ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า เผาผลาญได้มากกว่าจริงไหม? หรือแค่รู้สึกเหนื่อยเฉย ๆ

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าถึง 30% ทั้งที่วิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน เพราะคุณต้องออกแรงขับเคลื่อนสายพานเอง”

นี่ครับ คำตอบที่หลายคนอยากรู้! ผมหมิง เจ้าของ Runathome.co นักวิ่งมาราธอนตัวจริงที่วิ่งมาเกือบ 20 ปี ผ่านสนามใหญ่มาแล้วเพียบ ทั้ง Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024, Garmin Run Asia Series 2024, Laguna Phuket Marathon 2024

เมื่อวานมีลูกค้าโทรมาถามว่า “พี่หมิง ลู่วิ่งที่ไม่ใช้ไฟฟ้าน่ะ มันช่วยเบิร์นได้มากกว่าจริงเหรอ หรือแค่รู้สึกเหนื่อยมากกว่าเฉย ๆ?”

ผมเลยคิดว่า… เฮ้ย! นี่มันคำถามที่หลายคนสงสัยเลยนี่นา เลยเอามาแชร์ให้ทุกคนได้รู้จักลู่วิ่งประเภทนี้ให้มากขึ้น

ขอบอกเลยว่า หลังจากขายลู่วิ่งมาพันกว่าเครื่อง ผมเจอลูกค้าหลายแบบ ทั้งคนที่ต้องการวิ่งเร็ว ๆ เพื่อพิชิตมาราธอน และคนที่แค่อยากเบิร์นไขมันทำหุ่นให้เฟิร์ม และนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่า ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเนี่ย มันเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับบางคน

แต่! ยังบอกไม่ได้ว่าเหมาะกับทุกคนนะ เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ฟังทีละประเด็นแบบละเอียดยิบเลย กลับมาที่คำถามดั้งเดิม ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญได้มากกว่าจริงไหม? คำตอบคือ “จริง” แต่มีเงื่อนไขที่ต้องเข้าใจ

วันนี้ผมจะพาทุกคนไปทำความรู้จักลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ลึกซึ้ง ทั้งข้อดี ข้อควรระวัง และวิธีใช้งานให้ได้ผลสูงสุด แบบที่ผมเองก็ใช้ฝึกตัวเองอยู่ที่บ้าน

ที่สำคัญ… จะมาบอกว่าใครเหมาะกับลู่วิ่งแบบนี้ และคนแบบไหนควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าดีกว่า ติดตามได้เลยครับ!

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าคืออะไร? ต่างจากลู่วิ่งทั่วไปยังไง

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าคือลู่วิ่งที่ต้องใช้แรงของเราเองในการขับเคลื่อนสายพาน ไม่มีมอเตอร์ช่วย ต่างจากลู่วิ่งทั่วไปที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ขับสายพานให้เราวิ่งตาม”

เมื่อปีที่แล้วตอนที่ไฟดับที่บ้าน ผมนั่งมองลู่วิ่งไฟฟ้าที่ตั้งอยู่แล้วคิดในใจ “ทำไมเราต้องพึ่งไฟฟ้าด้วยวะ?” นั่นแหละครับจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหันมาสนใจลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า คืออะไร? เดินเอง วิ่งเอง ใช้แรงคนล้วน

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าทำงานด้วยพลังงานจากร่างกายเราล้วน ๆ เมื่อออกแรงดันสายพาน มันก็จะหมุนไปตามแรงที่เราออก ถ้าวิ่งเร็ว มันก็จะหมุนเร็ว วิ่งช้า มันก็จะหมุนช้า… ง่าย ๆ แค่นั้นเอง”

จากประสบการณ์ที่ผมเคยวิ่งบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามาเป็นร้อย ๆ ชั่วโมง ขอบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างมาก ๆ ลองนึกภาพลู่วิ่งที่ไม่มีปลั๊ก ไม่มีสวิตช์ ไม่มีดิจิทัลบอกความเร็ว แต่มีสายพานที่เราสามารถเดินหรือวิ่งได้ตามแรงที่เราออก

ทำไมถึงเรียกว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า? ก็เพราะมันไม่ได้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนสายพานเหมือนลู่วิ่งทั่วไปนั่นเอง แต่ใช้พลังงานจากร่างกายของเราล้วน ๆ

เมื่อเดือนก่อนมีลูกค้าคนหนึ่งทดลองวิ่งบนรุ่น CX8 แล้วบอกว่า “โอ้โห! เหมือนวิ่งจริง ๆ เลยพี่หมิง” ซึ่งนั่นคือความรู้สึกที่หลายคนมักพูดตรงกัน มันคล้ายกับการวิ่งบนถนนมากกว่าลู่วิ่งธรรมดาทั่วไป

แต่จุดที่น่าสนใจคือ ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าบางรุ่น เช่น CX8 ยังมีระบบปรับแรงต้านได้อีกด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป

เปรียบเทียบการใช้งานกับลู่วิ่งไฟฟ้าปกติ

“ลู่วิ่งไฟฟ้าเปรียบเสมือนเราวิ่งตามสายพาน แต่ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเปรียบเสมือนเรากำลังดันสายพาน ความแตกต่างนี้ทำให้การออกแรงต่างกัน และการเผาผลาญพลังงานก็ต่างกันด้วย”

ตอนแรกที่ผมลองรุ่น CX7 ผมนึกว่ามันจะวิ่งยากมาก ๆ แต่พอได้ลองจริง ๆ ก็พบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังได้ความรู้สึกที่ต่างจากลู่วิ่งไฟฟ้าอย่างสิ้นเชิง

ลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป 

  • มอเตอร์ขับสายพาน เราแค่วิ่งตาม
  • ต้องกดปุ่มปรับความเร็ว
  • ควบคุมความเร็วด้วยเครื่อง
  • ต้องเสียบปลั๊ก ใช้ไฟฟ้า
  • ถ้าไฟดับ ก็ใช้ไม่ได้เลย

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า 

  • เราออกแรงดันสายพานเอง
  • ความเร็วขึ้นอยู่กับแรงที่เราใส่เข้าไป
  • ถ้าหยุดออกแรง สายพานก็หยุด (ตามหลักฟิสิกส์ง่าย ๆ)
  • ไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟ ประหยัดค่าไฟ
  • วิ่งได้แม้ตอนไฟดับ

มีครั้งหนึ่งผมเคยสงสัยว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามันจะวิ่งได้ลื่นจริงไหม ผมเลยลองทดสอบวิ่งระยะไกล 15 กิโลเมตรบนลู่ CX8 และพบว่ามันวิ่งได้ลื่นกว่าที่คิด แต่ก็เหนื่อยกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าแน่นอน

ที่น่าสนใจคือ พอวิ่งเสร็จ ผมดูแคลอรี่ที่เผาผลาญไปจากนาฬิกา Garmin ของผม พบว่าเผาผลาญไปมากกว่าตอนวิ่งบนลู่ไฟฟ้าด้วยระยะทางและเวลาเท่ากันถึง 25%

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไปครับ…

ลู่วิ่ง CX7 และ CX8 ต่างจากลู่วิ่งมอเตอร์ยังไง?

“CX7 และ CX8 คือลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียม ที่ออกแบบมาให้วิ่งได้ลื่น แต่ยังให้แรงต้านที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะ CX8 ที่สามารถปรับแรงต้านได้ถึง 8 ระดับ”

เรามาทำความรู้จักกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าสองรุ่นเด่นของเรากัน ผมเองทดสอบทั้งสองรุ่นมาแล้วเป็นเดือน ๆ และเอามาใช้ส่วนตัวที่บ้านด้วย

CX7 เป็นรุ่นที่ใช้ระบบลูกปืนในการทำให้สายพานหมุนได้อย่างลื่นไหล มีขนาดสายพาน 177 x 49 ซม. เป็นสายพานแบบบานเกล็ด หนา 1.5 ซม. ตัวโครงสร้างทำจากเหล็กหนา 3 มิล เคลือบสี Power coated รับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล

มีจอแสดงผลเล็ก ๆ ขนาด 7 นิ้ว แสดงข้อมูลพื้นฐาน ทั้งความเร็ว รอบต่อนาที(RPM) เวลา ระยะทาง และแคลอรี่ ซึ่งผมว่านี่เป็นจุดเด่นนะ เพราะลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าทั่วไปมักไม่มีจอแสดงผล

ที่น่าประทับใจคือขนาดของมือจับที่ยาวถึง 110 ซม. ทำให้เกาะยึดได้มั่นคง ไม่ว่าจะวิ่งเร็วขนาดไหน

CX8 นี่เป็นรุ่นที่ผมชอบมาก เพราะมันมีจุดเด่นคือการออกแบบสายพานแบบ Curve (โค้ง) ที่ทำให้การวิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น และช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อต่อ

แต่ที่ทำให้ CX8 แตกต่างจาก CX7 และลู่วิ่งอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิงคือ มันมีระบบปรับแรงต้านได้ถึง 8 ระดับ!

เคยมีลูกค้าคนหนึ่งถามผมว่า “ทำไมต้องมีแรงต้านด้วยล่ะ?” ผมตอบไปว่า “เพราะเราจะได้เผาผลาญไขมันได้มากขึ้นไง!”

ลองนึกภาพว่าเรากำลังออกแรงดันน้ำหนักที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายถึงกล้ามเนื้อของเราต้องทำงานหนักขึ้นด้วย และเมื่อกล้ามเนื้อทำงานหนัก การเผาผลาญพลังงานก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ข้อดีอีกอย่างของ CX8 คือเสียงการทำงานที่เงียบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้าน โดยเฉพาะอพาร์ทเมนท์หรือคอนโดที่ต้องคำนึงถึงเรื่องเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ CX8 ยังมีมือจับ 3 โซน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนท่าทางการวิ่งได้หลากหลาย เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน

 

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญได้เยอะกว่าเพราะอะไร?

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้า 20-30% เพราะคุณต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนสายพานด้วยตัวเอง บวกกับแรงต้านที่ปรับได้ในรุ่น CX8 ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักขึ้น”

เมื่อเดือนที่แล้วผมทดลองวิ่ง 5 กิโลเมตรบนลู่วิ่งไฟฟ้า A5 และลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า CX8 ด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่ากัน ผลปรากฏว่าผมเผาผลาญแคลอรี่บน CX8 มากกว่าถึง 27% และอัตราการเต้นของหัวใจก็สูงกว่าด้วย แม้จะวิ่งด้วยความเร็วเท่ากันก็ตาม!

ต้องออกแรงมากกว่า จึงใช้พลังงานเยอะกว่า

“การวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้า คุณไม่ได้แค่ยกเท้าขึ้นลงเหมือนลู่ไฟฟ้า แต่ต้องออกแรงดันสายพานให้เคลื่อนที่ด้วย ซึ่งการออกแรงเพิ่มขึ้นนี้ทำให้การเผาผลาญเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”

ลองคิดแบบนี้ครับ เวลาเราวิ่งบนลู่ไฟฟ้า เรามีหน้าที่แค่ยกเท้าขึ้นลงตามจังหวะของสายพานที่มอเตอร์ขับเคลื่อนให้ แต่เวลาวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้า เราต้องทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน 

  1. ยกเท้าขึ้นลงตามปกติ
  2. ออกแรงดันสายพานให้เคลื่อนที่

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราเผาผลาญพลังงานมากขึ้น เพราะร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นนั่นเอง

ผมได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การออกกำลังกายบนลู่วิ่งที่ต้องออกแรงเอง (self-powered) ทำให้ร่างกายใช้พลังงานมากกว่าลู่วิ่งมอเตอร์ประมาณ 20-30% ทีเดียว

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  งานวิจัยในปี 2023 ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างนักวิ่ง 50 คน พบว่า คนที่วิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญแคลอรี่มากกว่าคนที่วิ่งบนลู่ไฟฟ้าด้วยความเร็วเท่ากันถึง 30% และสร้างกล้ามเนื้อขาได้มากกว่าถึง 15% ในระยะเวลาทดสอบ 8 สัปดาห์

จากประสบการณ์ตรงของผมเอง ผมสังเกตว่าเมื่อวิ่งบนลู่ CX8 ผมรู้สึกเหนื่อยเร็วกว่า และมีเหงื่อออกมากกว่าตอนวิ่งบนลู่ไฟฟ้าทั่วไป ทั้งที่วิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน

โค้ชหมิงเทียบ Heart Rate  CX8 vs A5

“ผมวิ่งด้วยความเร็ว 10 กม./ชม. เป็นเวลา 30 นาที ทั้งบน CX8 และ A5 พบว่าอัตราการเต้นของหัวใจบน CX8 สูงกว่าประมาณ 15-20 ครั้ง/นาที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังทำงานหนักกว่าและเผาผลาญมากกว่า”

จากการทดสอบของผมเอง ผมใส่นาฬิกา Garmin ที่มี Heart Rate Monitor แล้ววิ่งด้วยความเร็วคงที่ 10 กม./ชม. บนลู่วิ่งทั้งสองแบบ

ผลการทดสอบมีดังนี้ 

ลู่วิ่งไฟฟ้า A5 

  • อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย  155 ครั้ง/นาที
  • แคลอรี่ที่เผาผลาญ  320 แคลอรี่ใน 30 นาที

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า CX8 

  • อัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย  172 ครั้ง/นาที
  • แคลอรี่ที่เผาผลาญ  410 แคลอรี่ใน 30 นาที

ต่างกันถึง 90 แคลอรี่ใน 30 นาทีเลยนะครับ! อัตราการเต้นของหัวใจที่สูงกว่าแสดงให้เห็นว่าร่างกายกำลังทำงานหนักกว่าจริง ๆ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเหนื่อยเฉย ๆ

ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เมื่อปรับระดับแรงต้านของ CX8 ให้สูงขึ้น (ระดับ 5 จาก 8) แคลอรี่ที่เผาผลาญเพิ่มขึ้นเป็น 450 แคลอรี่ แม้ว่าความเร็วในการวิ่งจะลดลงเล็กน้อยก็ตาม

ยิ่งฝึกแบบ HIIT บน CX8 ยิ่งได้ผลเรื่องการเบิร์น

“การฝึก HIIT (High Intensity Interval Training) บนลู่วิ่ง CX8 โดยเฉพาะเมื่อเพิ่มแรงต้านสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการฝึกแบบเดียวกันบนลู่วิ่งไฟฟ้าถึง 40%”

ผมเคยฝึกกับโค้ชหลังจากกลับมาจากงาน Garmin Run Asia Series 2024 กลับมาแล้วผมค้นพบว่า การฝึกแบบ HIIT บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมาก

วันนั้นโค้ชให้ผมทำการทดลอง 

  • วิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับเดินเบา ๆ 30 วินาที
  • ทำซ้ำ 10 รอบ (รวม 10 นาที)
  • ทำบนลู่ทั้งสองประเภท (วันละแบบ) แล้วเปรียบเทียบผล

ผลลัพธ์ทำให้ผมอึ้งมาก! เมื่อทำ HIIT บนลู่ CX8 โดยปรับแรงต้านให้สูงในช่วงวิ่งเร็ว ผมสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการทำบนลู่ไฟฟ้า A5 ถึง 38%

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ อัตราการเผาผลาญ (Metabolic Rate) ของผมหลังการฝึกบนลู่ CX8 ยังคงสูงต่อเนื่องไปอีกประมาณ 6 ชั่วโมง ซึ่งนี่เรียกว่าเป็นเอฟเฟกต์ EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) หรือที่บางคนเรียกว่า “Afterburn Effect”

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาในปี 2022 ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่าง 78 คน พบว่าการฝึก HIIT บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญในช่วงพักได้นานถึง 12-24 ชั่วโมงหลังการฝึก เทียบกับ 6-8 ชั่วโมงสำหรับการฝึกแบบเดียวกันบนลู่วิ่งไฟฟ้า

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อ CX8 ไปใช้ที่บ้านกลับมาเล่าให้ฟังว่า พอเขาฝึก HIIT สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆ ละ 20 นาที (เท่านั้นแหละ!) เขาสามารถลดไขมันได้ 2.5 กิโลในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอาหารมากนัก

ผมเลยบอกเขาไปว่า “นั่นแหละครับ พลังของการฝึกแบบ HIIT บนลู่วิ่งที่ต้องใช้แรงเรา 100%”

ที่ยิ่งไปกว่านั้น การปรับแรงต้านของ CX8 ทำให้เราสามารถสร้างโปรแกรมฝึกที่หลากหลายได้มากกว่า เช่น 

  • การฝึกแบบ Hill Training โดยการเพิ่มแรงต้านแทนการวิ่งขึ้นเขา
  • การฝึกความแข็งแรงของขาโดยการเพิ่มแรงต้านแล้วเดินช้า ๆ
  • การฝึกความทนทานโดยการวิ่งระยะกลางด้วยแรงต้านปานกลาง

จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมพบว่าการฝึกแบบ HIIT บนลู่วิ่ง CX8 นั้นไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น แต่ยังช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา และความทนทานของหัวใจและปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

แต่อย่าลืมนะครับว่า แม้จะเห็นผลเร็วกว่า แต่ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าก็อาจไม่เหมาะกับทุกคน…

 

เผาผลาญเยอะแต่ก็เหนื่อยกว่า ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าใช้ยากไหม?

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไม่ได้ยากที่จะใช้ แต่มีเทคนิคเฉพาะตัวที่ต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมจังหวะและความเร็ว ซึ่งต่างจากลู่วิ่งไฟฟ้าที่สายพานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่”

เมื่อปีที่แล้วผมเคยให้คุณป้าอายุ 65 ปีลองวิ่งบน CX7 เพราะอยากรู้ว่าผู้สูงอายุจะใช้งานได้ไหม ผมคิดว่าคุณป้าจะใช้ลำบาก แต่พอให้คำแนะนำเล็กน้อย คุณป้าก็สามารถใช้ได้ดีมาก ๆ และยังบอกอีกว่า “ชอบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าที่ใช้อยู่ที่บ้านอีก เพราะรู้สึกว่าควบคุมได้ตามใจเรามากกว่า”

ประสบการณ์นั้นทำให้ผมเข้าใจว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ก็มีเทคนิคบางอย่างที่ควรรู้เพื่อใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ถ้าวิ่งแบบไม่ถูกวิธี อาจบาดเจ็บแทนที่จะฟิต

“ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการพยายามวิ่งเร็วเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งอาจทำให้ล้ม หรือเกิดการบาดเจ็บที่ข้อเข่าและข้อเท้าได้ ควรค่อย ๆ เริ่มช้า ๆ และเพิ่มความเร็วทีละนิด”

จากประสบการณ์ในการแนะนำลูกค้ามากกว่าร้อยคน ผมพบว่าความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดเวลาใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าครั้งแรกคือ การพุ่งตัวไปข้างหน้าเร็วเกินไป ทำให้สายพานหมุนเร็วเกินกว่าที่จะควบคุมได้ และอาจทำให้ล้มได้

วันก่อนมีลูกค้าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาเคยถูกเพื่อนชวนไปลองลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าที่ฟิตเนส แล้วเขาลองวิ่งเร็ว ๆ ทันทีเหมือนที่เคยทำบนลู่วิ่งไฟฟ้า ผลคือเขาเกือบล้มและรู้สึกปวดเข่าไปหลายวัน

นี่คือข้อควรระวังสำคัญที่ผมอยากแนะนำ 

เริ่มต้นให้ช้า  เริ่มต้นด้วยการเดินช้า ๆ ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับความรู้สึกของการควบคุมสายพานด้วยตัวเอง

ย่อเข่าเล็กน้อย  การย่อเข่าเล็กน้อยจะช่วยให้สามารถควบคุมการทรงตัวได้ดีขึ้น

ใช้มือจับช่วย  โดยเฉพาะในช่วงแรก การใช้มือจับช่วยพยุงจะช่วยให้มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น

ระวังเรื่องท่าวิ่ง  บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า การวิ่งด้วยท่าที่ถูกต้องยิ่งมีความสำคัญ การลงเท้ากลางเท้าจะช่วยลดแรงกระแทกและทำให้ควบคุมความเร็วได้ดีขึ้น

ผมเคยเห็นลูกค้าหลายคนที่ปรับตัวได้ดีมากหลังจากใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไปสักพัก เขาบอกว่ารู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าซะอีก และสามารถควบคุมจังหวะการวิ่งได้ตามใจชอบ

ต้องเรียนรู้วิธีคุมจังหวะและจังหวะก้าว

“การใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ได้ผลดีต้องเรียนรู้วิธีควบคุมจังหวะก้าว โดยเฉพาะการใช้แรงจากสะโพกและต้นขา ซึ่งจะทำให้วิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและเผาผลาญได้มากขึ้น”

เมื่อ 2 เดือนก่อน ผมทำคลาสสอนการใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ และสิ่งที่ผมเน้นย้ำมากที่สุดคือเรื่องการควบคุมจังหวะก้าว

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะตอบสนองกับทุกแรงที่คุณใส่เข้าไป ถ้าคุณออกแรงเยอะ มันก็จะหมุนเร็ว ถ้าคุณชะลอลง มันก็จะช้าลงตาม นี่คือความท้าทายและความสนุกในเวลาเดียวกัน

เทคนิคสำคัญที่ผมแนะนำ 

  • เริ่มด้วยก้าวสั้น ๆ เพื่อความมั่นคง
  • ค่อย ๆ เพิ่มความยาวของก้าวเมื่อรู้สึกมั่นใจขึ้น
  • ใช้แรงจากสะโพกและต้นขาในการขับเคลื่อน ไม่ใช่แค่เท้า
  • ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแต่ไม่มากเกินไป
  • สร้างจังหวะการหายใจที่สอดคล้องกับจังหวะก้าว

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่เป็นนักวิ่งมือใหม่ เธอบอกว่าหลังจากฝึกวิ่งบน CX7 ได้สักพัก เธอรู้สึกว่าเมื่อไปวิ่งบนถนนจริง ๆ เธอวิ่งได้ดีขึ้นมาก เพราะลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าฝึกให้เธอควบคุมจังหวะก้าวได้ดีขึ้น

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  งานวิจัยในปี 2023 ที่ศึกษาเปรียบเทียบท่าวิ่งของนักวิ่ง 42 คน พบว่า คแนที่ฝึกบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นประจำมีท่าวิ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยวัดจากการใช้พลังงานต่อระยะทางที่วิ่งได้ และมีอาการบาดเจ็บจากการวิ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ฝึกบนลู่วิ่งไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

แนะนำเริ่มจาก CX7 ถ้ายังใหม่กับลู่วิ่งแบบนี้

“CX7 เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะระบบลูกปืนทำให้สายพานหมุนได้ลื่นไหล ควบคุมง่าย และปรับตัวได้เร็วกว่า ส่วน CX8 เหมาะกับคนที่ต้องการความท้าทายมากขึ้นด้วยระบบปรับแรงต้าน”

ผมมักจะแนะนำให้ลูกค้าที่ยังไม่เคยใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามาก่อนเริ่มต้นที่ CX7 ก่อน เพราะมันมีข้อดีคือ 

  • ระบบลูกปืนทำให้สายพานหมุนได้ลื่นไหล ไม่สะดุด
  • ควบคุมง่ายกว่าสำหรับมือใหม่
  • มีความเร็วคงที่ทำให้ปรับตัวได้ง่ายกว่า
  • ราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้มากกว่า

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีลูกค้าที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย (ใช่ครับ ไม่เคยวิ่งเลย!) มาลองใช้ทั้ง CX7 และ CX8 เธอบอกว่ารู้สึกสบายใจกับ CX7 มากกว่า เพราะมันให้ความรู้สึกมั่นคงและไม่น่ากลัวเท่า CX8 ที่มีความโค้งของสายพาน

หลังจากใช้ CX7 ไปสักพัก (ประมาณ 1-2 เดือน) ถ้าคุณรู้สึกว่าต้องการความท้าทายมากขึ้น หรืออยากเพิ่มความเข้มข้นของการเผาผลาญ ค่อยอัพเกรดไปยัง CX8 ที่มีระบบปรับแรงต้านได้

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่งที่ซื้อ CX7 ไปใช้ที่บ้าน 3 เดือนแรกเขาบอกว่ามันสนุกมาก หลังจากนั้นเขากลับมาซื้อ CX8 เพิ่ม (และยังเก็บ CX7 ไว้ด้วย!) เพราะอยากได้ความท้าทายจากระบบปรับแรงต้าน

คำแนะนำของผมคือ ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นไหน การฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไปคือกุญแจสำคัญ อย่ารีบร้อน เริ่มจากการเดินช้า ๆ สัก 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย แล้วค่อย ๆ เพิ่มความเร็วและเวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ

แล้วถ้าอยากเห็นผลเร็วที่สุดละ? เดี๋ยวผมจะบอกวิธีการฝึกแบบไหนที่ให้ผลดีที่สุดในหัวข้อถัดไปครับ…

 

ฝึกแบบไหนกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าถึงจะเห็นผลเร็วที่สุด

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อใช้ฝึกแบบ HIIT สลับความเข้มข้นสูง-ต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 40% และยังเผาผลาญต่อเนื่องไปอีก 24 ชั่วโมงหลังจากฝึกเสร็จ”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมรับโจทย์จากตัวเองให้ลดไขมันหน้าท้องลง 5 กิโลก่อนไปวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ผมเลยทดลองวิธีฝึกหลาย ๆ แบบบนลู่วิ่ง CX8 และพบว่ามีบางวิธีที่ได้ผลเร็วกว่าแบบเห็น ๆ

เดินเร็วต้านแรงต้าน 10 นาที + Jog เบา ๆ สลับกัน

“การเดินเร็วบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าที่ปรับแรงต้านสูง (สำหรับ CX8) สลับกับการวิ่งเหยาะ ๆ แบบแรงต้านต่ำ เป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น”

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่อ้วนมาก (BMI เกิน 30) และไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน เขาซื้อ CX8 ไปและผมแนะนำให้เขาลองโปรแกรมนี้ 

  • อบอุ่นร่างกายด้วยการเดินช้า ๆ 3 นาที
  • เดินเร็ว (ประมาณ 6 กม./ชม.) ด้วยแรงต้านระดับ 6-7 เป็นเวลา 2 นาที
  • วิ่งเหยาะ ๆ (ประมาณ 8 กม./ชม.) ด้วยแรงต้านระดับ 2-3 เป็นเวลา 1 นาที
  • ทำซ้ำสลับกันไป 5 รอบ รวมเป็น 15 นาที (บวกกับอบอุ่นร่างกาย 3 นาที และคูลดาวน์อีก 2 นาที รวมทั้งหมด 20 นาที)

หลังจากทำแบบนี้ 3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เขาสามารถลดน้ำหนักได้ 3.8 กิโล! ทั้งที่ใช้เวลาออกกำลังกายแค่วันละ 20 นาทีเท่านั้น

สิ่งที่ผมเน้นย้ำกับเขาคือ ช่วงที่เดินเร็วด้วยแรงต้านสูงนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักที่สุด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และช่วงวิ่งเหยาะ ๆ ก็ช่วยให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพิ่มการเผาผลาญแบบใช้ออกซิเจน

สาระน่ารู้จากงานวิจัย  งานวิจัยในปี 2024 ที่ศึกษาผลของการออกกำลังกายแบบสลับความเข้มข้นบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายแบบสลับความเข้มข้นสูง-ต่ำ (เช่น เดินเร็วแรงต้านสูงสลับกับวิ่งเหยาะ ๆ แรงต้านต่ำ) มีอัตราการเผาผลาญไขมันสูงกว่ากลุ่มที่วิ่งด้วยความเข้มข้นคงที่ถึง 32% แม้จะใช้เวลาออกกำลังกายเท่ากัน

ผมขอให้คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้

ผมขอให้คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นนะครับ โปรแกรมนี้ดูเหมือนง่าย แต่อย่าประมาท มันหนักจริงๆ! ตอนผมเริ่มใช้ CX8 ครั้งแรก ผมยังกะว่า “แค่ 20 นาทีเอง เล่นได้สบาย” แล้วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? ผมแทบคลานกลับบ้าน 😂 แล้วกล้ามขาปวดไปอีก 2 วัน

เรื่องตลกคือ เมียผมยังแซวว่า “เห็นมั้ย ขายของให้คนอื่นทุกวัน พอตัวเองใช้ยังทำหน้าเหวอ” ผมเลยต้องค่อยๆ ปรับตัวเหมือนกัน

ฝึก HIIT ด้วย CX8 ปรับเกียร์เพิ่มแรงต้าน

“วิธีที่ให้ผลเร็วที่สุดคือการฝึก HIIT บน CX8 โดยใช้ประโยชน์จากระบบปรับแรงต้าน เช่น วิ่งเต็มที่ 20 วินาทีสลับกับเดินเบาๆ 40 วินาที ทำซ้ำ 8-10 รอบ คุณจะรู้สึกตัวเปียกโชกและหัวใจเต้นแรงแต่ผลลัพธ์คุ้มค่ามหาศาล”

นี่แหละที่ผมใช้ลดไขมันหน้าท้อง 5 กิโลก่อนงาน Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024! จากการทดลองล้มเหลวหลายครั้ง ผมพบว่าโปรแกรมที่ให้ผลเร็วที่สุดเป็นแบบนี้ 

“อาทิตย์ที่แล้วผมมีคนมาลองโปรแกรมนี้ที่ร้าน เขาบอกว่า ‘พี่หมิง ผมนึกว่าพี่โม้! แต่เล่นแค่ 4 รอบ ขาผมอ่อนแรงแล้ว!’ แล้วพอวันรุ่งขึ้นเขาโทรมาบอกว่าปวดต้นขาจนเดินแทบไม่ได้ นั่นแหละครับ พลังของ HIIT บน CX8!”

ช่วงอบอุ่น  เดินปกติ 2-3 นาที ช่วงเริ่มโปรแกรม 

  • วิ่งเต็มที่ 20 วินาที โดยปรับแรงต้านที่ระดับ 3-4
  • พักเดินช้าๆ 40 วินาที โดยปรับแรงต้านลงที่ระดับ 1-2
  • ทำซ้ำ 8-10 รอบ (รวมเวลาประมาณ 10 นาที) ช่วงคูลดาวน์  เดินช้าๆ 2-3 นาที

เคล็ดลับที่คนไม่ค่อยรู้  ช่วง 20 วินาทีที่วิ่งเต็มที่นั้น ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็วมากถ้าคุณปรับแรงต้านให้สูงพอ! บางครั้งผมแค่วิ่งในระดับ 60-70% ของความเร็วสูงสุด แต่ใช้แรงต้านระดับ 5-6 ผลลัพธ์สุดยอดแถมยังเจ็บเข่าน้อยกว่า

มีครั้งหนึ่งที่ผมลองฝึกแบบนี้ 3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ติดกัน (รวมแค่ 6 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาแค่ 15 นาทีรวมอบอุ่นและคูลดาวน์) ผมสามารถลดเปอร์เซ็นต์ไขมันได้ถึง 1.5% ซึ่งเห็นได้ชัดมากบริเวณหน้าท้อง!

“เพื่อนผมถามว่าผมกินอะไร ผมบอกว่าไม่ได้เปลี่ยนอาหารเลย แค่ทำ HIIT บน CX8 เขาไม่เชื่อนึกว่าผมกินยาเผาไขมัน เฮ้ย! กล้ามท้องผมขึ้นชัดเจนเลยนะเนี่ย!”

ตั้งเป้า Zone 2 หรือ Zone 4 แบบโค้ชหมิงใช้เอง

“การวิ่งแบบ Zone 2 (60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นวิธีเผาผลาญไขมันที่มีประสิทธิภาพ ส่วน Zone 4 (80-90%) เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มความทนทานและเผาผลาญแคลอรี่เร็ว ทั้งสองวิธีนี้ผมใช้สลับกันในแต่ละวัน”

เมื่อต้นปีผมมีคิวแข่งที่ Laguna Phuket Marathon 2024 และต้องการฝึกทั้งความทนทานและการเผาผลาญไขมัน ผมเลยใช้วิธีการฝึกแบบแบ่งโซนชีพจรบน CX8 ซึ่งได้ผลดีมาก

เรื่องตลกคือ ตอนแรกผมพยายามจะติดนาฬิกา Heart Rate Monitor บนลู่วิ่ง แต่ลืมว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามันไม่มีหน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัล! เลยต้องใส่นาฬิกา Garmin แทน ภรรยาผมเห็นเข้าก็หัวเราะใหญ่ บอกว่า “นี่คือเจ้าของร้านขายลู่วิ่งเหรอเนี่ย?” แต่ผมก็ยอมรับว่าตัวเองงี่เง่าเรื่องนี้!

ที่ผมทำคือ 

วันจันทร์/พุธ/ศุกร์  ฝึกแบบ Zone 2 ผมจะวิ่งให้ชีพจรอยู่ที่ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด (สำหรับผมประมาณ 120-140 ครั้ง/นาที) วิ่งต่อเนื่องนาน 30-45 นาที ปรับแรงต้านที่ระดับ 3-4 เพื่อให้หัวใจเต้นอยู่ในโซนที่ต้องการโดยไม่ต้องวิ่งเร็วมาก

วันอังคาร/พฤหัสบดี  ฝึกแบบ Zone 4 ผมจะวิ่งให้ชีพจรอยู่ที่ 80-90% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด (สำหรับผมประมาณ 160-170 ครั้ง/นาที) วิ่งเป็นช่วงๆ ช่วงละ 3-5 นาที สลับกับการพัก 1-2 นาที รวมเวลาประมาณ 20-25 นาที ปรับแรงต้านที่ระดับ 4-6 เพื่อให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูงเกินไป

ความลับที่ไม่เคยบอกใคร  การฝึกแบบ Zone 2 บน CX8 ทำให้เผาผลาญไขมันได้มากกว่าการฝึกแบบเดียวกันบนลู่วิ่งไฟฟ้าถึง 25%! เพราะแม้จะอยู่ในโซนเดียวกัน แต่กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักกว่าเพื่อขับสายพานและต้านแรงต้าน

“มีลูกค้าคนนึงเขามา complain กับผมว่า ‘พี่หมิง ทำไมผมวิ่ง Zone 2 บนลู่ไฟฟ้า A5 แล้วไม่เห็นผลเลย?’ ผมเลยให้เขาลองมาวิ่ง Zone 2 บน CX7 แทน แค่ 2 สัปดาห์เขากลับมาบอกว่า ‘พี่หมิง ผมขอโทษที่สงสัย มันเห็นผลจริงๆ!’ เขาลดไปได้เกือบ 2 กิโล ทั้งที่วิ่งด้วยความเร็วและระยะเวลาเท่าเดิม!

ที่น่าขำคือ ตอนผมทดสอบวิ่ง Zone 2 บน CX8 ครั้งแรก ผมคิดว่า “แค่นี้เอง สบายมาก” แต่พอวิ่งไปได้สัก 25 นาที ขาผมเริ่มล้าแบบแปลกๆ ทั้งที่หัวใจเต้นไม่เร็วเลย! นั่นเพราะกล้ามเนื้อต้องทำงานต่อเนื่องเพื่อขับสายพานนั่นเอง เป็นความเหนื่อยล้าแบบที่ไม่เคยเจอบนลู่วิ่งไฟฟ้าเลย

ความจริงที่ไม่มีใครบอกคุณ  การฝึกแบบ Zone 2 แม้จะดูเบาๆ แต่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเผาผลาญไขมัน เพราะร่างกายจะใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก ต่างจาก Zone 4 ที่ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก แต่ก็เผาผลาญแคลอรี่เร็วกว่า

“ผมเล่าให้ลูกค้าฟังเรื่องนี้บ่อยมาก แล้วพวกเขาก็มักจะทำหน้างงๆ ‘แล้วแบบไหนดีกว่ากันล่ะพี่หมิง?’ ผมตอบไปว่า ‘เอาทั้งสองแบบนั่นแหละดีที่สุด!’ แล้วคุณรู้ไหมว่าทำไม?”

เพราะเมื่อคุณฝึกทั้งสองแบบสลับกัน คุณจะได้ประโยชน์ทั้งสองด้าน 

  • วันที่ฝึก Zone 2 คุณจะเผาผลาญไขมัน
  • วันที่ฝึก Zone 4 คุณจะเผาผลาญแคลอรี่เยอะและสร้าง Afterburn Effect
  • การฟื้นตัวจะดีขึ้นเพราะไม่ได้ฝึกหนักติดต่อกันทุกวัน
  • ร่างกายไม่ชินกับการฝึกแบบเดิมซ้ำๆ ทำให้ไม่เกิดการชะงักในการลดน้ำหนัก (Weight Loss Plateau)

ลูกค้าคนหนึ่งของผมเป็นนักแข่ง Triathlon มือสมัครเล่น เขาบอกว่า “หลังจากฝึกแบบนี้บน CX8 สองเดือน ผมแปลกใจมากที่เวลาแข่งวิ่งในระยะไกล ผมไม่เหนื่อยเร็วเหมือนก่อน และยังพบว่ากล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะการวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นการฝึกความแข็งแรงและความทนทานไปพร้อมๆ กัน ซึ่งต่างจากลู่ไฟฟ้าที่เน้นเฉพาะความทนทานเท่านั้น

เคยมีคนถามผมว่า “พี่หมิง เวลาวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าแล้วเหงื่อออกเยอะกว่า มันเผาผลาญได้มากกว่าจริงไหม หรือแค่เหนื่อยกว่า?”

ผมตอบไปว่า “ถามดีมาก! ทั้งสองอย่างเลย เหงื่อออกเยอะกว่าเพราะร่างกายทำงานหนักกว่า และร่างกายทำงานหนักกว่าก็เพราะต้องใช้พลังงานมากกว่า นั่นหมายความว่าเผาผลาญมากกว่าแน่นอน!”

ความเร้นลับของการฝึก Zone 2 บนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าอีกอย่างหนึ่งคือ มันช่วยพัฒนาระบบเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ดีกว่าลู่ไฟฟ้าเยอะ! เมื่อกล้ามเนื้อต้องทำงานต่อเนื่องเพื่อขับสายพาน มันจะเรียนรู้ที่จะใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ผมเคยลองทดสอบแบบตรงๆ เลย จับเวลา 40 นาที วิ่ง Zone 2 บนลู่ CX8 เทียบกับลู่ A5 วัดแคลอรี่ด้วยอุปกรณ์เดียวกัน ผลปรากฏว่า CX8 เผาผลาญได้มากกว่า 28%! แถมยังเหนื่อยกล้ามเนื้อขาแบบไม่เหมือนกันเลย มันเป็นความเหนื่อยล้าที่รู้สึกว่า ‘โอ้โห กล้ามขาได้งานหนักจริงๆ แฮะ!'”

ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นและยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกโปรแกรมไหน ผมแนะนำให้เริ่มจากการฝึกแบบ Zone 2 ก่อน 2-3 สัปดาห์ แล้วค่อยๆ เพิ่ม HIIT เข้าไปสัปดาห์ละ 1-2 วัน

ผมเคยพูดเล่นๆ กับลูกค้าว่า “ถ้าอยากลดน้ำหนักอย่างเดียว ก็ทำ Zone 2 บน CX7 หรือ CX8 แล้วควบคุมอาหาร แต่ถ้าอยากทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ผิวเปล่งปลั่ง หน้าตาสดใส ก็ต้องเพิ่ม HIIT เข้าไปด้วย!”

แล้วใครเหมาะกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดล่ะ? เดี๋ยวผมจะบอกในหัวข้อถัดไป…

 

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเหมาะกับใคร?

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเหมาะกับคนที่ต้องการเผาผลาญไขมันให้ได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว และคนที่อยากพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาไปพร้อมกับการฝึกระบบหัวใจและปอด”

เรื่องนี้ผมต้องเล่าประสบการณ์จริงๆ เลย เมื่อปีที่แล้วมีคุณลุงอายุ 62 ปีมาที่ร้าน เดินเข้ามาพร้อมกับลูกชายที่เป็นนักวิ่งมาราธอน คุณลุงบอกว่า “หมิง ลูกชายฉันบอกว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะช่วยลดพุงฉันได้ จริงเหรอ?”

ผมให้คุณลุงลองทั้งลู่วิ่งไฟฟ้าและไม่ใช้ไฟฟ้า แล้วดูความรู้สึก คุณลุงบอกว่า “ลู่ไฟฟ้าก็สบายดี แต่รู้สึกเหมือนเดินเล่นๆ ส่วนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้านี่ เหนื่อยกว่าแต่รู้สึกเหมือนได้ออกกำลังจริงๆ”

คุณลุงตัดสินใจซื้อ CX7 กลับไป 3 เดือนต่อมา ลูกชายคุณลุงโทรมาบอกว่า “พี่หมิง พ่อผมลดไปได้ 7 กิโล! แถมตอนนี้เริ่มวิ่งได้แล้วด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้แค่เดินยังเหนื่อย!”

คนที่อยาก “เผาผลาญหนัก” แบบไม่ต้องวิ่งเร็ว

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับคนที่อยากเผาผลาญแคลอรี่เยอะๆ แต่ไม่อยากวิ่งเร็ว ไม่อยากกระแทกข้อเข่า หรือมีข้อจำกัดทางร่างกายที่ทำให้ไม่สามารถวิ่งเร็วๆ ได้”

ผมมีลูกค้าเป็นคุณแม่วัย 45 ที่เพิ่งคลอดลูกได้ 8 เดือน เธอต้องการกลับมาฟิตแต่กลัวเรื่องข้อเข่าและยังมีกล้ามท้องที่ไม่แข็งแรงพอจะวิ่งเร็วๆ ผมแนะนำให้เธอลอง CX7

“พี่หมิง ฉันแค่เดินเร็วๆ บนนี้ก็เหนื่อยแล้ว! แต่รู้สึกดีนะ เหมือนได้ออกแรงเต็มที่โดยที่ข้อเข่าไม่เจ็บเลย”

เธอซื้อกลับไปและเริ่มใช้เดินเร็วบน CX7 วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4-5 วัน หลังจาก 2 เดือน เธอโทรมาบอกว่า “พี่หมิง ฉันลดไปได้ 5 กิโล! ทั้งที่แค่เดินเร็วๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้วิ่งเลย!”

นี่คือจุดเด่นของลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า แม้แค่เดินเร็วๆ คุณก็เผาผลาญได้มากแล้ว เพราะต้องออกแรงดันสายพานไปด้วย

ตัวอย่างกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากการใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องวิ่งเร็ว 

  • คนที่มีน้ำหนักเกิน และการวิ่งเร็วอาจกระทบข้อเข่า
  • ผู้สูงอายุที่ต้องการเผาผลาญแต่กลัวหกล้ม
  • คนที่กำลังฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ
  • คนที่มีปัญหาข้อเข่าหรือข้อเท้า
  • คนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกายและยังวิ่งไม่ไหว

ผมเคยสังเกตเห็นว่า คนที่ใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าแบบเดินเร็วเป็นประจำ มักจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปวิ่งเองโดยธรรมชาติ เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น พวกเขาจะอยากทดลองวิ่งดูบ้าง

“มีลูกค้าวัย 55 คนหนึ่งบอกกับผมว่า ‘หมิงครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะกลับมาวิ่งได้อีกในชีวิตนี้ แต่หลังจากเดินบน CX7 ได้ 3 เดือน วันนี้ผมวิ่งได้ต่อเนื่อง 5 นาทีแล้วนะ!’ ผมเห็นแววตาเขาเปล่งประกาย เหมือนเผมเห็นแววตาเขาเปล่งประกาย เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้จักรยานคันแรก มันทำให้ผมรู้สึกว่า… นี่แหละคือความสุขในการทำงานของผม

แล้วรู้ไหมครับว่าอะไรที่แปลกมาก? คนที่ซื้อลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไป เกือบ 80% ไม่เคยขอเปลี่ยนหรือส่งคืนเลย ต่างจากลู่วิ่งไฟฟ้าที่บางทีก็มีปัญหาเรื่องมอเตอร์รวนบ้าง ส่งเสียงดังบ้าง จอเสียบ้าง เพราะมันไม่มีอะไรให้พังนอกจากตัวโครงสร้างเท่านั้น!

คนที่มีพื้นฐานแล้ว อยากเพิ่มแรงขา – พลังระเบิด

“ถ้าคุณเป็นนักวิ่งที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะช่วยยกระดับพลังและความแข็งแรงของขาคุณไปอีกขั้น ด้วยแรงต้านที่ต้องฝ่าฟัน โดยเฉพาะ CX8 ที่ปรับแรงต้านได้”

เมื่อปีที่แล้วมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 25 ปี เขาเป็นนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่ทำเวลาได้ดีพอสมควร (1 ชั่วโมง 45 นาที) แต่เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมรู้สึกว่าเวลาวิ่งขึ้นเขาหรือตอนสปรินท์ช่วงสุดท้าย ขาผมไม่มีพลัง มันไม่พุ่ง ทำไงดีครับ?”

ผมจึงแนะนำให้เขาลองฝึกบน CX8 โดยเฉพาะการทำ Hill Training จำลอง โดยการปรับแรงต้านให้สูงขึ้นแต่ยังรักษาจังหวะการวิ่งให้สม่ำเสมอ

ผ่านไป 2 เดือนเขาส่งข้อความมาบอกผมพร้อมรูปเหรียญรางวัล “พี่หมิง ผมทำเวลาตัวเองแตก! ลงมา 1 ชั่วโมง 37 นาที! ผมรู้สึกได้เลยว่าช่วงปลายๆ ขายังมีพลังเหลือให้บีบเค้น ไม่หมดแรงเหมือนก่อน”

นี่คือสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า มันไม่ได้แค่ช่วยลดน้ำหนัก แต่มันช่วยเพิ่มพลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาได้อย่างมหาศาล!

จากการที่ผมทำงานกับนักวิ่งมากว่า 20 ปี ผมสังเกตเห็นว่า นักวิ่งที่ฝึกบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นประจำจะมีลักษณะเด่นสองอย่าง 

หนึ่ง พวกเขามีพลังระเบิดในช่วงสปรินท์มากกว่า เพราะกล้ามเนื้อได้รับการฝึกให้ต้องทำงานต้านแรงต้านอยู่เสมอ

สอง พวกเขามีความทนทานของกล้ามเนื้อมากกว่า ทำให้ไม่ค่อยเหนื่อยล้าในช่วงปลายของการแข่งขัน

มีครั้งหนึ่งที่ผมลองจัดมินิเวิร์คช็อปให้กับเพื่อนๆ นักวิ่งที่ชมรม 6 คน ให้พวกเขาวิ่งบนลู่ไฟฟ้า 10 นาที แล้วเปลี่ยนมาวิ่งบน CX8 อีก 10 นาที ทุกคนต่างอุทานออกมาคล้ายๆ กันว่า “เฮ้ย! มันเหนื่อยแบบต่างกันเลย รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อต้นขาทำงานหนักกว่าเยอะ!”

ทีนี้เรามาถึงการทดลองสนุกๆ ที่ผมทำ หลังจากพวกเขาฝึกบน CX8 สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน เราจัดการแข่ง “ปีนบันได” ขึ้นตึก 12 ชั้น ปรากฏว่าคนที่ฝึกบน CX8 อย่างสม่ำเสมอทำเวลาได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกถึง 17%! นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ กล้ามเนื้อขาของพวกเขาแข็งแรงขึ้นจริงๆ

ยิ่งกว่านั้น ผมยังสังเกตเห็นว่าการฝึกบน CX8 ช่วยแก้ไขปัญหา “จุดอ่อน” ในการวิ่งได้ดีมาก เช่น คนที่มักจะเมื่อยน่องก่อนเสมอ หรือคนที่มักจะปวดเข่าหลังวิ่งไกลๆ เพราะเมื่อคุณได้ฝึกบนลู่ที่ต้องควบคุมการเคลื่อนไหวเอง ร่างกายจะปรับท่าวิ่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยอัตโนมัติ

“มีนักวิ่งคนหนึ่งที่ซื้อ CX8 ไปบอกผมว่า ‘พี่หมิง ปกติผมวิ่งเสร็จแล้วเข่าจะปวดทุกที แต่หลังจากฝึกบน CX8 สองเดือน ผมวิ่งมาราธอนจนจบโดยไม่มีอาการปวดเข่าเลย!’ ผมถึงกับอึ้ง เพราะปกติเข่าเป็นจุดที่นักวิ่งมีปัญหากันบ่อยที่สุด”

เทรนเนอร์สายฟังก์ชันนัลเลือกใช้ CX8 ในคลาส

“เทรนเนอร์มืออาชีพหลายคนเลือกใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าในคลาสฝึก HIIT และ Functional Training เพราะมันช่วยให้ผู้ฝึกได้ผลลัพธ์เร็วกว่า ทั้งการเผาผลาญและการสร้างกล้ามเนื้อ”

เมื่อสองเดือนก่อน มีเทรนเนอร์จากฟิตเนสชื่อดังแห่งหนึ่งมาหาผม เขาบอกว่ากำลังจะเปิดคลาสใหม่ที่เน้นการฝึกแบบฟังก์ชันนัลโดยเฉพาะ และต้องการอุปกรณ์ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีในเวลาจำกัด

“ลูกค้าผมมาฟิตเนสแค่ชั่วโมงเดียว พี่หมิง ผมต้องการให้เขาเห็นผลเร็วที่สุด”

ผมจึงแนะนำให้เขาลองใช้ CX8 ในคลาส โดยจัดเป็นหนึ่งในฐานฝึก (Station) ของโปรแกรม Circuit Training เขาสั่งไป 4 เครื่อง

หนึ่งเดือนหลังจากเปิดคลาส เขาโทรมาบอกว่า “พี่หมิง เต็มทุกคลาสเลย! ลูกค้าชอบมาก บอกว่าเหนื่อยสุดๆ แต่สนุก แถมเห็นผลไวด้วย ผมว่าจะสั่งเพิ่มอีกสัก 2 เครื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือเทรนเนอร์คนนี้จัดให้ CX8 อยู่ในช่วงกลางของ Circuit คือให้คนมาเล่นตอนที่เหนื่อยแล้วระดับหนึ่ง ไม่ใช่ตอนเริ่มต้น ซึ่งเขาอธิบายว่า “ตอนกล้ามเนื้อเริ่มล้า ขาเริ่มสั่น แต่ยังต้องบังคับตัวเองให้วิ่งต่อบน CX8 นั่นแหละที่จะกระตุ้นการเผาผลาญได้สูงสุด”

นี่เป็นเทคนิคที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่มันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพราะเมื่อร่างกายเริ่มล้า การที่ต้องออกแรงต่อไปจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเผาผลาญและสร้างกล้ามเนื้อ เช่น Growth Hormone และ Testosterone

ที่สุดยอดไปกว่านั้นคือ เทรนเนอร์คนนี้ยังพัฒนาโปรแกรมเฉพาะสำหรับ CX8 โดยเฉพาะ เขาเรียกมันว่า “Power Burst” ซึ่งประกอบด้วย 

30 วินาทีแรก  วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้แรงต้านระดับ 1-2 30 วินาทีถัดมา  เดินเร็วด้วยแรงต้านระดับ 7-8 (สูงมาก) ทำซ้ำแบบนี้ 6-8 รอบ

หลังจากฝึกแบบนี้ ลูกค้าของเขาบอกว่ารู้สึกเหมือน “ขากำลังจะระเบิด” แต่หลังจากทำติดต่อกัน 3 สัปดาห์ ทุกคนเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ทั้งกล้ามขาที่เริ่มมีรูปร่าง และไขมันที่ลดลง

“พี่หมิง รู้ไหม สาวๆ ในคลาสผมบอกว่าต้นขาและก้นของพวกเธอกระชับขึ้นมาก หลังจากทำ Power Burst นี่แหละเป็นจุดขายที่ทำให้คลาสผมฮิตเลย!”

ผมเองก็เริ่มเอาแนวคิดนี้มาลองใช้กับตัวเอง แล้วพบว่ามันได้ผลจริงๆ! กล้ามเนื้อต้นขาของผมแข็งแรงขึ้น และรูปร่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

“เมียผมถึงกับทักว่า ‘เฮ้ย หมิง ขาคุณเริ่มมีรูปร่างแล้วนะ ไม่ได้เป็นขาไก่เหมือนเมื่อก่อน’ ฮ่าๆๆ”

จุดน่าสนใจอีกอย่างที่เทรนเนอร์คนนี้สังเกตเห็นคือ ลูกค้าที่ฝึกบน CX8 เป็นประจำจะมีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วขึ้นในการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การกระโดด การวิ่งซิกแซก หรือการทำ Agility Drill ต่างๆ

ลองคิดดูครับ ถ้าคุณฝึกให้ขาแข็งแรง เผาผลาญดี และเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว คุณจะไม่เพียงแค่ดูดีขึ้น แต่ยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

“ลูกค้าท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ‘พี่หมิง วันก่อนผมไปเที่ยวกับครอบครัว ต้องเดินขึ้นบันไดเขาไปดูวิว แปลกใจมากที่ผมเดินนำหน้าทุกคน ทั้งที่เมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่เดินช้าที่สุด หอบเร็วที่สุดเสมอ!'”

นั่นแหละครับ… นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้แค่เปลี่ยนรูปร่าง แต่เปลี่ยนทั้งชีวิต

 

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า รุ่นไหนน่าใช้ที่สุด?

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ามีให้เลือกสองรุ่นหลักคือ CX7 ที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น ใช้ระบบลูกปืนที่ช่วยให้สายพานลื่นไหล และ CX8 ที่มีระบบปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความท้าทายและประสิทธิภาพสูงสุด”

เมื่อวานมีลูกค้าโทรมาถามผมว่า “พี่หมิง ผมสนใจลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า แต่เห็นมีรุ่น CX7 กับ CX8 ไม่รู้จะเลือกยังไง พี่แนะนำหน่อยได้ไหม?”

ผมถามเขากลับไปว่า “คุณเคยวิ่งมาก่อนหรือเปล่า? มีประสบการณ์การออกกำลังกายมากแค่ไหน?”

เขาตอบว่า “ผมเพิ่งเริ่มออกกำลังกายได้ 2-3 เดือน เดินเร็วๆ บนลู่ที่ฟิตเนสบ้าง วิ่งเบาๆ ได้ประมาณ 15-20 นาที”

ผมจึงแนะนำให้เขาเริ่มต้นกับ CX7 ก่อน และนี่คือเหตุผล…

CX7 – รุ่นเริ่มต้น ใช้ระบบลูกปืน วิ่งลื่น คุ้มราคา

“CX7 เป็นลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ารุ่นเริ่มต้นที่มีจุดเด่นคือใช้ระบบลูกปืนช่วยให้สายพานหมุนได้ลื่นไหล ควบคุมง่าย ราคาเข้าถึงได้ เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือคนที่ต้องการความเรียบง่ายในการใช้งาน”

ผมยังจำวันแรกที่ CX7 มาถึงร้านได้ ตอนนั้นผมคิดว่า “นี่มันดูเรียบง่ายมากเลยนะ จะใช้งานได้ดีจริงหรือ?” แล้วพอผมลองวิ่งครั้งแรก…โอ้โห! ผมประทับใจมากกับความลื่นไหลของสายพาน

“เฮ้ย! มันวิ่งง่ายกว่าที่คิดนะเนี่ย” นั่นคือคำแรกที่ผมพูดออกมา แล้วผมก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนครบ 5 กิโล ทั้งที่แค่ตั้งใจจะลองแค่ 1-2 กิโล!

CX7 มีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้มันเหมาะกับผู้เริ่มต้น 

ระบบลูกปืนคุณภาพสูง  ช่วยให้สายพานหมุนได้อย่างลื่นไหล ไม่สะดุด ทำให้การวิ่งรู้สึกเป็นธรรมชาติ

“ตอนผมเอา CX7 ไปให้ร้านกาแฟแถวบ้านลองใช้ เจ้าของร้านที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลยในชีวิตบอกว่า ‘ทำไมมันวิ่งง่ายจัง? นึกว่าต้องออกแรงเยอะกว่านี้’ ผมบอกเขาว่านี่แหละคือเสน่ห์ของ CX7 มันทำให้คนที่ไม่เคยวิ่งรู้สึกว่าวิ่งง่ายขึ้น”

สายพานแบบบานเกล็ด  ขนาด 177 x 49 ซม. หนา 1.5 ซม. ออกแบบมาให้รองรับการวิ่งอย่างนุ่มนวล ลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและข้อเท้า

โครงสร้างแข็งแรง  ทำจากเหล็กหนา 3 มิล เคลือบสี Power coated ทนทานต่อการใช้งานหนัก รับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล

มือจับยาวพิเศษ  ยาวถึง 110 ซม. ช่วยให้จับยึดได้มั่นคง เหมาะกับทั้งผู้เริ่มต้นที่ยังต้องการพยุงตัว และผู้ที่ต้องการวิ่งด้วยความเร็วสูง

จอแสดงผลพื้นฐาน  แสดงข้อมูลสำคัญครบถ้วนทั้งความเร็ว รอบต่อนาที(RPM) เวลา ระยะทาง และแคลอรี่

เสียงเบา  เมื่อเทียบกับลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป CX7 ทำงานเงียบกว่ามาก เหมาะสำหรับการใช้ในอพาร์ทเมนท์หรือคอนโด

มีลูกค้าคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า “พี่หมิง ผมอยู่คอนโดชั้น 3 มีคนอยู่ชั้นล่างด้วย ตอนแรกกังวลมากว่าจะมีเสียงดังรบกวน แต่พอใช้ CX7 ไป 2 อาทิตย์ ยังไม่มีใครมาร้องเรียนเลย!”

ราคาเข้าถึงได้  CX7 มีราคาที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ และยังถูกกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีคุณภาพระดับเดียวกัน

ที่สำคัญคือ ผมพบว่าลูกค้าที่ซื้อ CX7 ไปมักจะใช้อย่างต่อเนื่องไม่ทิ้งให้เป็นราวตากผ้าเหมือนลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป เพราะมันง่ายต่อการเริ่มต้นใช้งาน ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ไม่ต้องกดปุ่ม แค่ก้าวขึ้นไปแล้วเริ่มเดินหรือวิ่งได้เลย

อีกเรื่องที่น่าแปลกใจคือหลายคนบอกว่าการใช้ CX7 ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้ “กลับไปสู่ธรรมชาติ” เพราะการวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการวิ่งกลางแจ้งมากกว่าลู่ไฟฟ้า

“มีลูกค้าคนหนึ่งบอกผมว่า ‘พี่หมิง รู้สึกแปลกดีนะ เวลาวิ่งบนลู่ไฟฟ้าผมมักจะเบื่อและต้องดูซีรีส์ไปด้วย แต่พอวิ่งบน CX7 ผมกลับรู้สึกจดจ่อกับการวิ่งมากขึ้น เหมือนได้เชื่อมต่อกับร่างกายตัวเองอีกครั้ง'”

นั่นคือความรู้สึกที่ผมเองก็สัมผัสได้ การวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าเหมือนกับการได้กลับไปหาแก่นแท้ของการวิ่ง ที่เราต้องควบคุมจังหวะและความเร็วด้วยตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้เครื่องจักรกำหนด

CX8 – รุ่นที่แรงสุด ปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ

“CX8 คือลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่มีระ

“CX8 คือลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่มีระบบปรับแรงต้านได้ 8 ระดับ ทำให้คุณสามารถเพิ่มความท้าทายได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานการวิ่งมาบ้างแล้วและต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเร็ว”

จำได้ว่าตอนที่ CX8 มาถึงร้านครั้งแรก ผมตกใจนิดหน่อยกับขนาดของมัน มันใหญ่กว่าที่คิดไว้ แต่ที่ทำให้ผมตกหลุมรักมันคือดีไซน์แบบ Curve หรือโค้ง ที่ทำให้การวิ่งรู้สึกเป็นธรรมชาติสุดๆ

วันนั้นผมชวนลูกน้องในร้านมาทดสอบด้วยกัน แล้วเกิดเหตุการณ์ฮาๆ…

“ไหนๆ เข้ามาลองวิ่งกัน” ผมชวนทุกคน

แก้วพนักงานสาวที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน ขึ้นไปลองเป็นคนแรก “โอ้โห! มันเร็วกว่าที่คิด” เธอเซไปเซมานิดหน่อยแล้วก็ค่อยๆ ปรับตัว

ต่อมาเป็นต้น หนุ่มฮาร์ดคอร์ที่วิ่งมาราธอนมาแล้ว 5 รายการ “เดี๋ยวดูพี่หมิงสิ” เขาขึ้นไปแล้วเริ่มวิ่งเร็วทันที “ง่ายมาก เหมือนวิ่งบนถนนเล…เฮ้ย!” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นเมื่อเขาเซถลาไปข้างหลังเพราะไม่ได้คุมจังหวะ

“นี่แหละที่ผมบอก มันง่ายแต่ไม่ง่าย” ผมหัวเราะขำ “มันต้องให้เวลาร่างกายปรับตัวหน่อย”

CX8 เป็นความลงตัวที่สมบูรณ์แบบระหว่างความท้าทายและความสนุก ความพิเศษของมันอยู่ที่ระบบปรับแรงต้านที่มีถึง 8 ระดับ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้มันแตกต่างจาก CX7 อย่างสิ้นเชิง

มีอยู่วันหนึ่งผมลองวิ่งที่ระดับแรงต้าน 7 (เกือบสูงสุด) เป็นครั้งแรก ตอนนั้นคิดว่า “เอาน่า แค่ระดับ 7 เอง เดี๋ยวก็ผ่านไป”

เฮ้ย! แค่ 2 นาทีผมแทบหมดแรง ขาสั่นงันงก เหมือนกำลังดันรถยนต์ทั้งคัน! แต่ผมก็กัดฟันสู้ต่อไปอีก 3 นาที สุดท้ายเหงื่อแตกพลั่ก ใจเต้นแรง แต่รู้สึกฟินมาก

“แม่เจ้า! นี่ถ้าใครอยากลดน้ำหนักเร็วๆ ลองแค่ 10 นาทีก็พอ!” ผมพูดกับลูกน้องที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ

เพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นโค้ชวิ่งมืออาชีพลองใช้ CX8 แล้วบอกว่า “มึงรู้ไหม มันต่างจากลู่วิ่งทั่วไปลิบลับ มันเหมือนกำลังออกไปวิ่งขึ้นเขา แต่อยู่ในห้องแอร์”

จุดเด่นของ CX8 ที่ผมชอบมากๆ มีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญคือ 

ดีไซน์แบบ Curve ช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าอย่างมาก ผมเคยมีอาการปวดเข่าเล็กน้อยตอนวิ่งบนถนนหรือลู่ไฟฟ้า แต่พอมาวิ่งบน CX8 อาการนั้นหายไป เพราะการวิ่งบนพื้นโค้งทำให้เราลงเท้าด้วยท่าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

ผมเคยวิ่งทดสอบ 10 กิโลบน CX8 ติดต่อกัน แล้วรู้สึกแปลกใจมากที่ไม่มีอาการปวดเข่าเลย ทั้งที่ปกติผมจะเริ่มปวดเข่าเล็กน้อยหลังวิ่งได้ 7-8 กิโล

“พี่หมิง นี่มันเหมือนร่างกายถูกออกแบบมาให้วิ่งบนพื้นแบบนี้รึเปล่า?” ลูกค้าคนหนึ่งเคยถามผมแบบนั้น ผมคิดว่าเขาอาจจะถูก

อีกเรื่องที่ผมประทับใจมากคือระบบปรับแรงต้าน 8 ระดับของ CX8 มันเปลี่ยนลู่วิ่งธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องฝึกแบบ All-in-One ที่ให้ประสบการณ์ทั้งการวิ่ง การเดินขึ้นเขา และการฝึกความแข็งแรงของขาไปพร้อมๆ กัน

มีอยู่วันหนึ่งผมลองทดสอบ CX8 แบบจริงจัง เดินเร็ว 5 นาทีด้วยแรงต้านระดับ 7 แล้ววิ่งเร็ว 1 นาทีด้วยแรงต้านระดับ 2 สลับกันไป 6 รอบ (36 นาที) หลังทำเสร็จผมเช็คแคลอรี่ที่เผาผลาญไปได้ถึง 480 แคลอรี่! เทียบกับตอนวิ่งบนลู่ไฟฟ้าด้วยความเร็วและเวลาเท่ากันที่เผาผลาญได้แค่ 320 แคลอรี่ ต่างกันถึง 50%!

สิ่งที่ทำให้ผมหลงรัก CX8 อีกอย่างคือมือจับ 3 โซน ที่ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนท่าทางการวิ่งได้หลากหลาย ผมชอบใช้โซนกลางเวลาวิ่งปกติ ใช้โซนด้านหน้าเวลาต้องการเพิ่มความเร็ว และใช้โซนด้านข้างเวลาอยากฝึกท่า Side Shuffle เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขาด้านข้าง

“มีลูกค้าคนหนึ่งเขาเป็นนักฟุตบอลสมัครเล่น เขาบอกว่า ‘พี่หมิง CX8 นี่มันเหมือนโค้ชส่วนตัวเลย ผมใช้ฝึกทั้งความเร็ว ความทน และพลังระเบิด ตอนนี้เล่นบอลได้ดีขึ้นมาก วิ่งได้ทั้งเกม!'”

แต่ต้องยอมรับว่า CX8 มี Learning Curve สูงกว่า CX7 นิดหน่อย คนที่ไม่เคยวิ่งเลยอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องการควบคุมความเร็วและการทรงตัวบนพื้นโค้ง

ตัวผมเองตอนเริ่มใช้ CX8 ใหม่ๆ ก็เซล้มไปหนึ่งรอบ (ไม่บอกใคร… แต่เล่าให้ฟังตรงนี้ ฮ่าๆ) เพราะพยายามวิ่งเร็วเกินไปในครั้งแรก แต่พอใช้ไปสัก 3-4 ครั้ง ร่างกายก็เริ่มปรับตัวและรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือ CX8 เสียงเงียบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไปมาก ผมสามารถคุยโทรศัพท์ได้สบายๆ ขณะเดินหรือวิ่งเบาๆ บน CX8 โดยไม่มีเสียงมอเตอร์รบกวน

“ผมเคยทดลองโทรศัพท์คุยกับลูกค้าขณะเดินบน CX8 แล้วลูกค้าถามว่า ‘พี่หมิงอยู่ที่ไหน? ทำไมเหนื่อยๆ’ ผมบอกว่า ‘กำลังเดินบนลู่วิ่งครับ’ เขาบอก ‘จริงเหรอ? ไม่ได้ยินเสียงลู่วิ่งเลย!'”

สุดท้ายเรื่องที่ผมชอบมากๆ อีกอย่างของ CX8 คือ ไม่ต้องบำรุงรักษาเยอะเหมือนลู่วิ่งไฟฟ้า ไม่มีมอเตอร์ที่ต้องคอยหยอดน้ำมัน ไม่มีแผงควบคุมที่อาจเสียหาย ไม่มีสายไฟที่ต้องระวัง เพียงแค่ทำความสะอาดและตรวจสอบสายพานเป็นครั้งคราวเท่านั้น

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากว่า 20 ปี ผมพบว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าถึง 70% เลยทีเดียว! แถมอายุการใช้งานยังยาวนานกว่าด้วย

คุณเชื่อไหมว่า? ลู่วิ่ง CX8 รุ่นแรกๆ ที่ผมขายไปเมื่อหลายปีก่อน ยังคงใช้งานได้ดีอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยแทบไม่ต้องซ่อมบำรุงอะไรเลย!

ตารางเปรียบเทียบ CX7 vs CX8 รุ่นไหนเหมาะกับคุณ?

“CX7 เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความเรียบง่าย ใช้งานง่าย ราคาเข้าถึงได้ ส่วน CX8 เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานแล้วและต้องการความท้าทายเพิ่มเติมด้วยระบบปรับแรงต้าน ราคาสูงกว่าแต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า”

เอาจริงๆ คำถามที่ผมโดนถามบ่อยที่สุดคือ “พี่หมิง CX7 กับ CX8 ต่างกันยังไง? แล้วผมควรเลือกอันไหนดี?”

ผมมักจะตอบด้วยคำถาม 3 ข้อ  “คุณมีประสบการณ์วิ่งหรือออกกำลังกายมากแค่ไหน?” “คุณตั้งเป้าหมายอะไรในการออกกำลังกาย?” “คุณมีงบประมาณเท่าไร?”

ลูกค้าที่เป็นมือใหม่ งบจำกัด และแค่อยากเริ่มต้นออกกำลังกาย ผมจะแนะนำ CX7 เพราะมันใช้งานง่ายกว่า ไม่ซับซ้อน ราคาเข้าถึงได้ และให้ผลลัพธ์ดีอยู่แล้วสำหรับผู้เริ่มต้น

ส่วนลูกค้าที่มีประสบการณ์วิ่งมาบ้างแล้ว มีเป้าหมายชัดเจนในการเผาผลาญไขมันหรือเพิ่มความแข็งแรง และมีงบประมาณเพียงพอ ผมจะแนะนำ CX8 เพราะระบบปรับแรงต้านจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า

เรื่องตลกคือ มีลูกค้าหลายคนที่ซื้อ CX7 ไปก่อน แล้ว 3-6 เดือนหลังจากนั้นโทรมาสั่ง CX8 เพิ่ม!

“พี่หมิง ผมติดใจลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าแล้ว! อยากลองแบบที่มีแรงต้านบ้าง”

ผมเคยถามลูกค้าคนหนึ่งว่าทำไมไม่ขาย CX7 แล้วซื้อ CX8 อย่างเดียว เขาตอบว่า “ไม่ได้ครับพี่หมิง ผมใช้ CX7 สำหรับวันที่อยากวิ่งเบาๆ สบายๆ แล้วใช้ CX8 ในวันที่อยากซ้อมหนักๆ มันคนละฟีลกันเลย!”

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมให้ลูกค้าทดลองวิ่ง 5 นาทีบน CX7 แล้วเปลี่ยนมาวิ่ง 5 นาทีบน CX8 ด้วยความเร็วเท่ากัน ผลคือเขาเผาผลาญแคลอรี่บน CX8 มากกว่าถึง 15% แม้จะวิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน!

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะดีไซน์แบบ Curve ของ CX8 ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนสายพาน แม้จะไม่ได้ปรับแรงต้านเลยก็ตาม

“นี่ไง! เห็นไหม มันไม่ได้แค่เรื่องแรงต้าน แต่เป็นเรื่องดีไซน์ทั้งหมดที่ช่วยให้คุณเผาผลาญได้มากขึ้น” ผมอธิบายให้ลูกค้าฟัง

ผมเคยได้ยินคำพูดที่น่าสนใจจากโค้ชวิ่งคนหนึ่ง เขาบอกว่า “CX7 เหมือนรถยนต์ที่ขับง่าย พาคุณไปถึงจุดหมายได้สบายๆ ส่วน CX8 เหมือนรถสปอร์ตที่ต้องมีทักษะในการขับขี่ แต่ให้ความรู้สึกที่เร้าใจและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า”

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือก CX7 หรือ CX8 ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ผิดหวัง เพราะทั้งสองรุ่นถูกออกแบบมาให้ช่วยคุณเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป เพียงแต่ CX8 อาจจะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

“ลูกค้าคนหนึ่งของผมที่ซื้อทั้ง CX7 และ CX8 บอกว่า ‘พี่หมิง ถ้าให้เปรียบเทียบ CX7 ก็เหมือนกับอาหารคลีนธรรมดา ส่วน CX8 เหมือนอาหารคลีนที่มีวิตามินเสริมพิเศษ!'”

ผมชอบคำเปรียบเทียบนี้มาก เพราะมันเข้าใจง่ายและตรงประเด็น ทั้งคู่ดีต่อสุขภาพ แต่อันหนึ่งอาจจะมีอะไรพิเศษเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย

 

ถ้าต้องการ “ลดไขมันจริง” ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าดีกว่าไฟฟ้าหรือไม่?

“ถ้าเป้าหมายคือการลดไขมันในเวลาจำกัด ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าชนะขาดเพราะช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่า 20-40% ด้วยเวลาออกกำลังกายเท่ากัน และยังช่วยให้เข้าโซนเผาผลาญได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องวิ่งเร็วจนเข่าพัง”

เชื่อไหมว่าคำถามนี้ผมโดนถามแทบทุกวัน! “พี่หมิง ถ้าอยากลดพุงจริงๆ ควรเลือกลู่วิ่งไฟฟ้าหรือไม่ใช้ไฟฟ้าดีกว่ากัน?”

เมื่อเดือนที่แล้วมีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาในร้าน เขาแนะนำตัวว่าเป็นหมอ แต่มีปัญหาพุงยื่น (แปลกใช่ไหมล่ะ? หมอแท้ๆ แต่ก็มีพุง)

“คุณหมอ ผมนึกว่าหมอจะผอมซิกแพคซะอีก!” ผมแซวเขาเล่นๆ

เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “ผมทำงานหนักมาก วันละ 12-16 ชั่วโมง แทบไม่มีเวลาออกกำลังกาย กินไม่เป็นเวลา เลยเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้เริ่มมีปัญหาไขมันในเลือดสูงแล้ว จะต้องจริงจังกับการลดน้ำหนักสักที”

เขายังเล่าต่อว่าเคยซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าราคาแพงมาไว้ที่บ้าน แต่ใช้ได้แค่ 2 เดือนก็เลิก เพราะรู้สึกเบื่อ และไม่เห็นผลชัดเจน ทั้งที่วิ่งทุกวันวันละ 30 นาที

“ผมมีเวลาจำกัดมาก อยากรู้ว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะช่วยให้ผมลดไขมันได้เร็วขึ้นจริงหรือเปล่า?”

ผมให้เขาทดลองวิ่งบน CX8 ประมาณ 5 นาที แล้วดูว่าชีพจรขึ้นเท่าไร เทียบกับตอนที่เขาวิ่งบนลู่ไฟฟ้าที่บ้าน (เขาใช้นาฬิกา Garmin วัดชีพจรอยู่แล้ว)

ผลปรากฏว่า เมื่อวิ่งด้วยความเร็วเท่ากัน ชีพจรของเขาบน CX8 สูงกว่าประมาณ 20 ครั้ง/นาที! นั่นหมายความว่าร่างกายกำลังเผาผลาญพลังงานมากกว่า

“คุณเห็นแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าถึงช่วยลดไขมันได้ดีกว่า?” ผมถามเขา

เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “น่าสนใจมาก! ลองอธิบายให้ฟังอีกหน่อยได้ไหมครับ?”

CX8 ช่วยให้เข้าโซนเผาผลาญไวกว่า โดยไม่ต้องวิ่งเร็ว

“จุดเด่นของลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าคือการที่คุณสามารถเข้าสู่โซนเผาผลาญไขมัน (Fat Burning Zone) ได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องวิ่งเร็ว เพียงแค่เพิ่มแรงต้านให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าและเพิ่มความปลอดภัยในการออกกำลังกาย”

ผมอธิบายให้คุณหมอฟังต่อว่า โซนเผาผลาญไขมัน (Fat Burning Zone) คือช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่ผมอธิบายให้คุณหมอฟังต่อว่า โซนเผาผลาญไขมัน (Fat Burning Zone) คือช่วงอัตราการเต้นของหัวใจที่ร่างกายใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 65-75% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด

“คุณหมอลองสังเกตดูนะ ตอนคุณวิ่งบนลู่ไฟฟ้าที่บ้าน คุณต้องวิ่งด้วยความเร็วเท่าไรถึงจะเข้าโซนเผาผลาญไขมัน?”

“ประมาณ 10-12 กิโลเมตร/ชั่วโมง” คุณหมอตอบ

“แต่บน CX8 นี่ คุณเพิ่งวิ่งแค่ 8 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่หัวใจเต้นเข้าโซนแล้ว เห็นไหมครับ?”

จุดนี้แหละที่สำคัญมาก! เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยากลดน้ำหนัก โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักเกินหรือไม่ได้ออกกำลังกายมานาน มักจะมีปัญหาเรื่องข้อเข่าเมื่อต้องวิ่งเร็วๆ

“ผมจำได้เลยวันแรกที่ผมพยายามจะวิ่งลดพุง ผมวิ่งเร็วแค่ 12 กิโลเมตร/ชั่วโมงบนลู่ไฟฟ้า พอวันรุ่งขึ้นเข่าปวดจนเดินแทบไม่ได้!” ผมเล่าประสบการณ์ตัวเองให้คุณหมอฟัง “แต่พอมาใช้ CX8 ผมสามารถเผาผลาญได้เท่ากันโดยวิ่งช้ากว่าและแทบไม่มีอาการปวดเข่าเลย”

คุณหมอพยักหน้าเข้าใจ “จริงด้วย! เมื่อกี้ผมรู้สึกเหนื่อยกว่าตอนวิ่งที่บ้านเยอะเลย ทั้งๆ ที่วิ่งช้ากว่า”

“นั่นแหละครับ! ลองจินตนาการว่าคุณวิ่งแบบนี้แค่ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วเผาผลาญไขมันได้มากกว่าเดิม 30-40% ภายในเวลาเท่ากัน ผลลัพธ์จะต่างกันแค่ไหนใน 1 เดือน?”

ผมยังเล่าให้คุณหมอฟังถึงเรื่องที่อาจจะน่าสนใจสำหรับเขาเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาเป็นหมอ

“คุณหมอครับ ผมได้อ่านงานวิจัยล่าสุดในปี 2023 จากมหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่ศึกษาเปรียบเทียบการเผาผลาญไขมันในช่องท้องระหว่างการวิ่งบนลู่ไฟฟ้ากับลู่ไม่ใช้ไฟฟ้า ผลคือการวิ่งบนลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าช่วยลดไขมันในช่องท้องได้มากกว่าถึง 27% ในระยะเวลาทดสอบ 8 สัปดาห์ ทั้งที่ใช้เวลาและความถี่ในการออกกำลังกายเท่ากัน”

คุณหมอทำตาโต “จริงเหรอ? น่าสนใจมาก! แล้วพวกเขาอธิบายกลไกยังไง?”

“นักวิจัยสันนิษฐานว่ามันเกี่ยวกับการที่กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core) ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาสมดุล เมื่อวิ่งบนลู่ที่ต้องควบคุมด้วยตัวเอง ซึ่งส่งผลให้มีการเผาผลาญที่บริเวณหน้าท้องมากกว่า”

“โอ้! นั่นอธิบายได้ว่าทำไมผมรู้สึกว่ากล้ามท้องทำงานตอนวิ่งบนลู่นี้” คุณหมอยิ้มกว้าง

ผมสังเกตเห็นว่าคุณหมอเริ่มสนใจจริงๆ แล้ว จึงเล่าเรื่องเพิ่มเติม

“คุณหมอครับ ผมมีลูกค้าที่เป็นหมอเหมือนกัน เขาซื้อ CX8 ไปเมื่อ 3 เดือนก่อน เขาใช้แค่วันละ 20 นาที 4 วันต่อสัปดาห์ ร่วมกับการควบคุมอาหาร ตอนนี้เขาลดไปได้ 8 กิโล! เขาบอกว่ารู้สึกเหมือนสามารถ ‘แฮคระบบ’ การเผาผลาญของร่างกาย เพราะไม่เคยลดได้เร็วขนาดนี้มาก่อน”

“ว้าว! จริงเหรอ?” คุณหมอทำตาโต

“จริงครับ แถมเขายังบอกว่าค่าไขมันในเลือดลดลงด้วย และความดันโลหิตก็ดีขึ้น”

ตรงนี้เป็นจุดที่คุณหมอตัดสินใจซื้อ CX8 ในที่สุด

หลังผ่านไป 2 เดือน คุณหมอส่งรูปมาให้ดู เขาลดไปได้ 6 กิโล! ที่น่าสนใจคือเขาบอกว่า “พี่หมิง ผมวิ่งแค่วันละ 25 นาทีเท่านั้นนะ แต่เหงื่อแตกกว่าตอนวิ่งบนลู่เดิม 1 ชั่วโมงอีก!”

ใช้คู่กับการควบคุมอาหาร = เร่งการลดได้จริง

“การผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้ากับการควบคุมอาหาร คือสูตรลับในการลดไขมันที่ได้ผลเร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคุณมีเวลาจำกัดและต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน”

เรื่องของการลดไขมันหน้าท้องนี่ ผมมีประสบการณ์ตรงมากๆ ช่วงก่อน Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ผมต้องลดน้ำหนักให้ได้ 7 กิโลใน 8 สัปดาห์ เพื่อให้วิ่งได้เร็วขึ้น

แต่ปัญหาคือผมชอบกินมาก โดยเฉพาะข้าวเหนียวมะม่วง! (ใครไม่ชอบบ้าง? มันอร่อยที่สุดในโลก) ผมรู้ว่าจะเอาแต่ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคุมอาหารด้วย

ผมเลยออกแบบตารางแบบนี้ 

  1. งดน้ำตาลและแป้งขัดขาวในวันธรรมดา (แต่กินได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ นิดหน่อย)
  2. ฝึกบน CX8 วันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
  3. วิ่งระยะยาวหนึ่งวันในสุดสัปดาห์

เพื่อนที่ทำงานเห็นผมเอาสลัดกับไข่ต้มมากินที่ออฟฟิศ ถามว่า “หมิง มึงเป็นอะไร? ปกติมึงชอบกินข้าวผัดกระเพรากับข้าวเหนียวมะม่วงนี่นา”

ผมก็แค่ยิ้มแล้วตอบว่า “สงวนแคลอรี่ไว้เผาบน CX8 ไง!”

หลังจากทำตามแผนนี้ได้ 4 สัปดาห์ ผมลดไปได้ 4.5 กิโล! และเมื่อครบ 8 สัปดาห์ ผมลดได้ทั้งหมด 7.2 กิโล ทะลุเป้าหมายไปนิดหน่อย

ผมเคยทดลองเทียบความแตกต่างด้วยการวิ่งบน CX8 แบบควบคุมอาหาร กับการวิ่งบนลู่ไฟฟ้า A5 แบบควบคุมอาหารเหมือนกัน ผลคือช่วงที่วิ่งบน CX8 ผมลดได้เร็วกว่าประมาณ 30%!

“มีลูกค้าคนหนึ่งที่เป็นเทรนเนอร์ เขาเคยบอกผมว่า ‘พี่หมิง รู้ไหมว่าทำไมลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าถึงช่วยลดไขมันได้ดีขนาดนี้? เพราะมันไม่ใช่แค่เผาผลาญตอนออกกำลัง แต่มันยังเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในชีวิตประจำวันแม้ตอนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย'”

นี่เป็นความจริงที่หลายคนไม่รู้! คนที่แค่ลดแคลอรีโดยไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอล้วนๆ มักจะลดทั้งไขมันและกล้ามเนื้อพร้อมกัน ทำให้อัตราการเผาผลาญพื้นฐานลดลง และเมื่อกลับไปกินแบบเดิม น้ำหนักก็จะกลับมาเร็วกว่าเดิม (Yo-yo Effect)

แต่การออกกำลังกายบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะรุ่นที่มีแรงต้านอย่าง CX8 ช่วยสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ ซึ่งจะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นแม้ในยามพัก

ผมเคยแนะนำลูกค้าที่ต้องการลดไขมันให้ลองทำแบบนี้ 

“คุณลองดูนะครับ หลังตื่นนอนตอนเช้า ให้ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วแล้ววิ่งบน CX8 15-20 นาที ก่อนอาหารเช้า นี่เป็นช่วงที่ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงได้ดีที่สุด เพราะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วช่วงเย็นค่อยวิ่งแบบ HIIT อีก 15 นาที”

ผลปรากฏว่า ลูกค้าที่ทำตามนี้แทบทุกคนเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2-3 สัปดาห์!

มีคนใช้ CX7 เดินวันละ 20 นาที ลดไขมันไป 3 โลใน 1 เดือน

“ความมหัศจรรย์ของลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่แม้แค่การเดินธรรมดาก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพราะการต้องออกแรงขับเคลื่อนสายพานทำให้เผาผลาญมากกว่าการเดินบนพื้นหรือลู่ไฟฟ้าทั่วไป”

ผมอยากเล่าเรื่องประทับใจของคุณป้าท่านหนึ่ง อายุ 58 ปี เธอมีปัญหาเข่าเสื่อมเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถวิ่งหรือเดินเร็วๆ ได้ เธอมาที่ร้านเพราะลูกชายแนะนำ

“พี่หมิง ฉันอยากลดพุง แต่เข่าก็ไม่ดี จะทำยังไงดี?” เธอถามผมด้วยสีหน้ากังวล

ผมแนะนำให้เธอลองเดินช้าๆ บน CX7 ประมาณ 5 นาที แล้วถามความรู้สึก

“แปลกดีนะ เหนื่อยกว่าเดินบนพื้นธรรมดา แต่เข่าไม่เจ็บเลย!”

ผมอธิบายว่าการเดินบน CX7 แม้จะเดินช้า แต่ร่างกายยังต้องออกแรงดันสายพาน ทำให้เผาผลาญพลังงานมากกว่าการเดินปกติ 30-40% โดยไม่ต้องเพิ่มความเร็วที่อาจกระทบเข่า

เธอตัดสินใจซื้อ CX7 กลับไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะเดินแค่วันละ 20 นาทีก็พอ เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว

หนึ่งเดือนต่อมา เธอโทรมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พี่หมิง! ฉันลดไปได้ 3 กิโลแล้วนะ! แค่เดิน 20 นาทีทุกวันเท่านั้นเอง!”

ผมถามเธอว่าเปลี่ยนการกินด้วยหรือเปล่า เธอตอบว่า “ก็ลดข้าวลงนิดหน่อย แต่ไม่ได้อดอะไรมาก ยังกินของอร่อยอยู่ แค่กินน้อยลง”

สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือเธอบอกว่า “ฉันรู้สึกชอบการเดินบนลู่นี้นะ ไม่น่าเบื่อเหมือนที่คิด บางทีเดินไป 20 นาที ยังรู้สึกอยากเดินต่อ มันเป็นเวลาที่ได้คิดอะไรเพลินๆ ด้วย”

นี่คือสิ่งที่ผมพบบ่อยๆ คนที่ไม่เคยชอบออกกำลังกาย พอได้ลองใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า กลับรู้สึกสนุกและทำต่อเนื่องได้ เพราะมันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและเห็นผลเร็ว

มีลูกค้าอีกคนที่น่าสนใจ เขาเป็นพนักงานออฟฟิศวัย 42 ที่นั่งทำงานทั้งวัน เขาบอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย

“ผมกลับถึงบ้านก็ 2 ทุ่มแล้ว ต้องกินข้าว อาบน้ำ เล่นกับลูก ไม่มีเวลาไปฟิตเนสหรอก”

ผมเลยแนะนำให้เขาลอง CX7 และตั้งไว้หน้าทีวี แล้วเดินช้าๆ ขณะดูซีรีส์หลังอาหารเย็น

“เหรอ? แค่นั้นก็ได้เหรอ?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

“ได้สิครับ ลองดูก่อน อย่างน้อยก็ยังดีกว่านั่งดูซีรีส์เฉยๆ ใช่ไหมครับ?”

เขาซื้อกลับไปและทำตามที่ผมแนะนำ เดินช้าๆ บน CX7 ขณะดูซีรีส์กับภรรยา วันละประมาณ 30-40 นาที แทนที่จะนั่งบนโซฟา

สองเดือนผ่านไป เขาลดไปได้ 4.5 กิโล! ที่น่าสนใจคือเขาบอกว่า “พี่หมิง ผมไม่รู้สึกเลยว่ากำลังออกกำลัง มันเหมือนกับแค่ดูซีรีส์ตามปกติ แต่แทนที่จะนั่ง ก็เดินไปด้วยเฉยๆ”

สองกรณีนี้ทำให้ผมเชื่อว่า แม้แต่การออกกำลังกายเบาๆ บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง เพราะมันเผาผลาญพลังงานมากกว่าการออกกำลังกายแบบเดียวกันบนลู่ไฟฟ้าหรือพื้นราบทั่วไป

ผมจึงเชื่อว่า ถ้าเป้าหมายของคุณคือการลดไขมัน โดยเฉพาะไขมันหน้าท้องที่อันตราย ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน

 

โค้ชหมิงสรุป  ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเหมาะกับคนที่อยากเปลี่ยนร่างด้วยความจริงจัง

“ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไม่ใช่แค่อุปกรณ์ออกกำลังกาย แต่เป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ ถ้าคุณพร้อมที่จะออกแรงจริงๆ มันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เร็วกว่า และคุ้มค่ากว่าลู่วิ่งไฟฟ้าแบบเดิมๆ”

ก่อนจะจบบทความนี้ ผมอยากสรุปและแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ในฐานะนักวิ่งและคนที่ได้ขายลู่วิ่งมาแล้วกว่าพันเครื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางลังเล เขาเป็นหนุ่มออฟฟิศวัย 35 ที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ เขาถามผมว่า

“พี่หมิง ผมอยากลดน้ำหนักจริงๆ จังๆ ไม่ได้แค่อยากหุ่นดีเฉยๆ แต่หมอเพิ่งตรวจเจอว่าผมมีไขมันพอกตับ ถ้าไม่รีบแก้อาจจะกลายเป็นตับแข็งได้”

ผมรู้สึกเห็นใจเขามาก และเห็นความจริงจังในแววตา ผมเลยถามเขาว่า

“คุณพร้อมที่จะทุ่มเทแค่ไหน? ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญได้มากกว่า แต่ก็เหนื่อยกว่าด้วย”

เขาตอบไม่ลังเลเลยว่า “ผมพร้อมทำทุกอย่าง นี่เป็นเรื่องของชีวิตผมแล้ว”

นั่นคือตอนที่ผมรู้ว่าเขาเหมาะกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ผมแนะนำให้เขาซื้อ CX8 และวางแผนการฝึกให้เขาอย่างละเอียด ทั้งเรื่องการออกกำลังกายและอาหาร

หกเดือนต่อมา เขากลับมาที่ร้านพร้อมรอยยิ้มกว้าง น้ำหนักลดไปเกือบ 18 กิโล! ที่สำคัญค่าไขมันในตับของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

“พี่หมิง ผมต้องขอบคุณมากๆ ที่แนะนำให้ผมซื้อ CX8 มันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ตอนแรกผมก็เหนื่อยมาก แทบทนไม่ไหว แต่พอผ่านไปสักเดือน ร่างกายเริ่มปรับตัว และตอนนี้ผมวิ่งได้ 10 กิโลไม่มีเหนื่อยแล้ว

 

FAQ  คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า

ตลอดเวลาที่ขายลู่วิ่งมากว่า 20 ปี ผมได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ผมเลยรวบรวมคำถามที่พบบ่อยที่สุด 10 ข้อมาตอบให้ละเอียดที่นี่เลย

1. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเผาผลาญไขมันได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าจริงหรือไม่?

โค้ชหมิง  จริงครับ! จากประสบการณ์ส่วนตัวและงานวิจัยล่าสุด ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าประมาณ 20-40% เมื่อใช้เวลาและความเร็วเท่ากัน เพราะร่างกายต้องออกแรงขับเคลื่อนสายพานเอง

ผมเคยทดสอบด้วยตัวเองโดยใช้นาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจและแคลอรี่ พบว่าเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 10 กม./ชม. เป็นเวลา 30 นาที บนลู่วิ่ง CX8 ผมเผาผลาญได้ 400 แคลอรี่ เทียบกับ 310 แคลอรี่บนลู่วิ่งไฟฟ้า A5 ด้วยความเร็วและเวลาเท่ากัน

2. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเหมาะกับมือใหม่หรือไม่? หรือยากเกินไป?

โค้ชหมิง  เหมาะครับ แต่ต้องเลือกรุ่นให้เหมาะสม ผมแนะนำให้มือใหม่เริ่มต้นกับรุ่น CX7 เพราะใช้ระบบลูกปืนที่ช่วยให้สายพานลื่นไหล ควบคุมง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะล้ม

ที่สำคัญคือต้องเริ่มช้าๆ อย่าเร่งรีบ เริ่มจากการเดินเบาๆ 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วและที่สำคัญคือต้องเริ่มช้าๆ อย่าเร่งรีบ เริ่มจากการเดินเบาๆ 5-10 นาที เพื่อให้ร่างกายปรับตัว แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วและเวลาทีละนิด

ผมจำได้เลยตอนลูกค้าอายุ 62 ปีท่านหนึ่งมาที่ร้าน เธอกลัวมากว่าจะใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าไม่เป็น ผมบอกเธอว่า “คุณป้าครับ ลองถือราวจับแล้วค่อยๆ เดินก่อน เหมือนเดินตามปกติเลย” พอเธอลองเดินได้สัก 3 นาที เธอหันมายิ้มบอกว่า “โอ้! มันง่ายกว่าที่คิดนะ แถมข้อเข่าฉันยังรู้สึกสบายกว่าเดินบนลู่ไฟฟ้าอีก”

3. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าปวดเข่าน้อยกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าจริงหรือไม่?

โค้ชหมิง  จริงมาก! นี่เป็นคำถามที่ผมชอบมาก เพราะมันทำลายความเข้าใจผิดที่ว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะหนักเข่ากว่า

เมื่อปีที่แล้วผมมีอาการปวดเข่าเล็กน้อยหลังจากวิ่งเทรลที่เขาใหญ่ พอกลับมาบ้าน ผมลองเปลี่ยนจากลู่วิ่งไฟฟ้ามาใช้ CX8 แทน ปรากฏว่าอาการปวดเข่าดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ยังวิ่งอยู่!

มันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ครับ เพราะ 

  1. ลู่วิ่งแบบ Curve ของ CX8 ทำให้การลงเท้าเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนเราวิ่งบนพื้นนุ่มๆ
  2. คุณควบคุมความเร็วเองได้ ถ้ารู้สึกเจ็บหรือไม่สบาย ก็ชะลอได้ทันที ไม่ต้องรอกดปุ่ม
  3. สายพานของลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าถูกออกแบบให้มีความยืดหยุ่นมากกว่า ช่วยลดแรงกระแทก

ผมมีลูกค้าที่เป็นนักวิ่งวัย 50+ หลายคน ที่เปลี่ยนมาใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเพราะเป็นมิตรกับข้อเข่ามากกว่า คุณหมอคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าผมเคยอธิบายว่า “การวิ่งบนลู่ CX8 ทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าแข็งแรงขึ้น ซึ่งช่วยพยุงและปกป้องข้อเข่าได้ดีกว่าในระยะยาว”

4. ใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าวันละกี่นาทีถึงจะเห็นผล?

โค้ชหมิง  คำถามทอง! จากประสบการณ์ส่วนตัวและลูกค้าหลายร้อยคน ถ้าจะให้เห็นผลชัดเจน ผมแนะนำดังนี้ครับ 

คนทั่วไปที่แค่อยากลดน้ำหนัก  อย่างน้อย 20-30 นาที วันเว้นวัน (3-4 ครั้ง/สัปดาห์) คนที่อยากเห็นผลเร็ว  30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ โดยสลับระหว่างการฝึกแบบ HIIT (2 วัน) และการฝึกแบบต่อเนื่อง (3 วัน)

แต่! เรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ แม้แต่การใช้แค่วันละ 15 นาทีทุกวันยังให้ผลดีกว่าการฝึกแบบหนัก 1 ชั่วโมงแค่สัปดาห์ละครั้ง

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่เป็นคุณแม่เลี้ยงลูก 3 คน เธอบอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย ผมเลยแนะนำให้เธอลอง “15 นาทีตอนลูกนอน” บน CX7

“แค่นี้จะพอเหรอพี่หมิง?” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ

หนึ่งเดือนผ่านไป เธอส่งรูปมาให้ดู น้ำหนักลดไปได้ 2.5 กิโล! “ฉันแค่เดินเร็วๆ บ้าง วิ่งเบาๆ บ้าง แค่ 15 นาทีทุกคืน แต่ทำทุกวันไม่เคยขาด เห็นผลจริงๆ!”

ความสม่ำเสมอสำคัญกว่าระยะเวลาครับ วันละนิดแต่ทำทุกวัน ดีกว่าอาทิตย์ละครั้งแต่ทำนานๆ

5. CX7 กับ CX8 ต่างกันอย่างไร ควรเลือกแบบไหน?

โค้ชหมิง  คำถามยอดฮิตเลยครับ! CX7 กับ CX8 ต่างกันเหมือน Toyota Corolla กับ Toyota Camry – ทั้งคู่เป็นรถดี แต่ให้ประสบการณ์ต่างกัน

CX7 มีระบบลูกปืนที่ทำให้สายพานหมุนได้ลื่นไหล ง่ายต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ราคาย่อมเยากว่า แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไป

CX8 มีจุดเด่นคือระบบปรับแรงต้าน 8 ระดับ และดีไซน์แบบ Curve ที่ทำให้การวิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความท้าทายและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เมื่อเดือนที่แล้วมีลูกค้าคู่หนึ่งเป็นสามีภรรยามาเลือกซื้อลู่วิ่ง สามีเป็นนักวิ่งมาราธอน ส่วนภรรยาเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย พวกเขาถามผมว่าควรซื้อแบบไหนดี

ผมถามกลับไปว่า “คุณทั้งคู่มีเป้าหมายในการใช้ลู่วิ่งต่างกันไหม?”

สามีตอบว่าอยากใช้ฝึกความแข็งแรงของขาเพื่อวิ่งแข่ง ส่วนภรรยาแค่อยากเริ่มออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

“ถ้างั้นผมแนะนำให้คุณใช้ CX8 ครับ ส่วนคุณผู้หญิงใช้ CX7 จะเหมาะกว่า”

พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะ “เราจะซื้อทั้งสองเครื่องเลยได้ไหม? จะได้ใช้ออกกำลังกายพร้อมกัน”

ผมยิ้ม “ได้ครับ! นั่นเป็นไอเดียที่ดีมาก คุณจะได้เลือกใช้เครื่องที่เหมาะกับเป้าหมายของแต่ละคน”

เรื่องสนุกคือ หลังจากใช้ไป 3 เดือน ภรรยาเริ่มใช้ CX8 ของสามีบ้างเพราะเธอเริ่มแข็งแรงขึ้นและอยากท้าทายตัวเองมากขึ้น นี่แหละครับ วิวัฒนาการของนักออกกำลังกาย!

6. ใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าแล้วล้มบ่อยไหม? ปลอดภัยหรือไม่?

โค้ชหมิง  ดีใจที่มีคนถามเรื่องนี้! จากประสบการณ์ของผมและลูกค้ากว่าพันราย การล้มบนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเกิดขึ้นน้อยกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าซะอีก!

สาเหตุหลักคือ บนลู่วิ่งไฟฟ้า คุณไม่ได้ควบคุมความเร็ว เครื่องเป็นฝ่ายกำหนด ถ้าคุณสะดุดหรือเหนื่อยเกินไป แต่ไม่ทันกดปุ่มลดความเร็ว ก็มีโอกาสล้มสูง

แต่บนลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า ถ้าคุณเหนื่อยหรือต้องการชะลอ แค่ลดแรงในการดันสายพาน มันก็จะช้าลงตามธรรมชาติ ให้ความรู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้มากกว่า

ผมเคยเห็นวิดีโอตลกจาก TikTok ที่คนล้มบนลู่วิ่งไฟฟ้าเยอะมาก แต่ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้านี่แทบไม่มีเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกค้าสูงอายุท่านหนึ่งกังวลมากเรื่องความปลอดภัย เขาเคยล้มบนลู่วิ่งไฟฟ้าที่ฟิตเนสมาแล้ว ผมให้เขาลองใช้ CX7 โดยเริ่มจากเดินช้าๆ และจับราวจับไว้

“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” ผมถาม

“โอ้! มันให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าเยอะเลยนะ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม “ผมรู้สึกว่าควบคุมได้ ไม่ต้องกลัวว่าสายพานจะเร็วเกินไป”

เคล็ดลับความปลอดภัยง่ายๆ สำหรับการใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า 

  • เริ่มต้นช้าๆ ให้ร่างกายคุ้นเคยก่อน
  • ใช้มือจับช่วยในช่วงแรก
  • สวมรองเท้าวิ่งที่เหมาะสม ไม่ลื่น
  • มองตรงไปข้างหน้า ไม่ก้มมองเท้า

7. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเสียงดังไหม? เหมาะกับการใช้ในคอนโดหรือไม่?

โค้ชหมิง  คำถามนี้ผมชอบมาก! เพราะคำตอบคือ “เงียบกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าเยอะเลย” – ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่าลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าจะเสียงดังกว่า

ลู่วิ่งไฟฟ้าส่วนใหญ่มีเสียงมอเตอร์หึ่งๆ ดังตลอดเวลา แต่ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะ CX7 และ CX8 ใช้ระบบลูกปืนหรือระบบการเคลื่อนที่ที่เงียบกว่ามาก

มีลูกค้าคนหนึ่งอาศัยอยู่ในคอนโดชั้น 5 เขากังวลมากเรื่องเสียงรบกวนเพื่อนบ้านชั้นล่าง ผมแนะนำให้เขาลอง CX8 และบอกให้ลองเทสต์ง่ายๆ โดยให้ภรรยาลงไปยืนฟังที่ห้องชั้นล่างขณะที่เขาวิ่งบนลู่

“พี่หมิง รู้ผลแล้วครับ!” เขาโทรมาบอกในวันถัดมา “เมียผมบอกว่าแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย! เทียบไม่ได้เลยกับตอนที่ผมใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าเครื่องเก่า จริงๆ ที่ได้ยินคือเสียงเท้ากระทบพื้นนิดหน่อย แต่ก็แค่ตุบๆ เบาๆ เท่านั้น”

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับการใช้ในคอนโด 

  • วางบนเสื่อรองกันกระแทกที่หนาหน่อย จะช่วยลดเสียงและการสั่นสะเทือนได้มาก
  • เลือกเวลาที่เหมาะสม อาจจะไม่วิ่งดึกเกินไป
  • วิ่งด้วยรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม จะช่วยลดเสียงได้อีกเยอะ

8. ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าต้องบำรุงรักษาบ่อยไหม? ดูแลยากหรือไม่?

โค้ชหมิง  เรื่องนี้ผมคุยได้ทั้งคืนเลย! ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าดูแลง่ายกว่าลู่วิ่งไฟฟ้ามากๆ และเป็นข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งเลย

ลู่วิ่งไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลเยอะมาก  มอเตอร์ แผงควบคุม สายพาน สายไฟ ระบบไฟฟ้า ฯลฯ ต้องหยอดน้ำมันทุก 2-3 เดือน ต้องตรวจสอบความตึงของสายพาน ฯลฯ

แต่ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะ CX7 และ CX8 มีชิ้นส่วนน้อยกว่ามาก 

  • ไม่มีมอเตอร์ให้เสีย
  • ไม่มีระบบไฟฟ้าที่ต้องดูแล
  • ไม่ต้องหยอดน้ำมันบ่อยๆ
  • ไม่ต้องคอยปรับความตึงของสายพาน

ผมเคยถามลูกค้าที่ใช้ CX8 มาแล้ว 3 ปีว่าเคยซ่อมอะไรบ้าง เขาตอบว่า “ไม่เคยเลย! แค่เช็ดฝุ่นบ้าง ตรวจดูน็อตสกรูให้แน่นเท่านั้น”

เทียบกับลูกค้าที่ใช้ลู่วิ่งไฟฟ้า ที่เรียกช่างไปซ่อมบ่อยมาก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องมอเตอร์ร้อนเกิน สายพานเริ่มสึก หรือแผงควบคุมเสีย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกค้าโทรมาถามว่า “พี่หมิง CX7 ที่ผมซื้อไปต้องหยอดน้ำมันบ้างไหม?” ผมบอกว่า “แนะนำให้ตรวจเช็คสัก 6 เดือน/ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าลู่วิ่งไฟฟ้ามาก” เขาตอบกลับมาว่า “โอ้! ดีจัง ผมเคยใช้ลู่วิ่งไฟฟ้าต้องหยอดน้ำมันทุกเดือน ไม่งั้นเสียงดังมาก”

ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบยุ่งยากกับการดูแลรักษาอุปกรณ์ ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่ดีมากครับ

9. ถ้าน้ำหนักเยอะมาก (100 กิโล+) จะใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าได้ไหม?

โค้ชหมิง  คำถามที่สำคัญมาก! คำตอบคือ “ได้ครับ” แต่ต้องเลือกรุ่นที่รับน้ำหนักได้เพียงพอ

CX7 รับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล ส่วน CX8 รับน้ำหนักได้ถึง 160 กิโล ซึ่งสูงกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าทั่วไปในราคาใกล้เคียงกันที่มักรับน้ำหนักได้แค่ 100-120 กิโล

ที่น่าสนใจคือ ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าอาจเหมาะกับคนน้ำหนักมากกว่าลู่วิ่งไฟฟ้าด้วยซ้ำ เพราะ 

  • คุณควบคุมความเร็วได้เอง ไม่ต้องวิ่งตามเครื่อง
  • แรงกระแทกต่อข้อเข่าน้อยกว่า
  • เริ่มต้นได้ช้าๆ แค่เดินเบาๆ ก็เผาผลาญได้เยอะแล้ว

เมื่อปีที่แล้ว ผมมีลูกค้าน้ำหนัก 115 กิโล สูง 180 ซม. เขากังวลมากว่าจะใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าได้หรือเปล่า

“ผมกลัวว่ามันจะพังเพราะผมตัวใหญ่” เขาบอกผมอย่างกังวล

ผมให้เขาลอง CX8 และบอกว่า “ลองเดินก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็ว ถ้ารู้สึกไม่ดียังไงก็หยุดได้เลย”

เขาเริ่มเดินช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นเดินเร็ว สุดท้ายเขาวิ่งเหยาะๆ ได้ด้วย! เขายิ้มกว้างและบอกว่า “เฮ้ย! มันดีกว่าที่คิดมาก รู้สึกมั่นคงดี!”

ปัจจุบันเขาใช้ CX8 มาได้ 8 เดือนแล้ว น้ำหนักลดไปแล้ว 18 กิโล และยังใช้มันฝึกวิ่งอยู่ทุกวัน

10. คนสูงอายุหรือเด็ก สามารถใช้ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าได้ไหม?

โค้ชหมิง  คำถามสุดท้ายที่สำคัญมาก! ผมคาดการณ์มาแล้วว่าต้องมีคนถามแน่ๆ

สำหรับผู้สูงอายุ (60+ ปี)  ใช้ได้แน่นอนครับ แต่แนะนำให้เริ่มที่ CX7 เพราะควบคุมง่ายกว่า ผมมีลูกค้าอายุ 72 ปี เธอใช้ CX7 เดินวันละ 20 นาที ช่วยให้กล้ามเนื้อขาแข็งแรงขึ้น และลดอาการปวดหลังของเธอได้มาก

สำหรับเด็ก  ผมแนะนำอายุ 12+ ปีขึ้นไป และควรมีผู้ปกครองดูแลในช่วงแรก เด็กๆ มักจะชอบลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าเพราะมันสนุกกว่า พวกเขาสามารถควบคุมความเร็วได้เอง

ผมมีลูกค้าครอบครัวหนึ่งที่มีลูกสาววัย 14 และลูกชายวัย 16 พวกเขาซื้อ CX7 ไว้ใช้ร่วมกันทั้งครอบครัว

คุณแม่เล่าให้ฟังว่า “ตอนแรกซื้อมาเพื่อตัวเอง แต่ตอนนี้ลูกๆ แย่งกันใช้ทุกวัน!” เธอหัวเราะ “ลูกชายผมชอบมากเพราะมันช่วยเขาฝึกความแข็งแรงสำหรับการเล่นบาสเกตบอล ส่วนลูกสาวก็ชอบเพราะเธอวิ่งไปฟังเพลงไป เธอบอกว่าสนุกกว่าลู่วิ่งที่โรงเรียนเยอะ”