50% เมื่อเทียบกับมอเตอร์ที่ทำงานที่อุณหภูมิต่ำกว่า

เมื่อปีที่แล้ว มีลูกค้าซื้อลู่วิ่งราคาถูกไปใช้ในห้องที่ไม่มีแอร์ ในช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิห้องสูงถึง 35 องศา ลู่วิ่งไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี ผลคือมอเตอร์พังหลังจากใช้ไปเพียง 4 เดือนเท่านั้น

 

วิ่งมาราธอนบนลู่วิ่งได้ไหม? แล้วควรเลือกมอเตอร์แบบไหน?

“มีนักวิ่งหน้าใหม่คนหนึ่งโทรมาถามผม ‘โค้ช ผมจะซ้อมวิ่งมาราธอนที่บ้านได้ไหม ลู่วิ่งธรรมดาพอไหม?’ ผมบอกเลย ‘ถ้าคุณจริงจัง อย่าประหยัดตรงนี้เลย ซื้อรุ่นที่ใช้มอเตอร์ AC เกรดฟิตเนสไปเลย ไม่งั้นคุณจะเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาซ้อม แล้วยังพลาดการแข่งอีก'”

ในฐานะนักวิ่งมาราธอนที่ผ่านสนาม Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024, Garmin Run Asia Series 2024 และอื่นๆ มาแล้ว ผมบอกได้เลยว่าการซ้อมมาราธอนบนลู่วิ่งทำได้ แต่ต้องเลือกลู่วิ่งให้ถูก 

ถ้าซ้อมระยะไกล วิ่งโซน 2 หรือวิ่ง Interval ควรใช้มอเตอร์อะไร?

“ตอนผมซ้อมวิ่ง Laguna Phuket Marathon ปีที่แล้ว มีช่วงที่ฝนตกหนักติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ผมต้องซ้อมบนลู่วิ่งทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง ทั้ง Long Run และ Interval แบบหนักๆ ถ้าไม่ใช่ลู่วิ่งมอเตอร์ AC คุณภาพดี ผมคงพลาดการแข่งไปแล้ว”

จากประสบการณ์ของผมและลูกค้าที่เป็นนักวิ่ง 

  • การซ้อมวิ่งระยะไกล (Long Run) ที่ใช้เวลา 1-3 ชั่วโมงต่อเนื่อง ต้องใช้มอเตอร์ AC เท่านั้น เพราะมอเตอร์ DC ไม่สามารถทำงานต่อเนื่องนานขนาดนั้นได้โดยไม่เสียหาย
  • การวิ่งแบบ Zone 2 (ความหนักปานกลาง แต่ระยะเวลานาน) เป็นการทดสอบความทนทานของมอเตอร์อย่างดี มอเตอร์ต้องทำงานสม่ำเสมอเป็นเวลานาน โดยไม่มีการพัก ซึ่งมอเตอร์ AC จะจัดการได้ดีกว่ามาก
  • การซ้อมแบบ Interval (สลับเร็ว-ช้า) เป็นการทดสอบความสามารถในการปรับความเร็วของมอเตอร์ มอเตอร์ AC จะปรับความเร็วได้แม่นยำและรวดเร็วกว่า ไม่กระตุกหรือสะดุดเมื่อเปลี่ยนความเร็ว

ผมเองตอนซ้อมมาราธอนครั้งแรก ก็เคยใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC เหมือนกัน พออาทิตย์ที่ต้องวิ่ง Long Run 32 กิโลเมตร (ประมาณ 3 ชั่วโมง) มอเตอร์เริ่มส่งเสียงดังผิดปกติ และสัปดาห์ถัดมาก็พังเลย ทำให้ผมต้องออกไปวิ่งข้างนอกท่ามกลางมลพิษและอากาศร้อน จนเกือบเป็นลมแดด

โค้ชหมิงแนะนำลู่วิ่งที่ใช้ได้จริงในการซ้อมมาราธอนที่บ้าน

“ลูกค้าผมคนหนึ่งเตรียมวิ่ง Boston Marathon ซื้อลู่วิ่ง REAL ไปซ้อมที่บ้าน เพราะเขาไม่มีเวลาไปสวนสาธารณะ ซ้อมไปเกือบ 6 เดือน วิ่งทุกวัน บางวันยาวถึง 35 กิโล มอเตอร์ยังแรงเหมือนวันแรกที่ซื้อ”

จากประสบการณ์จริงในการซ้อมมาราธอนและช่วยลูกค้าที่เป็นนักวิ่ง ผมขอแนะนำ 

  • ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น REAL – ราคา 59,000 บาท มอเตอร์ AC ขนาด 3.0 CP – 7.0 PP รองรับน้ำหนักได้ถึง 200 กิโล สายพานกว้างพิเศษ 54 ซม. ยาว 150 ซม. เหมาะสำหรับนักวิ่งจริงจังที่ซ้อมยาวได้ถึง 3-4 ชั่วโมงต่อวัน

ผมใช้รุ่นนี้ซ้อมมาราธอนมาแล้ว 4 รายการ ยังทำงานได้ดีเยี่ยม สายพานกว้างทำให้วิ่งสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการก้าวผิดพลาด มอเตอร์แรงสม่ำเสมอแม้วิ่งที่ความเร็ว 15-16 กม./ชม. เป็นเวลานาน

  • ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น X11 – ราคา 59,900 บาท มอเตอร์ AC 3.0 CP – 7.0 PP ข้อดีคือหน้าจอใหญ่ถึง 22 นิ้ว ระบบทัชสกรีน รองรับน้ำหนักได้ถึง 200 กิโล สายพานกว้างพิเศษ 59 ซม. ยาว 155 ซม.

ผมมีลูกค้าที่เป็นนักวิ่งมืออาชีพใช้รุ่นนี้ซ้อมวิ่งทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง มากว่า 3 ปีแล้ว ยังไม่มีปัญหาอะไร เขาชอบจอใหญ่ที่ช่วยให้ดูบันทึกการวิ่งและเชื่อมต่อแอพต่างๆ ได้สะดวก

  • ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่น X12 – ราคา 79,900 บาท มอเตอร์ AC 3.0 CP – 7.0 PP จอใหญ่ 23 นิ้ว พร้อมจอเสริมสำหรับควบคุมการวิ่งแบบ Quick Screen มีระบบความชันถึง 15 องศา สายพานกว้างถึง 55 ซม. ยาว 155 ซม.

เหมาะสำหรับนักวิ่งที่ต้องการฝึกซ้อมขึ้นเขาหรือวิ่งเนินด้วย ระบบความชันช่วยจำลองสนามแข่งที่มีทั้งพื้นราบและเนิน ทำให้การซ้อมสมจริงมากขึ้น

มีนักวิ่งรายหนึ่งเตรียมตัวไปแข่ง Ultra Trail du Mont Blanc (UTMB) ซึ่งเป็นการวิ่งเทรลในภูเขา เขาใช้ ลู่วิ่งไฟฟ้ารุ่นX12 ซ้อมโดยใช้ความชันสูงสุดเพื่อจำลองการวิ่งขึ้นเขา เขาบอกว่ามันช่วยในการเตรียมตัวได้มากทีเดียว

 

งานวิจัยบอกอะไร? มอเตอร์ลู่วิ่งส่งผลต่อการใช้งานจริงไหม?

“ผมได้อ่านงานวิจัยของสมาคมผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาที่ศึกษาอายุการใช้งานของลู่วิ่งในฟิตเนส ผลออกมาชัดเจนมาก  ลู่วิ่งมอเตอร์ AC มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 7-10 ปี ขณะที่ DC อยู่ได้เฉลี่ยแค่ 2-3 ปีเท่านั้น คิดง่ายๆ คุณซื้อลู่วิ่ง DC ถูกกว่า 50% แต่อายุการใช้งานสั้นกว่า 70% คุณคิดว่าอันไหนคุ้มกว่ากัน?”

ผมติดตามงานวิจัยเกี่ยวกับลู่วิ่งมาตลอด และข้อมูลเหล่านี้ควรช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น 

กลุ่มตัวอย่างผู้ใช้งาน 500 คน เลือกแบบไหนแล้วพังไว?

“มีงานวิจัยในปี 2022 ที่ติดตามผู้ใช้ลู่วิ่ง 500 คน เป็นเวลา 3 ปี น่าทึ่งมากที่พบว่า ในกลุ่มที่ใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC หนักๆ (วันละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป) 68% ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนมอเตอร์ภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มที่ใช้ AC แบบเดียวกัน มีเพียง 12% เท่านั้นที่มีปัญหา”

จากงานวิจัยที่ผมได้อ่านและข้อมูลจากลูกค้าจริง 

งานวิจัยในปี 2022 โดยสมาคมผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาแห่งหนึ่ง ศึกษาผู้ใช้ลู่วิ่ง 500 คน แบ่งเป็นผู้ใช้มอเตอร์ DC 250 คน และมอเตอร์ AC 250 คน ติดตามผลเป็นเวลา 3 ปี

ผลการวิจัยพบว่า ในกลุ่มผู้ใช้มอเตอร์ DC ที่ใช้งานหนัก (มากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน) 

  • 68% มีปัญหาเกี่ยวกับมอเตอร์ภายใน 2 ปี
  • 42% ต้องเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่
  • 26% พบปัญหามอเตอร์ร้อนเกิน ส่งเสียงดังผิดปกติ แต่ยังใช้งานได้
  • ค่าซ่อมบำรุงเฉลี่ย 8,500 บาทต่อคน ตลอด 3 ปี

ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้มอเตอร์ AC ที่ใช้งานหนักเท่ากัน 

  • มีเพียง 12% ที่มีปัญหาเกี่ยวกับมอเตอร์ภายใน 2 ปี
  • 5% ต้องเปลี่ยนมอเตอร์ใหม่
  • 7% พบปัญหาเล็กน้อย แต่ยังใช้งานได้
  • ค่าซ่อมบำรุงเฉลี่ย 2,200 บาทต่อคน ตลอด 3 ปี

น่าสนใจมากที่งานวิจัยนี้ยังพบว่า น้ำหนักของผู้ใช้มีผลอย่างมากต่ออายุการใช้งานของมอเตอร์ DC แต่มีผลน้อยมากต่อมอเตอร์ AC ผู้ใช้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลที่ใช้มอเตอร์ DC มีโอกาสเจอปัญหามอเตอร์สูงถึง 82% ภายใน 2 ปี!

อายุเฉลี่ยของลู่วิ่งตามประเภทมอเตอร์จากแบรนด์ชั้นนำ

“เพื่อนผมเป็นผู้จัดการฟิตเนสใหญ่แห่งหนึ่ง เขาบอกผมว่าลู่วิ่งมอเตอร์ AC ที่เขาซื้อเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ยังใช้งานได้ดีอยู่ แม้จะใช้งานวันละ 16 ชั่วโมงก็ตาม ขณะที่ลู่วิ่งมอเตอร์ DC ที่เขาซื้อมาลองใช้ ไม่มีเครื่องไหนอยู่รอดเกิน 1 ปีครึ่งเลย”

จากข้อมูลที่ผมรวบรวมจากแบรนด์ชั้นนำและประสบการณ์ตรง 

ลู่วิ่งมอเตอร์ AC เกรดฟิตเนส จากแบรนด์ชั้นนำ 

  • อายุการใช้งานเฉลี่ย  7-10 ปี (การใช้งานปกติที่บ้าน)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยในฟิตเนส  5-7 ปี (ใช้งานหนัก วันละ 12+ ชั่วโมง)
  • ค่าบำรุงรักษาเฉลี่ย  2,000-3,000 บาทต่อปี
  • ความจำเป็นในการเปลี่ยนอะไหล่หลัก  น้อยมาก

ลู่วิ่งมอเตอร์ DC คุณภาพดี 

  • อายุการใช้งานเฉลี่ย  3-5 ปี (การใช้งานเบาๆ ที่บ้าน)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยเมื่อใช้งานหนัก  1-2 ปี
  • ค่าบำรุงรักษาเฉลี่ย  3,000-5,000 บาทต่อปี
  • ความจำเป็นในการเปลี่ยนอะไหล่หลัก  มักต้องเปลี่ยนมอเตอร์หลังใช้งาน 2-3 ปี

ลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคาถูก 

  • อายุการใช้งานเฉลี่ย  1-3 ปี (การใช้งานเบาๆ)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยเมื่อใช้งานหนัก  6 เดือน – 1 ปี
  • ค่าบำรุงรักษาเฉลี่ย  4,000-8,000 บาทต่อปี
  • ความจำเป็นในการเปลี่ยนอะไหล่หลัก  มักต้องเปลี่ยนมอเตอร์ภายในปีแรก หากใช้งานหนัก

เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยไปดูงานที่ฟิตเนสหรูแห่งหนึ่ง พวกเขาใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ AC เกรดสูงมาแล้ว 9 ปี โดยเปลี่ยนเพียงสายพานปีละครั้งเท่านั้น ในขณะที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งที่พยายามประหยัดด้วยการใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC คุณภาพดี ต้องเปลี่ยนมอเตอร์ทุก 1-2 ปี และสุดท้ายเสียค่าใช้จ่ายรวมมากกว่า!

งานวิจัยปี 2023  มอเตอร์ DC แบบไม่มีพัดลมระบายร้อน เสื่อมไวขึ้น 40%

“ได้อ่านงานวิจัยล่าสุดจากวิศวกรมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งเมื่อปี 2023 พบว่ามอเตอร์ DC ที่ไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดี เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติถึง 40% ยิ่งถ้าใช้ในห้องที่อากาศร้อน ไม่มีแอร์ อาจเสื่อมเร็วขึ้นอีกเท่าตัว!”

งานวิจัยล่าสุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับมอเตอร์ลู่วิ่ง 

ในปี 2023 มีการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับผลของระบบระบายความร้อนต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของมอเตอร์ในลู่วิ่ง โดยทดสอบมอเตอร์ DC 4 แบบที่มีระบบระบายความร้อนแตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่มีเลย ไปจนถึงมีพัดลมคู่ ทดสอบในสภาพจำลองการใช้งานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 6 เดือน

ผลการศึกษาพบว่า มอเตอร์ DC ที่ไม่มีระบบระบายความร้อนเลย มีประสิทธิภาพลดลง 38-43% หลังการทดสอบ 6 เดือน ขณะที่มอเตอร์ที่มีพัดลมระบายความร้อนคู่ มีประสิทธิภาพลดลงเพียง 12-15% เท่านั้น

ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เมื่อทดสอบในห้องที่มีอุณหภูมิสูง (30-35 องศา) มอเตอร์ที่ไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดีมีอัตราการเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกเกือบเท่าตัว! นั่นหมายความว่า หากคุณใช้ลู่วิ่งในห้องที่ไม่มีแอร์ในประเทศไทย มอเตอร์ DC ของคุณอาจเสื่อมเร็วกว่าปกติถึง 70-80%

ผมเคยเห็นกรณีจริงตรงกับผลวิจัยนี้เลย ลูกค้าคนหนึ่งซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปใช้ในห้องออกกำลังกายที่ไม่มีแอร์ ช่วงเมษายน-พฤษภาคมปีที่แล้ว ที่อุณหภูมิสูงถึง 35-38 องศา เขาใช้วิ่งวันละชั่วโมง ผ่านไปแค่ 3 เดือน มอเตอร์ก็เริ่มส่งเสียงดังผิดปกติและมีกลิ่นไหม้

งานวิจัยนี้ยังแนะนำว่า การใช้มอเตอร์ DC ในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย ควรเลือกรุ่นที่มีระบบระบายความร้อนที่ดี หรือติดตั้งในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิ (มีแอร์) จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีนัยสำคัญ

ที่น่าสนใจคือ เมื่อเทียบกับมอเตอร์ AC ในสภาพการทดสอบเดียวกัน มอเตอร์ AC มีอัตราการเสื่อมสภาพเพียง 5-8% เท่านั้นหลังการทดสอบ 6 เดือน แม้ในห้องที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าในแง่ความทนทานอย่างชัดเจน

 

สรุป  มอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไง และควรเลือกอะไรดี?

“ถ้าให้ผมสรุปง่ายๆ จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งพันกว่าเครื่อง ก็คือ มอเตอร์ AC เหมือนรถกระบะญี่ปุ่น ทำงานหนักได้ ทนทาน แต่ราคาแพง ส่วน DC เหมือนรถเก๋งเล็กๆ ราคาถูก เหมาะกับใช้ในเมือง ไม่ได้บรรทุกของหนัก แค่นี้ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าอะไรเหมาะกับคุณ”

สุดท้ายนี้ ผมขอสรุปจากประสบการณ์ตรงในการขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง และการเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวจริง 

ถ้าอยากใช้นาน ไม่ปวดหัว – AC คือตัวเลือกที่ปลอดภัย

“ลูกค้าผมคนหนึ่งเคยบอกว่า ‘ผมซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ AC มา 6 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย แต่เพื่อนผมเปลี่ยนลู่วิ่ง DC ไปแล้ว 3 เครื่องในช่วงเวลาเดียวกัน สุดท้ายใครจ่ายมากกว่ากัน?'”

ถ้าคุณเป็นคนที่ 

  • วิ่งหนักหรือวิ่งนาน (มากกว่า 45 นาทีต่อวัน)
  • ใช้งานทุกวันหรือเกือบทุกวัน
  • มีน้ำหนักมากกว่า 80 กิโล
  • มีหลายคนในบ้านที่ใช้ลู่วิ่ง
  • เป็นนักวิ่งที่ต้องการซ้อมเพื่อการแข่งขัน
  • ต้องการลงทุนครั้งเดียวและใช้งานได้นาน 5-10 ปี

มอเตอร์ AC คือคำตอบเดียว ผมยืนยันจากประสบการณ์จริง ลู่วิ่งของผมเองที่ใช้มอเตอร์ AC ใช้มาแล้ว 6 ปี ยังวิ่งลื่นเหมือนวันแรกที่ซื้อ แม้ผมจะใช้ซ้อมมาราธอนหนักๆ มาแล้วหลายรายการก็ตาม

ลองคิดง่ายๆ ถ้าคุณซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ AC ราคา 40,000 บาทและใช้ได้ 8 ปี คิดเป็นต้นทุนปีละ 5,000 บาท ในขณะที่ถ้าซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ราคา 15,000 บาท แต่ต้องเปลี่ยนทุก 2 ปี และมีค่าซ่อมระหว่างใช้งานอีก แท้จริงแล้วคุณอาจเสียเงินมากกว่าในระยะยาว

เพื่อนผมคนหนึ่งบอกผมว่า “ตอนแรกผมไม่เชื่อที่คุณแนะนำให้ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ AC ที่แพงกว่า แต่พอใช้มาได้ 5 ปีโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย ในขณะที่เพื่อนผมต้องซ่อมหรือเปลี่ยนลู่วิ่ง DC ทุกปี ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงแนะนำแบบนั้น”

ถ้าใช้แค่เดิน วิ่งเบา ๆ – DC ก็ได้ แต่อย่าฝืนเกินไป

“มีลูกค้าสูงอายุคนหนึ่งมาบอกผมว่า ‘หมอให้ผมเดินวันละ 30 นาที แค่นั้นเอง ไม่ต้องวิ่ง ลู่วิ่งราคาหลักหมื่นพอไหม?’ ผมตอบไปว่า ‘พอครับ แค่เดินสบายๆ ลู่วิ่งมอเตอร์ DC ก็เพียงพอแล้ว'”

ถ้าคุณเป็นคนที่ 

  • แค่ต้องการเดินหรือวิ่งเบาๆ ไม่เกิน 30-45 นาทีต่อวัน
  • ไม่ได้ใช้ทุกวัน (3-4 วันต่อสัปดาห์)
  • มีน้ำหนักไม่เกิน 80 กิโล
  • มีงบประมาณจำกัด
  • อยู่ในพื้นที่จำกัด เช่น คอนโด ที่ต้องการลู่วิ่งขนาดกะทัดรัด
  • ต้องการเสียงเบา ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน

มอเตอร์ DC รุ่นคุณภาพดีก็เพียงพอสำหรับความต้องการของคุณ แต่จำไว้เสมอว่า อย่าฝืนใช้มันหนักเกินไป ไม่ว่าจะในแง่ของระยะเวลา ความเร็ว หรือความถี่ในการใช้งาน

คุณแม่ของผมเองก็ใช้ลู่วิ่งมอเตอร์ DC เดินวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน ใช้มาได้ 4 ปีแล้วโดยไม่มีปัญหาอะไร เพราะใช้งานเบาและเหมาะสมกับประเภทของมอเตอร์

แนะนำให้ลองปรึกษาทีมงาน RunatHome ก่อนตัดสินใจ

“มีลูกค้ารายหนึ่งโทรมาปรึกษาผม บอกว่าตัดสินใจไม่ถูกระหว่างรุ่น DC กับ AC ผมถามว่าใช้งานยังไง พอทราบว่าเขาวางแผนจะวิ่งทุกวัน วันละชั่วโมง แถมน้ำหนัก 90 กิโล ผมแนะนำ AC ทันที เขาบอกว่าแพงไป ผมเลยบอกว่า ‘คุณเลือกได้นะ จ่ายแพงตอนแรก หรือจ่ายแพงกว่าในระยะยาว’ สุดท้ายเขาเลือก AC และขอบคุณผมมากที่ให้คำแนะนำตรงไปตรงมา”

จากประสบการณ์ของผม การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนซื้อลู่วิ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณานอกเหนือจากราคา ทั้งรูปแบบการใช้งาน น้ำหนักตัว สภาพแวดล้อมที่ตั้ง และเป้าหมายในการออกกำลังกายของคุณ

ผมเคยมีลูกค้าที่ดูรีวิวออนไลน์และเกือบตัดสินใจซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC เพราะราคาถูก แต่โชคดีที่โทรมาปรึกษาผมก่อน เมื่อทราบว่าเขาเป็นนักวิ่งที่วิ่ง 10K ทุกสัปดาห์ และเตรียมตัวซ้อมวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ผมแนะนำให้เลือกมอเตอร์ AC แทน เขาฟังคำแนะนำและไม่เคยเสียใจเลย

ที่ RunatHome เรามีทีมงานที่เข้าใจความต้องการของนักวิ่งทุกระดับ เพราะเราเป็นนักวิ่งเองและขายลู่วิ่งมานานกว่า 20 ปี เราจะช่วยวิเคราะห์ความต้องการและแนะนำลู่วิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ ไม่ใช่แค่ขายของแพงที่สุด แต่ขายของที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

  1. ลู่วิ่งมอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันยังไง?

“มอเตอร์ AC ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ มีความทนทานสูง เหมาะกับการใช้งานหนักและต่อเนื่อง ส่วนมอเตอร์ DC ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง มีขนาดเล็กกว่า เสียงเบากว่า แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก มอเตอร์ AC เปรียบเหมือนรถกระบะที่ลุยงานหนักได้ ส่วน DC เหมือนรถเก๋งใช้ในเมือง”

  1. ถ้าซ้อมวิ่งมาราธอนที่บ้าน ควรเลือกมอเตอร์แบบไหน?

“ต้องเป็นมอเตอร์ AC เท่านั้น เพราะการซ้อมมาราธอนต้องวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน บางครั้ง 2-3 ชั่วโมงติดต่อกัน มอเตอร์ DC จะไม่สามารถทนต่อการใช้งานแบบนี้ได้ในระยะยาว จากประสบการณ์ซ้อมวิ่งมาราธอนมาหลายรายการ ผมแนะนำให้เลือกรุ่นที่มีมอเตอร์ AC และสายพานกว้าง”

  1. Peak HP กับ Continuous HP ต่างกันยังไง?

“Peak HP คือกำลังสูงสุดที่มอเตอร์ทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 วินาที (เช่น ตอนเริ่มสตาร์ท) ส่วน Continuous HP คือกำลังที่ทำได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งมักจะต่ำกว่า Peak HP ประมาณ 40-60% ตัวเลขที่สำคัญจริงๆ คือ Continuous HP แต่ผู้ผลิตมักโฆษณาแต่ Peak HP เพราะตัวเลขสูงกว่า”

  1. วิ่งวันละ 30 นาที ควรเลือกมอเตอร์แบบไหน?

“ถ้าคุณวิ่งวันละ 30 นาที และไม่ได้วิ่งทุกวัน (เช่น 3-4 วันต่อสัปดาห์) มอเตอร์ DC คุณภาพดีก็เพียงพอ แต่ถ้าคุณวิ่งทุกวันไม่มีวันหยุด แม้จะแค่วันละ 30 นาที ผมแนะนำให้เลือกมอเตอร์ AC เพราะการใช้งานสม่ำเสมอทุกวันจะทำให้มอเตอร์ DC เสื่อมเร็วกว่าปกติ”

  1. น้ำหนักตัวมีผลต่อการเลือกมอเตอร์ลู่วิ่งไหม?

“มีผลมาก! จากงานวิจัยพบว่า น้ำหนักของผู้ใช้มีผลอย่างมากต่ออายุการใช้งานของมอเตอร์ DC แต่มีผลน้อยมากต่อมอเตอร์ AC ผู้ใช้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลที่ใช้มอเตอร์ DC มีโอกาสเจอปัญหามอเตอร์สูงถึง 82% ภายใน 2 ปี! ถ้าคุณมีน้ำหนักมากกว่า 80 กิโล ควรเลือกมอเตอร์ AC”

  1. ทำไมลู่วิ่งมอเตอร์ AC ถึงแพงกว่า DC มาก?

“เพราะมอเตอร์ AC มีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่า วัสดุที่ใช้คุณภาพสูงกว่า และมีระบบระบายความร้อนที่ดีกว่า รวมถึงต้องมีระบบควบคุมที่ซับซ้อนกว่า แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้มันทนทานและใช้งานได้หนักกว่ามาก ลองคิดง่ายๆ ถ้าลู่วิ่งมอเตอร์ DC อยู่ได้ 2 ปี แต่ AC อยู่ได้ 8 ปี ในระยะยาว AC อาจจะคุ้มกว่า”

  1. ลู่วิ่งที่เขียนว่า ‘มอเตอร์ญี่ปุ่น’ เชื่อถือได้ไหม?

“ส่วนใหญ่เป็นแค่คำโฆษณา มอเตอร์ญี่ปุ่นแท้จะมีโลโก้และเครื่องหมายการค้าของบริษัทญี่ปุ่นชัดเจน เช่น Toshiba, Hitachi, Mitsubishi, Panasonic และมักมีราคาสูง ถ้าลู่วิ่งบอกว่าใช้มอเตอร์ญี่ปุ่นแต่ราคาถูกผิดปกติ ให้สงสัยไว้ก่อน คำว่า ‘เทคโนโลยีญี่ปุ่น’ หรือ ‘ระบบญี่ปุ่น’ ไม่ได้หมายความว่าเป็นมอเตอร์ญี่ปุ่นจริงๆ”

  1. ซื้อลู่วิ่งมอเตอร์ DC ไปแล้ว จะยืดอายุการใช้งานได้ยังไง?

“ถ้าคุณมีลู่วิ่งมอเตอร์ DC อยู่แล้ว ควรทำดังนี้  1) อย่าใช้งานต่อเนื่องนานเกิน 45 นาที ควรพักมอเตอร์บ้าง 2) หยอดน้ำมันหล่อลื่นสายพานสม่ำเสมอ 3) วางลู่วิ่งในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี หรือมีแอร์ 4) ทำความสะอาดฝุ่นและสิ่งสกปรกในมอเตอร์สม่ำเสมอ 5) เริ่มและหยุดการวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่กระชากหรือหยุดกะทันหัน”

  1. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างไร? เทียบกับลู่วิ่งมอเตอร์ AC/DC ยังไง?

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าอาศัยแรงถีบของผู้วิ่งเองในการขับเคลื่อนสายพาน ข้อดีคือประหยัดไฟ ไม่ต้องกังวลเรื่องมอเตอร์เสีย และให้การออกกำลังกายที่เข้มข้นกว่า แต่ข้อเสียคือเริ่มต้นวิ่งยากกว่า ไม่สามารถกำหนดความเร็วคงที่ได้ และราคามักสูงกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป เหมาะกับนักวิ่งที่มีประสบการณ์และต้องการฝึกความแข็งแรงมากกว่า”

  1. แนะนำลู่วิ่งสำหรับครอบครัวที่มีผู้ใช้หลายคน (ทั้งผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ) ควรเลือกอย่างไร?

“ครอบครัวที่มีผู้ใช้หลายคนควรเลือกลู่วิ่งมอเตอร์ AC เท่านั้น เพราะการใช้งานจะหลากหลายและหนักกว่าการใช้คนเดียว ควรเลือกรุ่นที่มีระบบความปลอดภัยดี เช่น ระบบหยุดฉุกเฉินแบบคลิปหรือแม่เหล็ก สายพานกว้างพอสำหรับผู้สูงอายุที่อาจมีการทรงตัวไม่ดี และมีราวจับที่แข็งแรง ผมแนะนำรุ่น X11 หรือ X12 ที่รองรับน้ำหนักได้ถึง 160-200 กิโล มีจอใหญ่ใช้งานง่าย และมีโปรแกรมวิ่งหลากหลายให้เลือก”

สรุปท้ายบทความ

เอาเป็นว่า เรื่องของมอเตอร์ AC กับ DC นี่ มันเหมือนการเลือกรถยนต์นะครับ คุณจะเลือกรถเก๋งเล็กๆ น่ารักๆ ที่ขับในเมืองสบาย แต่เอาไปลุยงานหนักไม่ได้ หรือจะเลือกรถกระบะแกร่งๆ ที่ราคาแพงกว่า แต่ทำอะไรได้มากกว่า

ผมเจอลูกค้ามาเยอะมาก ที่เสียดายเงินตอนซื้อ แต่เสียใจทีหลังเมื่อลู่วิ่งพังเร็ว เลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริงของคุณ จะดีกว่าเยอะครับ

อย่างที่แชร์มาทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้อยากให้คุณซื้อลู่วิ่งที่แพงที่สุด แต่อยากให้คุณเลือกลู่วิ่งที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับคุณ เพราะการออกกำลังกายที่ดีควรเป็นความสุข ไม่ใช่ความปวดหัวจากอุปกรณ์ที่พังง่าย

ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ลองแวะมาคุยกับผมที่ RunatHome.co ได้นะครับ เรายินดีให้คำปรึกษากับทุกคน ไม่ว่างบจะเท่าไหร่ก็ตาม เพราะผมเชื่อว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีลู่วิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างระหว่างมอเตอร์ AC และ DC ในลู่วิ่งได้ดีขึ้นนะครับ หรือถ้ามีคำถามเพิ่มเติม สามารถคอมเมนต์ไว้ด้านล่างได้เลย ผมจะรีบตอบทุกคำถามครับ!