แรงม้า สายพาน ความชัน… ศัพท์ลู่วิ่งที่ควรรู้ก่อนกดซื้อ

“คนซื้อลู่วิ่งครั้งแรกมักจะงงกับศัพท์เทคนิคพวกนี้ แล้วพอเจอแต่ละยี่ห้อใช้คำต่างกัน ยิ่งปวดหัว สุดท้ายก็เลือกผิด ใช้ไปสักพัก มอเตอร์ก็พัง”

เรื่องนี้ผมเจอบ่อยมาก เวลามีลูกค้าโทรมาปรึกษาหลังจากที่ซื้อลู่วิ่งไปใช้แล้วเจอปัญหา โดยเฉพาะคนที่ซื้อออนไลน์โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดี

สวัสดีครับ ผมหมิง เจ้าของเว็บไซต์ Runathome.co และเป็นทั้งนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งมาแล้วหลายสนามทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024, Garmin Run Asia Series 2024 หรือ Laguna Phuket Marathon 2024 แถมผมยังขายลู่วิ่งมาแล้วกว่าพันเครื่อง เรียกได้ว่าเจอมาทุกรูปแบบ ทั้งคนที่ซื้อถูกและคนที่ซื้อผิด

วันนี้ผมจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับลู่วิ่งแบบเข้าใจง่ายๆ ก่อนที่จะควักกระเป๋าซื้อเครื่องมาแล้วเจอปัญหาภายหลัง

เราจะเริ่มตั้งแต่เรื่องแรงม้า ซึ่งสำคัญมากกับประสิทธิภาพของลู่วิ่ง ไปจนถึงเรื่องความชัน สายพาน และอีกหลายศัพท์ที่แบรนด์มักจะโม้เกินจริง เพื่อให้คุณเลือกลู่วิ่งได้ตรงกับการใช้งานจริงและได้ของคุ้มค่าเงิน

 

เข้าใจศัพท์ลู่วิ่งก่อนซื้อ ดีกว่างงตอนใช้งานจริงไหม?

“พอรู้ศัพท์ไม่ครบ พอซื้อมาก็เหมือนถูกหลอก… สุดท้ายนั่งอยู่กับลู่วิ่งที่ใช้ไม่ได้ตามที่ต้องการ แพงแค่ไหนก็ไร้ค่า”

หลายคนมีคำถามว่า ทำไมต้องรู้ศัพท์พวกนี้ด้วย? ไม่เห็นจะสำคัญเลย แค่ดูรุ่นยอดนิยมแล้วซื้อตามน่าจะพอ

ผมขอยกตัวอย่างนะครับ คุณเคยเจอกรณีแบบนี้ไหม มีเพื่อนผมคนหนึ่งซื้อลู่วิ่งราคาแพงมาก 40,000 บาท แต่ดันไม่ได้อ่านสเปค วิ่งไปสักพัก มันรับน้ำหนักไม่ไหว พอเช็คสเปคดูถึงได้รู้ว่ามันรับน้ำหนักได้แค่ 90 กิโล แต่เพื่อนผมหนัก 110 กิโล ผลคือมอเตอร์พังใน 3 เดือน

ลองคิดดูว่า ถ้าเขารู้เรื่องพิกัดน้ำหนักก่อน เขาคงไม่ซื้อรุ่นนั้นใช่ไหมครับ? ทั้งที่จ่ายแพงแท้ๆ แต่ไม่ได้ซื้อของที่ใช่สำหรับตัวเอง

ศัพท์ลู่วิ่งสำคัญแค่ไหน? ทำไมมือใหม่ถึงพลาดกันบ่อย

“เคยได้ยินคนบ่นไหม ‘เฮ้ย เสียใจชิบหาย ซื้อลู่วิ่งแพงๆ มาแล้วใช้ได้แค่ 3 เดือน’? ปัญหานี้ไม่ใช่เพราะของไม่ดี แต่เพราะซื้อไม่ตรงกับการใช้งานต่างหาก!”

มีครั้งหนึ่งผมไปคุยกับลูกค้าที่หอบลู่วิ่งมาซ่อมที่ร้าน น้ำตาแทบร่วง แกบอกว่าเพิ่งซื้อมาได้แค่ 6 เดือน เสียไปแล้ว 30,000 เลยถามว่าซื้อตัวไหนมา พอดูสเปคปุ๊บ โอ้โห… มอเตอร์แค่ 1.5 แรงม้า แต่ดันเอามาวิ่งหนักทุกวัน วันละชั่วโมง แถมน้ำหนักตัวก็ 95 กิโล

แกบอกว่า “นึกว่าแพงแล้วจะใช้ได้นานๆ โฆษณาเขียนว่าทนทานสุดๆ” ผมถามต่อว่าตอนซื้อรู้จักคำว่า Continuous HP กับ Peak HP ไหม? แกส่ายหน้า…

นี่แหละครับเหตุผลว่าทำไมการรู้ศัพท์พวกนี้มันสำคัญมาก ผมเคยเห็นหลายเคสที่ 

ซื้อลู่วิ่งเดินที่มี “ความชันปรับได้” มาใช้ ซึ่งฟังดูดี แต่ที่ไหนได้ เป็นการปรับความชันแบบแมนนวล ต้องลงไปยกสายพานเอง แถมต้องใช้ประแจหมุนเพื่อยึดระดับอีก แบบว่าเอาจริงเหรอ? แล้วจะมายกสายพานหนักๆ ทุกครั้งที่อยากปรับความชัน สุดท้ายก็เลยใช้โหมดเดินระดับเดียวตลอด

เพื่อนผมอีกคนหนึ่งจ่ายตังค์ไป 35,000 ซื้อลู่วิ่งคันใหญ่เบ้อเริ่ม ย้ายเข้าคอนโดใหม่ปุ๊บ ไปเจอว่าลิฟท์คอนโดเล็กกว่าลู่วิ่ง ขึ้นไม่ได้! ถามว่ามันพับเก็บได้ไหม? เขาบอกพับได้ แต่ไม่ได้ดูว่ามันพับเก็บแบบไหน ปรากฏว่ามันพับเก็บแบบธรรมดา ไม่มีระบบไฮโดรลิค ทำให้พับยาก แถมพับแล้วก็ยังขนาดใหญ่อยู่ดี… สุดท้ายเสียเงินซื้อเครื่องใหม่

คือถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรกว่าคุณจะเทรนหนักขนาดไหน จะได้เลือกของถูก ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง

เข้าใจศัพท์ = วิ่งได้ตรงเป้าหมาย ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องบ่อย

“ถ้าซื้อลู่วิ่งถูกตัว มันอยู่กับคุณได้ 7-10 ปีสบายๆ แต่ถ้าซื้อผิด บางคนใช้ได้แค่ 6 เดือนก็ต้องซื้อใหม่”

ผมมีลูกค้าประจำคนหนึ่ง ใช้ลู่วิ่งที่ซื้อจากร้านผมมา 8 ปีแล้ว ยังใช้ได้ปกติ แถมซ่อมแค่ครั้งเดียว เปลี่ยนสายพานเพราะใช้มานาน นอกจากนั้นไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ทั้งๆ ที่เขาวิ่งหนักพอสมควร ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เพราะเขาเข้าใจว่าต้องการอะไร และซื้อของที่เหมาะกับความต้องการจริงๆ

ผมเคยเจอแม่บ้านคนหนึ่งมาที่ร้าน บอกว่าจะซื้อลู่วิ่งให้ลูกชายที่เป็นนักเรียนมัธยม ลูกชายเล่นบาสเก็ตบอล อยากวิ่งเสริมความแข็งแรง ผมเลยแนะนำลู่วิ่งที่มีความกว้างของสายพานพอเหมาะ เพราะเด็กวัยรุ่นช่วงโตเร็วอาจจะก้าวไม่มั่นคง ถ้าสายพานแคบเกินไป อาจจะตกลู่ได้ง่าย

แต่ถ้าซื้อผิด… ผมยกตัวอย่างเลย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งพึ่งมีลูก เลยอยากลดน้ำหนักด้วยการวิ่ง ซื้อลู่วิ่งราคาถูกแบบปรับความชันด้วยมือ แต่มันยากเกินกว่าจะปรับ เลยวิ่งบนพื้นราบอย่างเดียว วิ่งไปสักพัก แรงจูงใจหายเพราะมันไม่ท้าทาย สุดท้ายเอาไปวางไว้ที่ระเบียง กลายเป็นราวตากผ้าไปซะงั้น!

เวลาพูดคุยกับลูกค้า ผมมักจะถามก่อนว่า 

  • คุณหนักเท่าไหร่?
  • จะเอาไปวิ่งหรือเดิน?
  • วันหนึ่งใช้นานแค่ไหน?
  • มีเป้าหมายฟิตเนสอะไรไหม? (ลดน้ำหนัก, ซ้อมวิ่งแข่ง, แค่ออกกำลังกายทั่วไป)

คำตอบพวกนี้จะช่วยให้ผมแนะนำลู่วิ่งที่เหมาะกับเขาได้ ลูกค้าบางคนน้ำหนัก 100 กิโลกรัม แต่ดันเลือกลู่วิ่งรับน้ำหนักได้แค่ 100 กิโล แบบนี้เสี่ยงเกินไป ควรเผื่อไว้สัก 20-30% เพราะเวลาวิ่งแรงกระแทกมันเพิ่มขึ้นอีกเยอะ

พวกศัพท์เทคนิคทั้งหลาย มันไม่ใช่แค่ศัพท์ มันคือปัจจัยที่บอกว่าคุณจะได้ลู่วิ่งที่ใช้ได้จริงหรือเปล่า ถ้าเข้าใจดีๆ คุณอาจจะประหยัดได้หลายหมื่น เพราะไม่ต้องซื้อลู่วิ่งใหม่ทุกสองสามปี

 

แรงม้าลู่วิ่งคืออะไร? ต้องกี่แรงถึงวิ่งดี?

“แรงม้าลู่วิ่ง คือหัวใจของเครื่อง เหมือนกับเครื่องยนต์รถยนต์เลย ยิ่งแรงม้ามาก ยิ่งทนทาน”

เรื่องที่คนเข้าใจผิดบ่อยมากคือคิดว่าแรงม้าสูงๆ คือลู่วิ่งดี ยิ่งเวลาเห็นโฆษณาบอกว่า “มอเตอร์แรง 5 แรงม้า!” หลายคนก็คิดว่าโหดมาก ต้องวิ่งได้เร็วสุดๆ แล้ว

แต่ความจริงคือ แรงม้าบอกถึงความทนทานของมอเตอร์มากกว่าความเร็ว มอเตอร์ยิ่งแรงยิ่งทนต่อการใช้งานหนักได้ดี

ลองนึกภาพง่ายๆ แบบนี้ครับ เหมือนรถยนต์เครื่อง 1,200 CC กับ 3,000 CC พวกเครื่อง 1,200 CC ก็วิ่งได้ 180 กม./ชม. เหมือนกัน แต่พอขึ้นเขา หรือบรรทุกของหนักๆ เครื่อง 1,200 CC จะอืดและร้อนเร็วกว่า

DC vs AC ต่างกันแค่ชื่อหรือเรื่องใหญ่?

“ลู่วิ่งมอเตอร์ AC ส่วนใหญ่ราคาดีกว่า DC เกือบเท่าตัว แต่ถามตรงๆ ถ้าวิ่งไม่หนักมาก ซื้อ DC ก็พอ เหมือนซื้อ iPhone 15 Pro Max ทั้งที่แค่เล่นโซเชียลกับถ่ายรูป”

เมื่อปีที่แล้ว มีคู่รักคู่หนึ่งเข้ามาในร้าน แฟนผู้ชายเป็นคนจริงจังมาก มานั่งไล่ดูสเปคละเอียดยิบ ถามผมว่าระหว่าง DC กับ AC ต่างกันยังไง ควรเลือกแบบไหน ผมก็ถามกลับว่า “จะเอาไปใช้หนักแค่ไหน?”

เขาบอกว่าจะใช้กันสองคน วันละชั่วโมงนิดๆ แค่เดินเล่นกับวิ่งเบาๆ ผมเลยบอกว่า “งั้นเอา DC ก็พอ ประหยัดไปเป็นหมื่น เอาเงินไปกินข้าวกันดีกว่า”

เขาแปลกใจ คิดว่าผมจะเชียร์ของแพง แต่ผมบอกเลยว่ามอเตอร์ AC กับ DC ต่างกันตรงนี้ 

มอเตอร์ DC เหมือนรถเก๋งทั่วไป ใช้งานประจำวันได้สบาย แต่ถ้าบรรทุกของหนักหรือใช้งานหนักติดต่อกันนานๆ อาจจะร้อนและเสียได้ง่าย

ส่วนมอเตอร์ AC เหมือนรถกระบะ หรือรถสายพันธุ์หนักๆ ที่ทนทานกว่า ใช้งานหนักได้ แต่ก็ราคาแพงกว่าเยอะ

คนส่วนใหญ่ที่ซื้อลู่วิ่งไปใช้ที่บ้าน ใช้วันละไม่เกิน 2 ชั่วโมง มอเตอร์ DC ก็เพียงพอแล้ว ผมเคยขายลู่วิ่ง DC ให้ลูกค้าที่ใช้มาแล้ว 7 ปียังไม่พัง มอเตอร์ไม่เคยมีปัญหา

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ซ้อมวิ่งเข้าแข่งจริงจัง หรือที่บ้านมีคนใช้หลายคน หรือเอาไปตั้งในฟิตเนส ผมแนะนำ AC เลย เพราะมันทนกว่าจริงๆ

เคยมีลูกค้าผมคนหนึ่ง เขาชอบวิ่งแบบสุดขั้ว 3 ชั่วโมงติด วันเว้นวัน แถมตัวหนัก 100 กิโล ตอนแรกเขาประหยัดเลือกมอเตอร์ DC ใช้ไปแค่ 8 เดือน มอเตอร์ร้อนจนเสีย ตอนหลังต้องมาอัพเกรดเป็น AC ซึ่งตอนนี้ใช้มา 3 ปีแล้วยังดีอยู่

Peak HP กับ Continuous HP ต่างกันยังไง?

” มีลูกค้าคนหนึ่งโดนหลอกว่าลู่วิ่ง 6.5 แรงม้า แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ Peak HP ตอนทำงานจริงได้แค่ 2.5 แรงม้า วันดีคืนดีมอเตอร์ก็พังซะงั้น”

นี่คือสิ่งที่พวกโฆษณาออนไลน์หลอกกันบ่อยสุดๆ มาฟังเรื่องนี้กันหน่อย…

จำได้ไหมตอนเล็กๆ เคยผลักรถจักรยานยนต์ให้สตาร์ท มันจะกินไฟเยอะมากตอนสตาร์ทใช่ไหม? แต่พอติดแล้ว การใช้ไฟก็ลดลง

ลู่วิ่งก็เหมือนกัน มอเตอร์ลู่วิ่งมีค่ากำลังสองแบบ 

  • Peak HP (แรงม้าสูงสุด)  คือกำลังสูงสุดในช่วงสั้นๆ เช่นตอนเริ่มทำงานหรือเร่งความเร็ว
  • Continuous HP (แรงม้าต่อเนื่อง)  คือกำลังที่ทำงานได้ต่อเนื่องยาวนาน

เมื่อเดือนที่แล้วมีลูกค้ามาหาผมพร้อมใบเสร็จลู่วิ่งที่เพิ่งซื้อออนไลน์ ในสเปคบอกว่า “มอเตอร์แรง 7 แรงม้า!” ราคาแค่ 15,000 บาท

ผมได้ยินแล้วนี่หัวเราะเลย บอกเขาว่า “พี่ครับ 7 แรงม้าในราคานี้ ไม่มีทางเป็นไปได้ครับ นี่มันแรงม้าพีค (Peak HP) แน่ๆ”

ลู่วิ่งแบบนี้ที่โฆษณาว่าเป็น 7 แรงม้า จริงๆ แล้วอาจจะมีแรงม้าต่อเนื่อง (Continuous HP) แค่ 2-2.5 แรงม้าเท่านั้น ซึ่งถ้าเอาไปใช้หนักๆ เช่น คนน้ำหนัก 80 กิโลขึ้นไปวิ่งทุกวัน อาจจะใช้ได้แค่ 1-2 ปีก็พังแล้ว

ถ้าคุณเห็นลู่วิ่งราคาถูกที่โฆษณาว่ามี “มอเตอร์ 5 แรงม้า” ในราคาไม่ถึง 15,000 บาท ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่านี่เป็น Peak HP แน่นอน!

มีงานวิจัยจากวารสารการออกกำลังกายในอเมริกาเมื่อปี 2023 พบว่า ลู่วิ่งที่มี Continuous HP ต่ำกว่า 2.0 แรงม้า มีอายุการใช้งานเฉลี่ยสั้นกว่าลู่วิ่งที่มี Continuous HP 3.0 แรงม้าขึ้นไปถึง 60% เมื่อใช้งานหนักเป็นประจำ

เลือกแรงม้าแบบไหนดีสำหรับคุณ?

“ถ้าคุณหนัก 80 กิโลขึ้นไป แล้วซื้อลู่วิ่งที่มี Continuous HP ต่ำกว่า 2.5 แรงม้า ประกันได้เลยว่าจะมีปัญหามอเตอร์ภายใน 2 ปี”

ในฐานะที่ผมขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง และเคยมีลูกค้าโทรมาบ่นว่าลู่วิ่งพังเร็วนับไม่ถ้วน ผมมีสูตรง่ายๆ ในการเลือกแรงม้าลู่วิ่งให้เหมาะกับคุณครับ

  • ถ้าคุณน้ำหนักตัว 50-70 กิโล และแค่เดินเร็วหรือวิ่งเบาๆ  Continuous HP 2.0-2.5 แรงม้าก็พอ
  • ถ้าคุณน้ำหนักตัว 70-90 กิโล หรือเป็นนักวิ่งจริงจัง  Continuous HP 3.0-3.5 แรงม้า จะดีกว่า
  • ถ้าคุณน้ำหนักตัว 90 กิโลขึ้นไป หรือมีคนใช้ลู่วิ่งหลายคนในบ้าน  Continuous HP 4.0 แรงม้าขึ้นไป ถึงจะอุ่นใจ

ผมเคยมีลูกค้าคู่สามีภรรยา สามีหนัก 120 กิโล ภรรยาหนัก 50 กิโล มาเลือกลู่วิ่งด้วยกัน ภรรยาชี้ลู่วิ่งเล็กๆ ราคาถูก แต่ผมเตือนไปว่า “พี่ครับ ลู่วิ่งตัวนี้มอเตอร์แค่ 2.0 แรงม้า พี่ชายหนัก 120 กิโล ขึ้นไปวิ่งเดี๋ยวพัง”

พวกเขาเลยตัดสินใจซื้อลู่วิ่งที่แรงกว่า ถึงราคาจะแพงกว่าประมาณ 8,000 บาท แต่ก็คุ้มกว่า มาวันนี้ใช้มา 3 ปีแล้วยังวิ่งลื่น ไม่มีปัญหาอะไร

คำแนะนำส่วนตัวจากผม ถ้าคุณไม่แน่ใจ ให้เลือกแรงม้ามากกว่าที่คิดว่าจำเป็นไว้สัก 0.5-1.0 แรงม้า เพราะมันจะช่วยให้ลู่วิ่งอยู่กับคุณได้นานขึ้น

ทางร้าน Runathome ของผมมีลู่วิ่งหลายรุ่นให้เลือกตั้งแต่ Continuous HP 2.0 จนถึง 5.0 แรงม้า เหมาะกับทุกความต้องการ แต่รุ่นขายดีที่สุดคือรุ่น A3 ที่มี Continuous HP 3.5 แรงม้า ซึ่งเหมาะกับคนทั่วไปที่น้ำหนักไม่เกิน 90 กิโล

 

ขนาดสายพานสำคัญยังไง? สายพานแบบไหนไม่เสี่ยงตกข้าง?

“เคยเห็นคลิปนั้นไหม ที่คนวิ่งบนลู่วิ่งแล้วร่วงลงไปเพราะสายพานแคบไป? ให้ผมเดาว่าเขาซื้อลู่วิ่งโดยไม่ได้สนใจขนาดสายพานเลย”

กว้างแค่ไหนถึงวิ่งได้ไม่อึดอัด?

“สายพานแคบๆ เหมือนเดินบนไม้กระดาน ผิดนิดเดียวก็ล้ม สายพานกว้างเหมือนเดินบนทางเท้า ผิดนิดก็ยังอยู่บนพื้นที่ปลอดภัย”

นึกถึงตอนที่ผมตามแฟนไปเที่ยวเกาะ มีสะพานแคบๆ ข้ามระหว่างเกาะ เท้าของผมเกือบไม่มีที่วาง เดินแล้วรู้สึกไม่มั่นคงเลย เหมือนก้าวผิดนิดเดียวก็ตกทะเล

ลู่วิ่งก็เหมือนกัน ถ้าสายพานแคบเกินไป วิ่งแล้วเหมือนไม่มีพื้นที่ให้ผิดพลาด ต้องวิ่งตรงๆ ตลอด แถมถ้าคุณเป็นคนที่วิ่งแล้วส่ายไปส่ายมา หรือก้าวไม่สม่ำเสมอ โอกาสเสียหลักมีมาก

สำหรับขนาดสายพาน ผมขอแนะนำแบบนี้ 

  • สำหรับคนตัวเล็ก (น้ำหนักไม่เกิน 60 กิโล, ส่วนสูงไม่เกิน 165 ซม.)  สายพานกว้าง 42-45 ซม. ก็พอใช้ได้ แต่ถ้าเกิน 45 ซม. จะดีกว่า
  • สำหรับคนทั่วไป (น้ำหนัก 60-90 กิโล, ส่วนสูง 165-178 ซม.)  ควรใช้สายพานกว้าง 48-50 ซม. จะวิ่งได้สบายกว่า
  • สำหรับคนตัวใหญ่ (น้ำหนัก 90 กิโลขึ้นไป, ส่วนสูง 180 ซม. ขึ้นไป)  ควรใช้สายพานกว้าง 50 ซม. ขึ้นไป ถ้าได้ 55-60 ซม. จะยิ่งดี

อย่าลืมเรื่องความยาวด้วยนะ ถ้าคุณสูงเกิน 178 ซม. ควรเลือกลู่วิ่งที่สายพานยาวอย่างน้อย 130 ซม. ขึ้นไป เพราะก้าวของคุณจะยาวกว่าคนทั่วไป

มีอีกเรื่องที่คนมักลืมคิด… ถ้าคุณชอบวิ่งเร็วจริงๆ เช่น วิ่งที่ความเร็ว 15-20 กม./ชม. คุณจำเป็นต้องใช้สายพานที่ยาวกว่าปกติ เพราะก้าวของคุณจะยาวขึ้นมาก

ความหนาและลายสายพานช่วยลดแรงกระแทกได้จริงไหม?

“เคยไหม? วิ่งไป 20 นาที แล้วเข่าเริ่มปวด นั่นเพราะสายพานบางเกินไป แรงกระแทกส่งผ่านไปที่ข้อเข่าโดยตรง”

ผมยังจำวันที่ไปลองวิ่งบนลู่วิ่งราคาถูกที่ห้างแห่งหนึ่ง วิ่งได้แค่ 15 นาที เข่าปวดจนต้องหยุด สงสัยเลยลองเอามือไปกดดูที่สายพาน โอ้โห… บางมาก กดลงไปนิดเดียวนิ้วผมแทบโดนกระดานด้านล่าง

ความหนาของสายพานสำคัญมากกับการลดแรงกระแทก โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีปัญหาข้อเข่า หรือน้ำหนักเยอะ

ลู่วิ่งที่ดีควรมีสายพานหนาอย่างน้อย 1.6 มิลลิเมตรขึ้นไป (สำหรับเดินเบาๆ) แต่ถ้าคุณเป็นคนวิ่งหนักหรือน้ำหนักเยอะ ควรเลือกความหนา 1.8-2.5 มิลลิเมตร

ส่วนเรื่องลายของสายพาน มันไม่ได้มีไว้ให้สวยงามอย่างเดียวนะ แต่ช่วยในเรื่องการยึดเกาะด้วย

ลู่วิ่งของ Runathome เรามีสายพาน 3 แบบหลักๆ 

  • ลายไดม่อน  เป็นลายพื้นฐาน ยึดเกาะดี ใช้ได้ทั้งรองเท้าผ้าใบธรรมดาและรองเท้าวิ่งพื้นเรียบ
  • ลายลูกกอล์ฟ  ให้แรงยึดเกาะสูงกว่า เหมาะกับคนที่เหงื่อออกเยอะหรือวิ่งเร็ว
  • ลายล้อรถ  ยึดเกาะสูงสุด เหมาะกับการวิ่งความเร็วสูงหรือใช้ในฟิตเนส

ผมเคยเจอลูกค้าที่ซื้อลู่วิ่งราคาถูกที่สายพานเป็นแบบเรียบๆ ไม่มีลาย เขาบอกว่าพอเหงื่อออกเยอะๆ รู้สึกลื่น เท้าเริ่มลื่นไถลเวลาวิ่ง

เรื่องที่คนไม่ค่อยรู้อีกอย่างคือ ท้องสายพาน ซึ่งเป็นส่วนด้านใน

ลู่วิ่งคุณภาพดีจะมี “ท้องผ้าผสมไนลอน” ไม่ใช่แค่ผ้าธรรมดา เพราะไนลอนช่วยให้สายพานแข็งแรง ทนต่อการฉีกขาด และลื่นไถลบนแกนได้ดี ไม่สะดุด

ผมเคยเจอลู่วิ่งถูกๆ ที่ท้องสายพานเป็นแค่ผ้าธรรมดา ใช้ไป 6 เดือนสายพานเริ่มยืด วิ่งแล้วรู้สึกเหมือนสะดุดทุก 2-3 ก้าว ต้องเปลี่ยนสายพานใหม่ทั้งๆ ที่ใช้งานไม่นาน

ลายไดม่อน / ลายลูกกอล์ฟ / ลายล้อรถ ต่างกันยังไง?

“ลายบนสายพานไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม มันเหมือนดอกยางรถยนต์ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละแบบ”

นั่นแหละปัญหา! สายพานแต่ละลายมีจุดประสงค์ต่างกัน เหมือนกับรองเท้าวิ่งที่มีพื้นหลายแบบเพื่อใช้ในสภาพต่างๆ

  • ลายไดม่อน  นี่คือลายพื้นฐานที่พบในลู่วิ่งทั่วไป ลายคล้ายๆ เพชร หรือสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงต่อกัน ให้การยึดเกาะปานกลาง เหมาะกับคนที่เดินหรือวิ่งเบาๆ ความเร็วไม่เกิน 10 กม./ชม.
  • ลายลูกกอล์ฟ  ลายนี้จะคล้ายผิวลูกกอล์ฟ มีจุดนูนเล็กๆ กระจายทั่วพื้นผิว ให้การยึดเกาะดีกว่าลายไดม่อน โดยเฉพาะเมื่อมีเหงื่อ เหมาะกับคนที่วิ่งเร็วระดับ 10-15 กม./ชม. และมักมีเหงื่อออกเยอะ
  • ลายล้อรถ  นี่คือลายที่ให้การยึดเกาะสูงสุด คล้ายดอกยางรถยนต์ มีร่องลึกและสันนูนชัดเจน เหมาะกับนักวิ่งจริงจังที่วิ่งเร็วเกิน 15 กม./ชม. หรือลู่วิ่งที่ใช้ในฟิตเนสที่มีคนใช้หลากหลายรูปแบบ

ผมเองตอนซ้อมวิ่งมาราธอนที่บ้าน เลือกลู่วิ่งลายล้อรถเพราะต้องซ้อมที่ความเร็วสูงบ่อยๆ แล้วเหงื่อผมออกเยอะมาก ลายนี้ช่วยให้ผมวิ่งอย่างมั่นใจไม่ต้องกลัวลื่น

ลูกค้าที่เข้ามาหาผมวันนั้น สุดท้ายเขาตัดสินใจเปลี่ยนสายพานเป็นลายลูกกอล์ฟ และบอกว่ามันช่วยได้มาก วิ่งได้สบายขึ้นเยอะ จากที่เคยต้องหยุดวิ่งเพื่อเช็ดเหงื่อบ่อยๆ

นอกจากลายแล้ว ความหนาของสายพานก็สำคัญ สายพานลู่วิ่งคุณภาพดีควรหนาอย่างน้อย 1.8 มิลลิเมตรขึ้นไป ที่ร้านของผม Runathome เราเลือกใช้สายพานหนา 1.8-2.5 มิลลิเมตรในทุกรุ่น เพื่อความทนทานและความสบายในการวิ่ง

 

ความชันลู่วิ่งจำเป็นแค่ไหน? มีไว้ทำไม?

“ถ้าคุณวิ่งบนพื้นราบอย่างเดียว ร่างกายจะเคยชิน พอไปวิ่งจริงเจอทางขึ้นเขานิดเดียวก็หอบแล้ว”

วิ่งบนพื้นเรียบตลอดดีไหม หรือควรมีความชัน?

“เคยไหม? วิ่งบนลู่วิ่งได้ 10 กิโลสบายๆ แต่พอไปวิ่งข้างนอกจริงๆ แค่ 3 กิโล เข่าแทบระเบิด หายใจไม่ทัน นั่นเพราะลู่วิ่งของคุณไม่มีความชัน”

ช่วงที่ผมเริ่มซ้อมมาราธอนครั้งแรก ผมซ้อมบนลู่วิ่งที่บ้านเป็นหลัก ลู่วิ่งผมไม่มีความชัน วิ่งได้ไกล 15 กิโลฯ สบายๆ นึกว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว

พอถึงวันแข่ง ไปเจอเส้นทางในกรุงเทพฯ ที่มีทั้งสะพาน ทางลาด ทางขึ้นทางลง… โอ้พระเจ้า แค่วิ่งได้ 8 กิโลฯ ขาผมสั่นไปหมด เหนื่อยจนแทบไม่อยากวิ่งต่อ

นั่นคือบทเรียนราคาแพงที่ทำให้ผมรู้ว่า การซ้อมวิ่งบนพื้นราบอย่างเดียวทำให้ร่างกายไม่เคยชินกับการวิ่งขึ้นเนิน แม้จะเป็นเนินเล็กๆ ก็ทำให้ร่างกายทำงานหนักขึ้นมาก

ลู่วิ่งที่มีความชันจริงๆ แล้วมีประโยชน์มากมาย 

  • เพิ่มความท้าทาย  วิ่งเดินแบบราบๆ พอทำไปนานๆ มันจะเบื่อ การปรับความชันขึ้นเป็นระยะ ทำให้การออกกำลังกายสนุกและท้าทายขึ้น
  • เผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น  คุณรู้ไหมว่าวิ่งที่ความชัน 3% ใช้พลังงานมากกว่าวิ่งบนพื้นราบที่ความเร็วเดียวกันถึง 23%? เห็นไหมว่ามันต่างกันลิบลับ
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อขา  การวิ่งขึ้นที่ชันช่วยสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางและกล้ามเนื้อขาส่วนล่างได้ดีมาก โดยเฉพาะน่องและต้นขาด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่คนวิ่งมักละเลย

เตรียมความพร้อมสำหรับการวิ่งจริง  เส้นทางวิ่งจริงไม่ได้ราบเรียบเหมือนในห้อง การฝึกวิ่งที่ความชันต่างๆ ทำให้พร้อมสำหรับสภาพจริง

ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอซ้อมวิ่งที่สวนเพื่อเตรียมตัวไปวิ่งมาราธอนที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีเนินเขาเยอะ เธอซ้อมในสวนที่ค่อนข้างราบเรียบ พอไปวิ่งจริง เธอทำเวลาแย่มาก แถมเจ็บเข่าหนักจนต้องหยุดวิ่ง

พอกลับมา เธอเลยซื้อลู่วิ่งที่ปรับความชันได้ถึง 15% เพื่อซ้อมให้ตรงกับสภาพจริงมากขึ้น ปีต่อมาเธอกลับไปวิ่งที่เชียงใหม่อีกครั้ง ทำเวลาดีขึ้นถึง 30 นาที และไม่มีอาการบาดเจ็บเลย

แม้แต่ตอนที่ผมซ้อมเพื่อวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok ปีที่แล้ว ผมก็ใช้ลู่วิ่งที่ปรับความชันได้ เพราะเส้นทางมีทั้งสะพานพระราม 8 และสะพานพระราม 7 ซึ่งชันมาก ผมต้องปรับความชันลู่วิ่งเป็น 8-10% เพื่อจำลองสภาพสะพานพวกนั้น

ปรับความชันแบบแมนนวล vs อัตโนมัติ อะไรดีกว่า?

“ถามจริง คุณอยากวิ่งถึงตรงที่ต้องปรับความชัน แล้วต้องลงจากลู่มาปรับด้วยตัวเองไหม? เหมือนกำลังดูหนังสนุกๆ แล้วต้องลุกไปกดเปลี่ยนช่องเอง มันทำลายอารมณ์สุดๆ”

ผมเคยเจอลูกค้าคนหนึ่งซื้อลู่วิ่งออนไลน์ราคาถูก 8,990 บาท เขาดีใจมากที่ลู่วิ่งมี “ปรับความชันได้ 3 ระดับ” แต่พอเอามาใช้จริง ต้องหยุดวิ่ง ลงจากลู่ ไปยกสายพานขึ้นแล้วหมุนที่ล็อคสองข้าง

เขาบอกว่า “พี่หมิง ผมแทบไม่เคยปรับความชันเลย มันยุ่งยากเกินไป กว่าจะปรับเสร็จเหงื่อแห้งหมดแล้ว”

นี่แหละครับ ความแตกต่างระหว่างความชันแบบแมนนวลกับแบบอัตโนมัติ มันห่างกันคนละขั้ว

  • ความชันแบบแมนนวล  ข้อดีคือราคาถูก แต่ข้อเสียคือ คุณต้องหยุดวิ่ง ลงจากลู่ แล้วไปปรับด้วยตัวเอง ซึ่งยุ่งยากมาก และทำลายโมเมนตัมของการวิ่งหมด
  • ความชันแบบอัตโนมัติ  กดปุ่มบนแผงควบคุมหรือที่มือจับ แล้วลู่วิ่งจะปรับระดับเองทันที วิ่งไปปรับไปได้ สะดวกมาก

งานวิจัยด้านการออกกำลังกายที่ผมเคยอ่านมา พบว่าการวิ่งสลับระดับความชันช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการวิ่งบนพื้นราบถึง 40% ในเวลาเท่ากัน แต่คนส่วนใหญ่ที่ซื้อลู่วิ่งแบบปรับด้วยมือมักจะไม่ค่อยปรับความชัน เพราะมันยุ่งยากเกินไป

คำแนะนำของผม ถ้างบประมาณมีจำกัด ให้เลือกลู่วิ่งที่ความชันแบบแมนนวลไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าพอมีงบเพิ่มอีกสัก 5,000-7,000 บาท ผมแนะนำให้อัพเกรดเป็นแบบปรับความชันอัตโนมัติดีกว่า มันคุ้มค่ากว่ามาก

ที่ร้าน Runathome ของผม รุ่น A3 เป็นรุ่นที่ปรับความชันอัตโนมัติได้ถึง 15 ระดับ ในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ และเป็นหนึ่งในรุ่นขายดีที่สุดของเรา

ความชันกับการซ้อมวิ่งจริง  ฟังจากประสบการณ์โค้ชหมิง

“เชื่อผมเถอะ การวิ่งขึ้นเขาจริงๆ กับวิ่งบนลู่ที่มีความชัน มันเหมือนคนละโลก ถ้าไม่เคยซ้อมขึ้นเนิน พอไปวิ่งจริง จะรู้สึกเหมือนมีใครเอาปูนมาถมขา”

เมื่อสองปีก่อน ผมไปวิ่ง Laguna Phuket Marathon ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขึ้นๆ ลงๆ เยอะมาก มีเนินสูงชันหลายจุด

ก่อนไปผมซ้อมโดยปรับความชันลู่วิ่งตั้งแต่ 3% จนถึง 12% เพื่อเตรียมร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้น พอไปวิ่งจริง ก็ยังรู้สึกว่ามันหนักกว่าที่ซ้อมมาเยอะ

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เพราะการวิ่งบนลู่และการวิ่งจริงมันต่างกัน 

  • การวิ่งบนลู่  พื้นเคลื่อนที่มาหาเรา เราแค่ยกเท้าขึ้นลง ลู่พาเราไปข้างหน้า
  • การวิ่งจริง  เราต้องออกแรงดันตัวเองไปข้างหน้า ต้องเอาชนะแรงเสียดทานกับพื้น และต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงเมื่อวิ่งขึ้นเนิน

นี่คือเหตุผลที่ทำไมการซ้อมบนลู่วิ่งที่มีความชันถึงสำคัญมาก เพราะมันช่วยเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับความยากของเส้นทางจริง

ผมใช้เทคนิคการซ้อมที่เรียกว่า “Hill Repeats” คือวิ่งขึ้นที่ชันช่วงสั้นๆ 30-60 วินาที ที่ความชัน 8-12% แล้วพักด้วยการวิ่งบนพื้นราบหรือเดิน 1-2 นาที จากนั้นก็ทำซ้ำประมาณ 6-10 รอบ

การซ้อมแบบนี้ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขา และพัฒนาระบบหัวใจและปอดได้ดีมาก ซึ่งจำเป็นมากตอนไปวิ่งจริง

ไม่นานมานี้ ผมสอนเทคนิคนี้ให้กับลูกค้าที่กำลังจะไปวิ่ง Amazing Thailand Marathon Bangkok ซึ่งมีสะพานพระราม 8 เป็นจุดที่ชันที่สุดในเส้นทาง

เขาซ้อมตามที่ผมแนะนำ ใช้ลู่วิ่งรุ่น A5 ที่ปรับความชันได้ถึง 15% หลังจากซ้อมอย่างสม่ำเสมอ 2 เดือน เขากลับมาบอกผมด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หมิง ผมขึ้นสะพานพระราม 8 สบายมาก เหมือนวิ่งบนพื้นราบเลย”

นั่นเป็นเพราะร่างกายของเขาคุ้นเคยกับการวิ่งขึ้นที่ชันแล้ว ทั้งกล้ามเนื้อและหัวใจของเขาแข็งแรงพอที่จะรับมือกับความท้าทายนั้น

ถ้าคุณตั้งใจจะวิ่งแข่งจริงจัง โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีเนิน การมีลู่วิ่งที่ปรับความชันได้ไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเลยทีเดียว

 

ศัพท์ลู่วิ่งอื่น ๆ ที่มือใหม่มักไม่รู้แต่ควรรู้

ระบบซับแรงกระแทกคืออะไร?

“ลู่วิ่งดีๆ ต้องวิ่งแล้วรู้สึกเหมือนวิ่งบนเมฆ ไม่ใช่วิ่งแล้วรู้สึกเหมือนกระโดดลงบนพื้นปูน”

เมื่อหลายปีก่อน ผมไปวิ่งที่บ้านเพื่อน ลู่วิ่งของเขาเป็นรุ่นถูกๆ ไม่มีระบบซับแรงกระแทก วิ่งได้แค่ 15 นาที เข่าผมปวดจนต้องหยุด รู้สึกเหมือนวิ่งบนพื้นคอนกรีต แทบไม่มีการรองรับแรงกระแทกเลย

ตัวระบบซับแรงกระแทกนี่แหละ ที่ทำให้ลู่วิ่งราคาแพงกับราคาถูกรู้สึกต่างกันลิบลับ แม้จะมีขนาดสายพานและแรงม้าเท่ากัน

ระบบซับแรงกระแทกของลู่วิ่ง มีหลายแบบ 

  • สปริง  ลู่วิ่งระดับกลางมักใช้สปริงวางตามจุดต่างๆ ใต้สายพาน บางรุ่นมี 4 จุด บางรุ่นมี 6 จุด หรือมากกว่า ยิ่งมีเยอะยิ่งนุ่ม
  • ยางกันกระแทก  จะเห็นเป็นก้อนยางเล็กๆ วางใต้สายพาน ราคาถูกกว่าสปริง แต่อาจจะนุ่มน้อยกว่า
  • โช๊คสปริงคู่  นี่คือระบบที่ดีที่สุด มักพบในลู่วิ่งระดับพรีเมียม ช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดีมาก และปรับสมดุลตามน้ำหนักของผู้วิ่ง

ผมมีลูกค้าคนหนึ่ง เป็นนักวิ่งสูงอายุ มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม เขาเคยซื้อลู่วิ่งราคาถูกที่ไม่มีระบบซับแรงกระแทกที่ดี วิ่งได้แค่ 10 นาที เข่าบวมเจ็บ ต้องหยุดพักเป็นอาทิตย์

พอเขามาซื้อลู่วิ่งที่มีระบบโช๊คสปริงคู่จากร้านผม เขาบอกว่า “รู้สึกเหมือนวิ่งบนพรมหนาๆ เลย” วิ่งได้ 30 นาทีไม่มีอาการปวดเข่าเลย

เวลาซื้อลู่วิ่ง อย่ามองแค่ราคาถูก สังเกตดูว่ามันมีระบบซับแรงกระแทกหรือเปล่า และเป็นแบบไหน เพราะนี่คือสิ่งที่จะช่วยปกป้องข้อเข่าและข้อต่อของคุณ โดยเฉพาะถ้าคุณวิ่งเป็นประจำหรือมีน้ำหนักเยอะ

ผมเคยไปทดสอบลู่วิ่งระดับพรีเมียมของยุโรป ที่ใช้ในยิมหรูๆ มันนุ่มมาก วิ่งแล้วแทบไม่รู้สึกว่าเท้ากระแทกพื้น ราคาเริ่มต้นที่ 150,000 บาท!

แต่ไม่ต้องห่วง ลู่วิ่งระดับกลางอย่างรุ่น A5 ของผมก็มีระบบโช๊คสปริงคู่ในราคาที่จับต้องได้ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงขนาดนั้น เพื่อได้ความนุ่มที่พอเพียง

ระบบพับไฮโดรลิคต่างจากพับธรรมดายังไง?

“ลู่วิ่งหนักเป็นร้อยกิโล คิดดูสิว่าถ้าต้องยกมันขึ้นลงด้วยแรงของตัวเอง… สงสัยต้องจ้างกระเป๋ารถไฟมาช่วยยก”

วันก่อน มีลูกค้าผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่ง เธอน้ำหนักแค่ 45 กิโล ซื้อลู่วิ่งระบบพับธรรมดาไปใช้ที่คอนโด

สองอาทิตย์ต่อมา เธอโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงเครียด 

“พี่หมิง คือหนูยกลู่วิ่งไม่ขึ้น มันหนักมาก พอพับแล้วต้องยกขึ้นตั้ง แต่หนูยกไม่ไหว ต้องรอแฟนกลับมาช่วยทุกที แต่บางวันเขากลับดึก หนูเลยต้องเอากองผ้าไปกั้นไว้ เพราะกลัวแมวจะไปเดินบนสายพาน”

นี่แหละครับ ปัญหาของระบบพับธรรมดา คุณต้องใช้แรงยกเองทั้งหมด ซึ่งลู่วิ่งเครื่องนึงหนักเป็นร้อยกิโล ไม่ใช่ทุกคนจะยกไหว

ต่างกับระบบพับไฮโดรลิค ที่มีกระบอกไฮโดรลิค (คล้ายๆ โช้คประตูท้ายรถ) ช่วยรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของลู่วิ่ง ทำให้คุณใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็พับเก็บได้

ผมเคยเห็นคุณป้าอายุ 70 สามารถพับลู่วิ่งระบบไฮโดรลิคได้อย่างสบาย ทั้งที่ลู่วิ่งหนักเกือบ 80 กิโล

อีกประเด็นคือความปลอดภัย ระบบพับธรรมดา ถ้าพับไม่ดี หรือระบบล็อคไม่แน่น มันอาจจะร่วงลงมาได้ อาจจะทับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงได้

ระบบไฮโดรลิคมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะมันค่อยๆ ลดระดับลงอย่างนุ่มนวล แม้คุณจะปล่อยมือโดยไม่ได้ตั้งใจ

นี่คือเหตุผลที่ทำไมผมแนะนำให้ลูกค้าที่อยู่คอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด เลือกลู่วิ่งที่มีระบบพับไฮโดรลิคเสมอ โดยเฉพาะผู้หญิงหรือผู้สูงอายุที่อาจจะไม่มีแรงมากพอ

ลูกค้ารายนั้นสุดท้ายตัดสินใจเทรดอัพเป็นรุ่นที่มีระบบพับไฮโดรลิค เธอบอกว่ามันเปลี่ยนชีวิตเลย เพราะตอนนี้เธอสามารถพับเก็บได้เองโดยไม่ต้องรอใคร

รุ่น A1, A3 และ A5 ของ Runathome ทั้งหมดใช้ระบบพับไฮโดรลิค เพราะผมรู้ว่าความสะดวกในการใช้งานสำคัญแค่ไหน

ฟังก์ชันเชื่อมต่อ Zwift / Bluetooth มีประโยชน์แค่ไหน?

“สมัยก่อนวิ่งลู่วิ่งแบบมองกำแพงขาวๆ น่าเบื่อชะมัด ทุกวันนี้ ผมวิ่งบนภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์บ้าง ทะเลในฮาวายบ้าง ทั้งที่อยู่ในห้องนอนตัวเอง”

เมื่อปีที่แล้ว ผมมีลูกค้าคนหนึ่งที่เคยเป็นนักปั่นจักรยาน มาถามเรื่องลู่วิ่งที่เชื่อมต่อ Zwift ได้ ผมงงมาก เพราะปกติ Zwift เป็นแอพสำหรับปั่นจักรยานนี่

เขาเลยอธิบายให้ฟังว่า Zwift ตอนนี้รองรับการวิ่งด้วย และมันเปลี่ยนประสบการณ์การวิ่งบนลู่วิ่งไปโดยสิ้นเชิง

มันคืออะไร? Zwift เป็นแอพที่จำลองการวิ่งเสมือนจริงในโลกเสมือน คุณสามารถวิ่งในเส้นทางสวยๆ ทั่วโลก แข่งกับคนอื่นแบบเรียลไทม์ และติดตามความก้าวหน้าได้

เรื่องน่าตื่นเต้นคือ ถ้าในเกมมีเนินขึ้นเขา ลู่วิ่งของคุณจะปรับความชันขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกเหมือนวิ่งในสถานที่จริงๆ

“ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อกับการวิ่งบนลู่อีกเลย ตอนนี้วิ่งวันละชั่วโมงสบายๆ เพราะมันเหมือนได้ท่องโลก”

นอกจาก Zwift แล้วยังมีแอพอื่นๆ อีก เช่น FITIME ที่ให้คุณติดตามสถิติการวิ่ง ดูความก้าวหน้า และมีโปรแกรมฝึกให้ทำตาม

ที่สำคัญ การเชื่อมต่อ Bluetooth ยังช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ เช่น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือสมาร์ทวอทช์ ทำให้ติดตามข้อมูลการออกกำลังกายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ผมเคยลองวิ่ง Virtual Race ผ่าน Zwift กับลูกค้าหลายคน มันสนุกมาก คุณวิ่งไปพร้อมกับคนอื่นๆ ทั่วโลกแบบเรียลไทม์ มีคนเชียร์ มีคะแนน มีรางวัล ทำให้มีแรงจูงใจในการวิ่งมากขึ้น

แต่มีข้อควรรู้คือ ไม่ใช่ลู่วิ่งทุกรุ่นจะเชื่อมต่อกับแอพพวกนี้ได้ คุณต้องดูว่ามันรองรับ Bluetooth และแอพที่คุณต้องการใช้หรือไม่

ที่ร้าน Runathome ของผม ลู่วิ่งทุกรุ่นตั้งแต่ A1 ขึ้นไป รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และใช้งานกับ Zwift และ FITIME ได้ ซึ่งช่วยให้การวิ่งบนลู่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ช่องหยอดน้ำมัน หรือแทงค์เติมอัตโนมัติ ช่วยเรื่องการดูแลยังไง?

“สมัยก่อน การหยอดน้ำมันลู่วิ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องยกสายพาน เทน้ำมันลงไป เกลี่ยให้ทั่ว… ตอนนี้? แค่หยอดลงช่อง กดปุ่ม เครื่องทำงานให้เอง สบายมาก”

แต่ลู่วิ่งรุ่นใหม่ตอนนี้มีสองระบบที่ช่วยให้การดูแลง่ายขึ้นมาก 

  • ช่องหยอดน้ำมัน  มีช่องเล็กๆ ที่คุณแค่หยอดน้ำมันลงไป ไม่ต้องยกสายพาน ไม่ต้องเปิดฝาครอบ สะดวกมาก
  • แทงค์เติมอัตโนมัติ  นี่คือระบบที่ล้ำสุด มีถังเก็บน้ำมันในตัว คุณเติมน้ำมันเข้าไปครั้งเดียว แล้วมันจะค่อยๆ จ่ายน้ำมันให้สายพานอัตโนมัติ บางรุ่นเติมครั้งเดียวใช้ได้เป็นปี

ผมเคยขายลู่วิ่งรุ่น A3 ที่มีระบบแทงค์เติมอัตโนมัติให้คุณลุงคนหนึ่ง เขาบอกว่าชอบมากเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการบำรุงรักษา แค่เติมน้ำมันครั้งเดียวตอนซื้อ แล้วใช้ไปเลย 6 เดือนยังไม่ต้องเติมใหม่

การบำรุงรักษาที่ง่ายแบบนี้ช่วยยืดอายุลู่วิ่งได้มาก เพราะคนจะไม่ขี้เกียจดูแล สายพานได้รับการหล่อลื่นสม่ำเสมอ มอเตอร์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป

ผมขอแนะนำอย่างยิ่งให้เลือกลู่วิ่งที่มีช่องหยอดน้ำมันเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าได้แบบแทงค์เติมอัตโนมัติจะดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่อยากยุ่งยากกับการบำรุงรักษา

งานวิจัยจากผู้ผลิตลู่วิ่งรายใหญ่พบว่า ลู่วิ่งที่ได้รับการหล่อลื่นสม่ำเสมอจะมีอายุการใช้งานยาวกว่าลู่วิ่งที่ไม่ได้รับการดูแลถึง 50%

 

เปรียบเทียบศัพท์ลู่วิ่งในรุ่นยอดนิยมจาก RunatHome

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง ผมได้เห็นว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มต้องการอะไรแตกต่างกัน ผมจึงสรุปคุณสมบัติหลักๆ ของลู่วิ่งแต่ละรุ่นที่ขายดีในร้านของผม ให้คุณเลือกได้ตรงความต้องการมากที่สุด 

รุ่น A1 – เริ่มต้น (9,990 บาท) 

  • มอเตอร์ DC  3.0 แรงม้า
  • สายพานขนาด  43 x 114 ซม.
  • ความเร็วสูงสุด  14.8 กม./ชม.
  • ความชัน  ปรับแบบแมนนวล 0-3 ระดับ
  • ซับแรงกระแทก  สปริง 6 จุด
  • ระบบหยอดน้ำมัน  ช่องหยอด
  • รับน้ำหนักได้  100 กิโล

เหมาะสำหรับ  มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มวิ่ง, คนที่ต้องการเดินเพื่อสุขภาพ, พื้นที่จำกัด

รุ่น A3 – มาตรฐาน (14,900 บาท) 

“รุ่นนี้ขายดีที่สุดในร้านผม เพราะมันคือจุดกลางที่ลงตัวสำหรับคนส่วนใหญ่ ทั้งแรงม้า ขนาด และฟังก์ชัน คุ้มค่าสุดๆ”

ผมมีลูกค้าคู่หนึ่ง สามีภรรยา มาเลือกลู่วิ่งที่ร้าน แฟนผู้หญิงอยากได้รุ่นเล็กๆ ราคาถูก แต่สามีเป็นคนตัวใหญ่ อยากได้รุ่นใหญ่ ผมเลยแนะนำรุ่น A3 เป็นทางลงตัว

หลังจากใช้ไป 3 เดือน เขาโทรมาขอบคุณผม บอกว่าใช้กันทั้งบ้าน ทั้งพี่ น้อง พ่อแม่ พอเอาไปวางในห้องออกกำลังกาย ทุกคนเข้ามาลองใช้หมด

รุ่นนี้มีมอเตอร์ DC 3.5 แรงม้า ซึ่งแรงพอสำหรับคนน้ำหนักไม่เกิน 120 กิโล สายพานกว้าง 46 ซม. ยาว 124 ซม. กำลังดีไม่แคบเกินไป ปรับความชันได้ถึง 15 ระดับแบบอัตโนมัติ ทำให้วิ่งสนุกและท้าทายมากขึ้น

ที่สำคัญคือมีระบบหยอดน้ำมันแบบแทงค์เติมอัตโนมัติ ทำให้บำรุงรักษาง่าย และเชื่อมต่อกับแอพ Zwift และ FITIME ได้ด้วย ช่วยให้การวิ่งไม่น่าเบื่อ

รุ่น A5 – ครอบครัว (25,900 บาท) 

“ถ้าที่บ้านมีสมาชิกหลายคน ตั้งแต่เด็กถึงวัยกลางคน หรือคุณเป็นนักวิ่งตัวจริง รุ่นนี้โคตรคุ้ม”

คุณลุงคนหนึ่งมาหาผมพร้อมกับเมียและลูกชายวัยรุ่น เขาอยากได้ลู่วิ่งที่ทั้งครอบครัวใช้ได้ ลูกชายเล่นบาสเกตบอล ตัวสูงใหญ่ คุณลุงเองก็ตัวใหญ่ หนัก 95 กิโล ส่วนภรรยาตัวเล็ก ชอบเดินเบาๆ

ผมแนะนำรุ่น A5 ทันที เพราะมีสายพานกว้างถึง 58 ซม. ยาว 145 ซม. ใหญ่พอสำหรับคนตัวสูง และมอเตอร์ DC 5.0 แรงม้า ทนทานมาก รับน้ำหนักได้ถึง 150 กิโล ปรับความชันได้สูงสุด 15 ระดับ

ที่ลูกชายเขาชอบมากคือระบบซับแรงกระแทกแบบโช๊คสปริงคู่ ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าได้ดีมาก โดยเฉพาะสำหรับนักกีฬาที่ต้องกระโดดบ่อยๆ

ส่วนคุณลุงชอบจอ LED ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลชัดเจน ง่ายต่อการใช้งาน และมีโปรแกรมออกกำลังกายมากถึง 12 แบบ ให้เลือกได้ตามความต้องการ

รุ่น SONIC – คุณภาพสูง (17,900 บาท) 

“คนใช้ลู่วิ่งหนักๆ ควรเลือกรุ่นนี้เลย มอเตอร์ทนทานมาก เหมือนรถญี่ปุ่น ขับหนักแค่ไหนก็ไม่พัง”

ผมมีลูกค้าคนหนึ่งเป็นทหารเรือ เขาซื้อลู่วิ่งราคาถูกมาก่อนหน้านี้ ใช้ได้แค่ 8 เดือนก็พัง เพราะเขาวิ่งหนักทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง

พอมาซื้อครั้งใหม่ เขาบอกว่า “พี่หมิง ไม่เอาของถูกแล้ว เอาอะไรที่ทนๆ จะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนบ่อยๆ”

ผมแนะนำรุ่น SONIC ซึ่งมีจุดเด่นที่มอเตอร์ DC คุณภาพสูง 3.5 แรงม้า ทนทานมาก วิ่งต่อเนื่องได้นานกว่ารุ่นทั่วไป

สายพานยาวถึง 140 ซม. ทำให้วิ่งได้สบาย ไม่รู้สึกอึดอัด และปรับความชันได้สูงสุด 15% พร้อมระบบการวัดค่า Body Fat ของร่างกายได้ด้วย

หลังจากใช้ไป 1 ปี เขากลับมาหาผมอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะเครื่องพัง เขาแค่มาซื้อน้ำมันหล่อลื่น และบอกว่าลู่วิ่งยังใช้งานได้ดีมาก วิ่งแล้วเงียบ นุ่ม ไม่มีปัญหาอะไรเลย

รุ่น X20 – ฟิตเนสเกรด (39,990 บาท) 

“นี่คือรุ่นที่ผมขายให้คอนโดหรู โรงแรม หรือคนที่จริงจังกับการวิ่งมากๆ มันทนทานไม่ต่างจากที่ใช้ในฟิตเนสเลย”

เมื่อปีที่แล้ว มีเจ้าของคอนโดหรูย่านทองหล่อมาติดต่อผม เขาต้องการลู่วิ่งคุณภาพสูงไปติดตั้งในห้องออกกำลังกายส่วนกลาง

ผมแนะนำรุ่น X20 ซึ่งใช้มอเตอร์ AC 4.5 แรงม้า (2.5CP) ที่ทนทานกว่ามอเตอร์ DC มาก เหมาะสำหรับการใช้งานหนักและใช้งานโดยคนหลายคน

สายพานขนาดใหญ่ กว้าง 53 ซม. ยาว 151 ซม. รองรับน้ำหนักได้ถึง 160 กิโล ปรับความชันได้สูงสุด 15 ระดับ

หน้าจอ LCD ขนาด 7 นิ้ว มีโปรแกรมอัตโนมัติถึง 18 แบบ และเชื่อมต่อกับแอพ Zwift, Fs, Body Fat ได้

หลังจากติดตั้งไป 6 เดือน ผู้จัดการคอนโดโทรมาบอกว่า ลูกบ้านชอบมาก วิ่งกันทุกวัน แต่เครื่องยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม ไม่มีปัญหาอะไรเลย

 

ถาม-ตอบกับโค้ชหมิง  ศัพท์ไหนที่ทำให้คนเข้าใจผิดบ่อยที่สุด?

“ศัพท์ที่ทำให้คนเข้าใจผิดบ่อยที่สุดคือ ‘แรงม้า’ นี่แหละ เห็น 5 แรงม้า คิดว่าเยี่ยมเลย แต่ไม่รู้ว่ามันเป็น Peak HP หรือ Continuous HP แค่นี้ ก็ถูกหลอกแล้ว”

ผมพบว่าหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับศัพท์ของลู่วิ่ง และทำให้ซื้อของไม่ตรงกับความต้องการ นี่คือคำถามยอดฮิตที่ผมเจอประจำ 

ถ้าวิ่งวันละ 30 นาที ต้องดูแรงม้าไหม?

“ที่ผมขายลู่วิ่งมา พบว่าคนที่วิ่งวันละ 30 นาที แล้วมอเตอร์พังเร็ว ส่วนใหญ่คือคนที่มีน้ำหนักเยอะ แต่ซื้อลู่วิ่งที่มีแรงม้าน้อย”

ผมมีลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่งถามแบบนี้ เธอบอกว่า “หนูแค่วิ่งวันละครึ่งชั่วโมงเองนะพี่ ไม่ได้วิ่งมาราธอนซะหน่อย คงไม่ต้องดูแรงม้าให้มากหรอก?”

“น้องหนักเท่าไหร่ครับ?” เธอตอบว่า “85 กิโล”

นั่นแหละครับปัญหา! แม้จะวิ่งแค่วันละ 30 นาที แต่ถ้าน้ำหนักมาก และเลือกลู่วิ่งที่มีแรงม้าน้อย มอเตอร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติ ทำให้ร้อนเร็ว และอายุการใช้งานสั้นลง

ดังนั้น แม้คุณจะวิ่งแค่วันละครึ่งชั่วโมง ถ้าน้ำหนักเกิน 80 กิโล ผมแนะนำให้เลือกลู่วิ่งที่มี Continuous HP อย่างน้อย 3.0 แรงม้าขึ้นไป

แต่ถ้าคุณน้ำหนักไม่เกิน 60 กิโล และเดินเร็วหรือวิ่งเบาๆ แค่ 30 นาที Continuous HP 2.0-2.5 แรงม้าก็เพียงพอ

ตัวใหญ่ สูง 180+ ควรใช้สายพานยาวเท่าไร?

“เคยเห็นเพื่อนสูง 190 วิ่งบนลู่สายพานสั้นๆ ดูแล้วเหมือนยักษ์วิ่งบนกระดาษ A4 ไม่รู้จะล้มตอนไหน”

นี่เป็นคำถามที่ผมได้ยินบ่อยจากลูกค้าที่ตัวสูง พวกเขากังวลว่าสายพานจะสั้นเกินไปหรือไม่

เมื่อปีที่แล้ว มีลูกค้าเป็นนักบาสเกตบอล สูง 193 ซม. เขาเคยซื้อลู่วิ่งที่สายพานยาวแค่ 120 ซม. พอวิ่งเร็วๆ ก้าวของเขายาวเกินสายพาน ทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เหมือนต้องระวังตลอดเวลา

สำหรับคนสูง 180 ซม. ขึ้นไป ผมแนะนำให้ใช้สายพานที่ยาวอย่างน้อย 140 ซม. ขึ้นไป และถ้าคุณชอบวิ่งเร็ว (เกิน 12 กม./ชม.) ควรเลือกสายพานยาว 150 ซม. หรือมากกว่า

นอกจากนี้ ความกว้างของสายพานก็สำคัญ คนตัวใหญ่ควรใช้สายพานกว้างอย่างน้อย 50 ซม. เพื่อให้มีพื้นที่เผื่อในการวิ่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะก้าวพลาดตกลู่

รุ่น A5 หรือ X20 ของ Runathome มีสายพานขนาดใหญ่พอสำหรับคนตัวสูง และรับน้ำหนักได้ดี

ลู่วิ่ง 3 แรงม้า กับ 5 แรงม้า ต่างกันขนาดไหน?

“ลู่วิ่ง 3 แรงม้ากับ 5 แรงม้า ต่างกันเหมือนรถเก๋งกับรถกระบะ ขับในเมืองเหมือนกัน แต่พอบรรทุกของหนักหรือขึ้นดอย จะรู้เลยว่าต่างกันยังไง”

ผมเคยมีลูกค้าคู่หนึ่งมาที่ร้าน สามีหนัก 110 กิโล ภรรยาหนัก 55 กิโล พวกเขาลังเลระหว่างลู่วิ่ง 3 แรงม้ากับ 5 แรงม้า (Continuous HP) ซึ่งราคาต่างกันประมาณ 8,000 บาท

ภรรยาบอกว่าอยากประหยัด เอารุ่น 3 แรงม้าก็น่าจะพอ แต่ผมอธิบายให้ฟังว่า 

ลู่วิ่ง 3 แรงม้า 

  • เหมาะกับคนน้ำหนัก 50-80 กิโล
  • ใช้งานวันละ 1 ชั่วโมงได้สบาย
  • ถ้าใช้งานหนักหรือน้ำหนักมาก มอเตอร์อาจจะร้อนเร็ว
  • อายุการใช้งานประมาณ 5-7 ปี (ถ้าใช้งานปกติ)

ลู่วิ่ง 5 แรงม้า 

  • เหมาะกับคนน้ำหนัก 80 กิโลขึ้นไป
  • ใช้งานได้หนักและนานกว่า วันละ 2-3 ชั่วโมงก็ยังไหว
  • มอเตอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพแม้ผู้ใช้จะหนัก
  • อายุการใช้งานประมาณ 8-10 ปี หรือมากกว่า

สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจเลือกรุ่น 5 แรงม้า เพราะสามีเป็นคนหนัก และต้องการใช้งานหนัก

อีก 2 ปีต่อมา พวกเขากลับมาซื้อน้ำมันหล่อลื่นที่ร้านผม และบอกว่า “โชคดีที่ฟังคำแนะนำคุณตอนนั้น ลู่วิ่งใช้งานได้ดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย แม้จะใช้งานหนัก”

ผมได้ยินเรื่องแบบนี้บ่อยมาก คนที่ประหยัดในตอนแรก แต่ต้องมาซื้อใหม่ในอีก 2-3 ปี ซึ่งถ้าคิดระยะยาว การซื้อรุ่นที่แรงกว่าตั้งแต่แรกอาจจะคุ้มค่ากว่า

ใช้ Zwift ต้องเลือกรุ่นไหน?

“ถ้าอยากใช้ Zwift ให้สนุก ต้องเลือกรุ่นที่ปรับความชันอัตโนมัติได้ ไม่งั้นพอในเกมขึ้นเขา แต่ลู่วิ่งยังราบเรียบ มันก็ไม่สมจริงน่ะสิ”

เมื่อไม่นานมานี้ มีลูกค้าคนหนึ่งที่เป็นสายเทค เขาถามเรื่องการใช้ Zwift กับลู่วิ่ง เพราะอยากวิ่งในโลกเสมือนจริง แทนที่จะวิ่งมองกำแพงเปล่าๆ

ผมบอกเขาว่า ถ้าอยากใช้ Zwift อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรเลือกลู่วิ่งที่มีคุณสมบัติดังนี้ 

  1. ต้องมี Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับแอพ
  2. ควรปรับความชันอัตโนมัติได้ เพื่อให้รู้สึกเหมือนวิ่งขึ้นเขาลงเขาตามในเกม
  3. ควรมีความเร็วสูงสุดเพียงพอ (อย่างน้อย 16 กม./ชม.) เพื่อให้วิ่งได้เร็วตามต้องการ

ที่ร้าน Runathome เรามีหลายรุ่นที่รองรับ Zwift ตั้งแต่รุ่น A1 ขึ้นไป แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์ที่สมจริงที่สุด ผมแนะนำรุ่น A3 ขึ้นไป เพราะปรับความชันอัตโนมัติได้

ลูกค้าคนนั้นซื้อรุ่น A3 ไปใช้ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เขาส่งคลิปมาให้ผมดู เป็นคลิปที่เขากำลังวิ่งบน Virtual Alps ในสวิตเซอร์แลนด์ และบอกว่า “มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนวิ่งอยู่ในที่จริงๆ เลย โดยเฉพาะตอนขึ้นเขา ลู่มันจะปรับความชันขึ้นอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกเหนื่อยเหมือนวิ่งขึ้นเขาจริงๆ!”

ถ้าคุณคิดจะใช้ Zwift ผมแนะนำให้ลองไปชมวิดีโอการใช้งานในช่อง YouTube ของ Runathome ก่อน เพื่อให้เห็นภาพว่ามันทำงานยังไง

 

สรุป  เข้าใจศัพท์ลู่วิ่งวันนี้ วิ่งสนุกตลอดปี

“ความรู้เรื่องศัพท์ลู่วิ่งไม่ได้ทำให้คุณวิ่งเร็วขึ้น แต่มันช่วยให้คุณเลือกลู่วิ่งที่ใช่ ซึ่งจะช่วยให้คุณวิ่งได้นานขึ้น สนุกขึ้น และสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว”

หลังจากที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับศัพท์ลู่วิ่งที่สำคัญกันมาทั้งหมด ผมหวังว่าคุณจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการเลือกลู่วิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

ผมเชื่อว่าการลงทุนกับลู่วิ่งที่เหมาะสมคือการลงทุนกับสุขภาพระยะยาว ถ้าคุณเลือกถูก คุณจะมีอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ดีเป็นเวลาหลายปี ช่วยให้คุณออกกำลังกายได้สม่ำเสมอโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสภาพอากาศหรือเวลา

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง และเป็นนักวิ่งมาราธอนที่ผ่านเส้นชัยมาแล้วหลายสนาม ผมอยากฝากเคล็ดลับสุดท้ายให้คุณ 

อย่ามองแค่ราคา  ลู่วิ่งถูกๆ อาจจะทำให้คุณเสียเงินมากกว่าในระยะยาว ถ้ามันพังเร็วหรือใช้งานไม่ได้ตามที่ต้องการ

คิดถึงการใช้งานจริง  ลองนึกภาพว่าคุณจะใช้ลู่วิ่งอย่างไร ที่ไหน บ่อยแค่ไหน เพื่อเลือกฟังก์ชันที่จำเป็นจริงๆ

อย่าหลงกับโฆษณาเกินจริง  โดยเฉพาะเรื่องแรงม้า ให้ถามเสมอว่าเป็น Continuous HP หรือ Peak HP

ตรวจสอบการรับประกัน  ลู่วิ่งดีๆ ควรรับประกันโครงสร้าง 1-10 ปี และมอเตอร์อย่างน้อย 2-5 ปี

ที่ร้าน Runathome ของผม เรามีลู่วิ่งหลากหลายรุ่นให้เลือก เหมาะกับทุกความต้องการและงบประมาณ ทุกรุ่นได้รับการคัดสรรอย่างดีจากประสบการณ์จริงของผม ทั้งในฐานะนักขายและนักวิ่ง

ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการคำแนะนำเฉพาะบุคคล คุณสามารถเข้ามาปรึกษาผมที่ร้านได้ตลอด หรือติดต่อผ่านเว็บไซต์ Runathome.co ผมยินดีช่วยให้คุณได้ลู่วิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด!

 

คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับศัพท์ลู่วิ่ง

1.มอเตอร์ DC กับ AC ต่างกันยังไง และแบบไหนดีกว่ากัน?

 มอเตอร์ DC เหมือนรถเก๋งทั่วไป ใช้งานประจำวันได้สบาย ราคาถูกกว่า แต่ทนทานน้อยกว่า ส่วนมอเตอร์ AC เหมือนรถกระบะ ทนทานกว่า ใช้งานหนักได้ดีกว่า แต่ราคาแพงกว่า คนทั่วไปที่ใช้วันละ 1-2 ชั่วโมง DC ก็เพียงพอ แต่ถ้าใช้หนักมาก หรือหลายคนใช้ ควรเลือก AC

2.แรงม้าลู่วิ่งกี่แรงถึงจะพอสำหรับคนน้ำหนัก 90 กิโลขึ้นไป? 

สำหรับคนน้ำหนัก 90 กิโลขึ้นไป ควรเลือกลู่วิ่งที่มี Continuous HP 4.0 แรงม้าขึ้นไป ถึงจะปลอดภัยและทนทานพอ อย่าห

3.แรงม้าลู่วิ่งกี่แรงถึงจะพอสำหรับคนน้ำหนัก 90 กิโลขึ้นไป? 

สำหรับคนน้ำหนัก 90 กิโลขึ้นไป ควรเลือกลู่วิ่งที่มี Continuous HP 4.0 แรงม้าขึ้นไป ถึงจะปลอดภัยและทนทานพอ อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่บอกแต่ Peak HP เพราะตอนใช้งานจริงมันทำงานได้ไม่ถึงครึ่งของค่าที่โฆษณา ผมเคยเห็นลูกค้าน้ำหนัก 100 กิโลซื้อลู่วิ่ง 2.5 แรงม้ามาใช้ ไม่ถึง 6 เดือนมอเตอร์ก็แดงโร่เลย

4.สายพานลู่วิ่งควรกว้างแค่ไหนถึงจะวิ่งสบาย ไม่กลัวตกลู่? 

เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขนาดตัวและลักษณะการวิ่ง ถ้าคุณตัวใหญ่ ไหล่กว้าง สูงเกิน 175 ซม. ควรเลือกสายพานกว้างอย่างน้อย 50 ซม. ถ้าตัวเล็กกว่านั้น 45-48 ซม. ก็พอ แต่ผมมักแนะนำให้เผื่อไว้หน่อย เพราะเวลาวิ่งจริงคนเรามักจะส่ายไปมา โดยเฉพาะตอนเหนื่อยๆ ผมเคยเห็นเพื่อนผมที่เป็นนักบาสตัวใหญ่วิ่งบนลู่สายพานแคบๆ ดูน่ากลัวมาก เหมือนช้างเดินบนตะเกียบเลย

5.ความชันปรับแมนนวลกับอัตโนมัติต่างกันมากไหม คุ้มค่าต่างกันแค่ไหน?

ต่างกันเยอะมาก! ผมเคยซื้อลู่วิ่งปรับแมนนวลให้แม่ผมใช้ตอนแรก คิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงปรับเอง แต่เอาเข้าจริง แม่ผมไม่เคยปรับเลยสักครั้ง เพราะมันยุ่งยาก ต้องหยุดวิ่ง ลงจากลู่ ไปยกสายพานขึ้นแล้วล็อค ใครจะอยากทำขนาดนั้น? ความชันอัตโนมัติคุ้มค่ากว่ามาก กดปุ่มปั๊บ มันปรับเองทันที ทำให้การออกกำลังกายสนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้างบเพิ่มได้อีก 5,000-7,000 บาท แนะนำให้อัพเกรดเป็นแบบอัตโนมัติ

6.ระบบซับแรงกระแทกแบบไหนดีที่สุดสำหรับคนมีปัญหาข้อเข่า? 

ระบบโช๊คสปริงคู่ดีที่สุดสำหรับคนมีปัญหาข้อเข่า ผมเคยมีลูกค้าที่ผ่าตัดหมอนรองกระดูกมาแล้ว เขาลองวิ่งบนลู่วิ่งทั่วไปที่มีแค่ยางกันกระแทกธรรมดา วิ่งได้แค่ 5 นาทีก็เจ็บเข่าแล้ว แต่พอมาลองลู่วิ่งที่มีระบบโช๊คสปริงคู่ เขาวิ่งได้เป็น 30 นาทีโดยไม่มีอาการปวด เหมือนวิ่งบนพรมนุ่มๆ เลย ถ้าคุณมีปัญหาข้อเข่า อย่าประหยัดเรื่องนี้ อัพเกรดไปเลย มันคุ้มกับสุขภาพในระยะยาว

7.ลู่วิ่งที่เชื่อมต่อกับแอพ Zwift ได้ ดีกว่าลู่วิ่งธรรมดายังไง? 

มันคนละโลกเลยนะ ผมเคยวิ่งบนลู่วิ่งธรรมดา มันน่าเบื่อมาก วิ่งไปมองผนังไป ไม่มีอะไรให้เพลิดเพลิน แต่พอได้ลองใช้ Zwift โอ้โห มันเปลี่ยนประสบการณ์ไปเลย คุณจะรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งในที่ต่างๆ ทั่วโลก แข่งกับคนอื่นๆ แบบเรียลไทม์ มีเป้าหมาย มีรางวัล ทำให้อยากวิ่งทุกวัน ผมมีลูกค้าหลายคนที่เคยวิ่งแค่ 15 นาทีก็เบื่อแล้ว แต่พอใช้ Zwift กลับวิ่งได้เป็นชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

8.ทำไมต้องมีช่องหยอดน้ำมันหรือแทงค์เติมอัตโนมัติ? สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ? 

สำคัญมาก! น้ำมันหล่อลื่นคือชีวิตของลู่วิ่ง ถ้าขาดการหล่อลื่น แรงเสียดทานระหว่างสายพานกับแผ่นรองจะเพิ่มขึ้น ทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักขึ้น ร้อนเร็ว และพังเร็ว ปัญหาคือ ลู่วิ่งรุ่นเก่าๆ การหยอดน้ำมันมันยุ่งยากมาก ต้องถอดฝาครอบ ยกสายพาน เทน้ำมัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ขี้เกียจทำ ระบบช่องหยอดน้ำมันหรือแทงค์เติมอัตโนมัติช่วยให้บำรุงรักษาง่ายขึ้นมาก แค่หยอดลงช่อง หรือเติมครั้งเดียวใช้ได้นาน ทำให้ลู่วิ่งอยู่กับคุณได้นานขึ้น

9.ถ้าพื้นที่ในบ้านจำกัด ควรเลือกลู่วิ่งแบบไหน? 

ต้องเลือกลู่วิ่งที่พับเก็บได้ แต่สำคัญคือต้องเป็นระบบพับไฮโดรลิค เพราะมันช่วยให้พับเก็บง่าย ไม่ต้องออกแรงมาก ผมเคยเห็นลูกค้าผู้หญิงตัวเล็กๆ ซื้อลู่วิ่งพับธรรมดาไปใช้ในคอนโด พอจะพับเก็บต้องรอให้สามีกลับมาช่วยทุกที เพราะยกไม่ไหว แต่พอเปลี่ยนเป็นระบบไฮโดรลิค เธอสามารถพับเก็บเองได้สบายๆ อีกอย่าง ดูขนาดตอนพับด้วยว่ามันจะไปอยู่ตรงไหนในบ้าน มีพื้นที่พอไหม ความสูงของเพดานพอไหม บางคนซื้อมาแล้วพับไม่ได้เพราะเพดานต่ำเกินไป

10.ลายสายพานต่างๆ สำคัญจริงหรือแค่เรื่องความสวยงาม? 

สำคัญจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่สวยงาม ลายสายพานช่วยในเรื่องการยึดเกาะ โดยเฉพาะเวลาเหงื่อออกเยอะๆ ผมเคยใช้ลู่วิ่งที่สายพานเรียบๆ เวลาวิ่งเหงื่อออกมาก รู้สึกลื่นๆ ไม่มั่นคง แต่พอใช้ลายลูกกอล์ฟหรือลายล้อรถ รู้สึกยึดเกาะดีกว่ามาก ลายไดม่อนเหมาะกับคนเดินหรือวิ่งเบาๆ ลายลูกกอล์ฟเหมาะกับคนวิ่งเร็วระดับกลาง และลายล้อรถเหมาะกับนักวิ่งจริงจังที่วิ่งเร็วหรือเหงื่อออกเยอะ

11.ซื้อลู่วิ่งราคาถูกแล้วเปลี่ยนใหม่เมื่อพัง กับซื้อรุ่นดีๆ แพงหน่อยตั้งแต่แรก อันไหนคุ้มกว่ากัน?

ผมเจอลูกค้าแบบนี้บ่อยมาก ซื้อถูกแล้วคิดว่าคุ้ม แต่จริงๆ แล้วไม่คุ้มเลย ผมมีลูกค้าคนหนึ่งซื้อลู่วิ่งราคา 10,000 บาท ใช้ได้แค่ 1 ปีก็พัง ซื้อใหม่อีกคัน 12,000 บาท ใช้ได้อีก 1 ปีกว่าๆ ก็พังอีก รวมแล้วเขาจ่ายไปกว่า 22,000 บาทในเวลาแค่ 2 ปีกว่า ทั้งที่ถ้าซื้อรุ่นดีๆ ราคา 25,000 บาท ตั้งแต่แรก อาจจะใช้ได้ถึง 7-8 ปีสบายๆ ยังไม่รวมความหงุดหงิดที่ต้องมานั่งหาซื้อใหม่ ติดตั้งใหม่ เรียนรู้การใช้งานใหม่ ผมแนะนำให้ซื้อรุ่นดีๆ ตั้งแต่แรก จะคุ้มกว่าในระยะยาว

เห็นไหมครับว่าการเข้าใจศัพท์ลู่วิ่งมันสำคัญแค่ไหน ไม่ใช่แค่เรื่องของคนเทคนิคหรือคนจริงจังกับการวิ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องการลงทุนกับสุขภาพอย่างคุ้มค่า

ในฐานะที่ผมทั้งขายลู่วิ่งและเป็นนักวิ่งมาราธอนตัวจริง ผมอยากให้ทุกคนได้มีประสบการณ์ที่ดีกับการวิ่ง มีอุปกรณ์ที่เหมาะกับตัวเอง และทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่ภาระ

ถ้ายังมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม สามารถแวะมาคุยกับผมได้ที่ร้าน Runathome หรือจะติดต่อผ่านเว็บไซต์ Runathome.co ก็ได้ครับ ผมยินดีให้คำปรึกษา และช่วยให้คุณได้ลู่วิ่งที่ใช่ ในราคาที่คุณพอใจ!