คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เห็นผลเมื่อไหร่? โค้ชหมิงลองเองแล้ว ได้คำตอบมาแชร์!

ผมยังจำวันนั้นได้ดี… วันที่เพื่อนผมหัวเราะเมื่อรู้ว่าผมวิ่งแค่ 20 นาทีต่อวัน “แค่นี้จะได้อะไร” เขาบอก พร้อมยักไหล่ 7 สัปดาห์ต่อมา เขาเดินมาถามผมด้วยสายตาสงสัย: “หมิง แกผอมลงหรือเปล่าวะ?”

นี่แหละครับ…มันไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ทำไมวันละ 20 นาทีถึงเปลี่ยนร่างกายผมได้ขนาดนั้น? ในฐานะคนที่วิ่งมาราธอนมาหลายรายการ (ล่าสุด Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 กับ Laguna Phuket Marathon) และขายลู่วิ่งไปแล้วกว่าพันเครื่อง ผมอยากแชร์ว่าการทำ คาร์ดิโอแค่วันละ 20 นาทีจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงๆ

Table of Contents

คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน คืออะไร? แค่ 20 นาทีจะพอจริงไหม?

“วันละ 20 นาทีเท่านั้นก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายคุณได้ แต่ต้องทำทุกวัน และทำให้ถูกวิธี” ตอนแรกผมก็สงสัยเหมือนกัน จะทำไงให้แค่ 20 นาทีได้ผล ก็เลยลองเอาตัวเองเป็นหนูทดลอง ไปค้นข้อมูลงานวิจัยมาเพียบเลย

จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า การทำ คาร์ดิโอ ระดับปานกลางแค่ 20 นาทีต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ถึง 30% และที่สำคัญ… ร่างกายคุณจะเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องไปอีก 2-3 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังเสร็จ แม้นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา! ลูกค้าคนหนึ่งของผมเล่าให้ฟังว่า: “ตอนแรกผมคิดว่าวันละ 20 นาทีมันน้อยเกินไป แต่พอทำไปได้สัปดาห์นึง เสื้อที่เคยคับๆ เริ่มหลวมขึ้นนิดหน่อยแล้ว” แปลกไหมครับ? สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ไม่ใช่นักกีฬา แค่ 20 นาทีก็เห็นผลได้จริงๆ แต่กุญแจสำคัญคือต้องทำทุกวัน!

 

คาร์ดิโอ แบบไหนที่เหมาะกับคนไม่มีเวลา?

“สำหรับคนไม่มีเวลา HIIT คือคำตอบ 4 นาทีเท่านั้น! (Tabata Protocol) แต่ต้องทำให้ถึง”

ผมเข้าใจดีว่าทุกคนยุ่ง ผมก็เหมือนกัน ทั้งดูแลธุรกิจ ทั้งซ้อมวิ่ง บางวันแทบไม่มีเวลาหายใจ จากประสบการณ์ส่วนตัว คาร์ดิโอ แบบไหนที่ใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลดีที่สุด ผมขอแนะนำ:

  1. Tabata Protocol – 20 วินาทีออกแรงเต็มที่ พัก 10 วินาที ทำ 8 รอบ รวมแค่ 4 นาที (ทำได้ แม้แต่ในห้องน้ำที่ออฟฟิศ!)
  2. วิ่งหรือเดินเร็วแบบ 30-30 – วิ่งเร็ว 30 วินาที เดินช้า 30 วินาที ทำต่อเนื่อง 10-15 นาที (เหมาะกับลู่วิ่งราคาประหยัด)
  3. การเดินเร็วพร้อมยกแขนขา – เดินเร็วบนลู่วิ่งพร้อมยกเข่าสูงสลับกับการเหวี่ยงแขน 15-20 นาที (สำหรับคนที่กลัวกระแทก)

 

วิ่ง เดิน หรือ HIIT แบบไหนคุ้มที่สุดใน 20 นาที?

“HIIT เผาผลาญมากกว่าวิ่งธรรมดา 2 เท่า แต่เริ่มต้นด้วยการเดินก่อนดีกว่า ถ้าคุณยังไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน”

ถ้าเทียบกันตรงๆ อะไรคุ้มสุดใน 20 นาที?

  1. HIIT – เผาประมาณ 15-20 แคลอรี่ต่อนาที รวม 300-400 แคลต่อเซ็ต แถมเผาต่อเนื่องหลังออกกำลังอีก 2-3 ชั่วโมง
  2. วิ่งปานกลาง – เผาประมาณ 10-14 แคลอรี่ต่อนาที รวม 200-280 แคล
  3. เดินเร็ว – เผาประมาณ 5-8 แคลอรี่ต่อนาที รวม 100-160 แคล

ผมเคยลองทั้งสามแบบ และติดตามผลด้วย smart watch พบว่า HIIT ทำให้หัวใจเต้นเร็วที่สุด เผาผลาญมากที่สุด แต่… วิธีนี้ก็หนักและเครียดสำหรับร่างกายที่สุดด้วย ความจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึง – คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยการวิ่งหรือ HIIT เลย! คนส่วนใหญ่ที่ซื้อลู่วิ่งจากผมไปเริ่มจากเดินก่อน (โดยเฉพาะรุ่น A1 ราคาเริ่มต้น) พอร่างกายแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มเป็นวิ่ง

“เดินก่อน วิ่งทีหลัง ค่อยเป็นค่อยไป”

 

ถ้าทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน จะเห็นผลในกี่วัน?

“คุณจะรู้สึกเปลี่ยนแปลงในวันที่ 3-5, คนอื่นจะเริ่มสังเกตเห็นในวันที่ 14-21, และร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในวันที่ 30-45”

สัปดาห์แรกเปลี่ยนอะไร? ทำไมหลายคนไม่รู้ตัว?

“สัปดาห์แรกคุณจะนอนหลับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กล้ามเนื้ออาจจะปวดนิดหน่อย น้ำหนักอาจไม่ลด แต่กระจกจะบอกความจริง”

เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าออกกำลังวันแรกๆ ต้องเหนื่อย ต้องทรมาน ไม่น่าจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น แต่พอลองทำจริงๆ กลับพบว่า… คืนแรกหลังจากวิ่ง 20 นาที ผมหลับสบายมาก! ปกติผมนอนไม่ค่อยสนิท แต่คืนนั้นหลับปุ๋ยเลย ตื่นมาสดชื่น นี่เป็นเรื่องที่คนไม่ค่อยพูดถึง การนอนดีขึ้นเกิดขึ้นเร็วมาก

วันที่ 2-3 เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อนิดหน่อย (ผมแอบกัดฟันเวลาเดินขึ้นบันได) แต่คนเราจะไม่ค่อยสังเกตว่าจิตใจสงบลง อารมณ์ดีขึ้น วันที่ 5-7 นี่แหละครับที่น่าสนใจ ผมรู้สึกว่าเสื้อผ้าเริ่มใส่สบายขึ้น ทั้งที่น้ำหนักยังไม่ลด! นี่คือความลับที่คนไม่ค่อยรู้ – บางทีน้ำหนักไม่ลด แต่รูปร่างเปลี่ยน เพราะไขมันเริ่มกระจายตัว กล้ามเนื้อเริ่มตึง อาหารที่เคยทานจุกๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนดึก ผมรู้สึกไม่อยากกินแล้ว แปลกมาก ร่างกายมันเปลี่ยนความต้องการไปเอง การทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีมันเปลี่ยนทั้งร่างกายและจิตใจโดยที่เราไม่รู้ตัว

สัปดาห์ที่ 2-3 เริ่มสังเกตหุ่นเปลี่ยนได้ไหม?

“สัปดาห์ที่ 2-3 คนใกล้ชิดจะเริ่มทัก เพราะผิวพรรณของคุณจะเปล่งปลั่งขึ้น ส่วนไขมันหน้าท้องเป็นจุดที่จะเริ่มยุบให้เห็นชัด”

นี่เป็นช่วงที่สนุกมาก! สัปดาห์ที่ 2-3 นี่แหละที่คุณจะเริ่มได้รับคำชม ผมจำได้ว่าช่วงนี้แม่ผมโทรมาถามว่า “หน้าหมิงดูสดใสกว่าเดิมนะ ไปทำอะไรมา?” ทั้งที่แม่ดูผมผ่านวิดีโอคอลเท่านั้น! ความจริงคือ การไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นทำให้ผิวพรรณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องรูปร่าง สังเกตที่หน้าท้องกับใต้คาง ไขมันสองจุดนี้จะเป็นจุดแรกๆ ที่หายไป หลายคนไม่รู้ว่าเวลาถ่ายรูปเซลฟี่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ใบหน้าได้ชัดเจนมาก

อีกเรื่องที่น่าแปลกใจคือ การมีสมาธิที่ดีขึ้น ช่วงนี้ผมทำงานได้นานขึ้นโดยไม่ต้องชงกาแฟบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน อ้อ! อีกอย่างที่ไม่มีใครบอกคุณ – กล้ามเนื้อสองข้างขาของคุณจะเริ่มกระชับและเล็กลง ทำให้กางเกงยีนส์ตัวเก่าใส่ได้สบายขึ้น แต่กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้น นี่เป็นเรื่องที่หลายคนสับสน คิดว่าต้องขาใหญ่ขึ้น แต่ความจริงคือขาจะเล็กลงแต่แข็งแรงขึ้น

โค้ชหมิงเคยลอง! ได้ผลแค่ไหนใน 30 วัน?

“ผมลดไปได้ 3.2 กก. ใน 30 วัน แต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่าคือความดันลดลง 10 หน่วย และนอนหลับลึกขึ้น 24%”

ผมเริ่มทดลองทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันตอนเตรียมตัวแข่ง Laguna Phuket Marathon ปี 2024 ที่ผ่านมา เพื่อดูว่าจะช่วยเผาไขมันได้ดีแค่ไหน เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าร่างกายเริ่มสะสมไขมันแถวหน้าท้องมากเกินไป ผลปรากฏว่า… ใน 30 วัน น้ำหนักลดลง 3.2 กิโลกรัม (จาก 71.5 เหลือ 68.3) ไขมันลดลง 2.1% และเอวลดลง 2 นิ้ว แต่สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือเรื่องสุขภาพ ความดันโลหิตของผมลดลงจาก 130/85 เหลือ 120/75 ภายใน 30 วัน! แล้วที่น่าตกใจกว่านั้น ผมใช้นาฬิกาติดตามการนอน พบว่าช่วงการนอนหลับลึก (deep sleep) เพิ่มขึ้นจาก 45 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง 10 นาที นี่คือการเพิ่มขึ้นถึง 24%!

ผมขอแชร์ประสบการณ์จริงตรงนี้เลยนะ มันมีช่วงหนึ่งที่ผมเกือบยอมแพ้ ประมาณวันที่ 12-15 รู้สึกเบื่อมาก ไม่อยากทำต่อ แต่ผมบังคับตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ว่า “แค่วันนี้วันเดียว 20 นาทีเท่านั้น” พอวันที่ 20 ผ่านไป มันกลายเป็นนิสัย ไม่ต้องฝืนตัวเองอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ผมสังเกตว่า… การกินจุบจิบระหว่างวันหายไปเลย! ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนชอบเดินไปเปิดตู้เย็นทุก 1-2 ชั่วโมงเพื่อหาอะไรกิน แต่หลังจากวิ่ง 20 นาทีทุกวัน พฤติกรรมนี้หายไป ไม่รู้ว่าเพราะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง หรือเพราะจิตใต้สำนึกบอกตัวเองว่า “เพิ่งวิ่งเสร็จ อย่าเพิ่งไปกินขนมเลย” แต่มันช่วยลดแคลอรี่ได้มากจริงๆ

ทำคาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เผาผลาญได้กี่แคลต่อวัน?

“ไม่ใช่แค่ 200-300 แคลในตอนที่ออกกำลัง แต่อาจถึง 500 แคลต่อวันเมื่อรวมกับ afterburn effect ที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญต่อเนื่องอีก 4-6 ชั่วโมง”

นี่เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดบ่อยมาก! พอบอกว่าวิ่ง 20 นาทีเผาประมาณ 200-300 แคล หลายคนคิดว่าน้อยเกินไป จะลดน้ำหนักได้ยังไง? ความจริงคือ การทำ คาร์ดิโอ แบบหนักสลับเบาจะทำให้ร่างกายของคุณเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องไปอีก 4-6 ชั่วโมง! เรียกว่า Excess Post-exercise Oxygen Consumption (EPOC) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “afterburn effect” ผมเคยทดลองวัดด้วยนาฬิกาที่ติดตามการเผาผลาญพลังงาน พบว่าหลังวิ่ง HIIT 20 นาที อัตราการเผาผลาญยังสูงกว่าปกติไปอีก 4 ชั่วโมง คิดเป็นพลังงานที่เผาผลาญเพิ่มอีกประมาณ 150-200 แคล!

นี่คือเหตุผลที่คุณอาจเห็นนักวิ่งบางคนทำ คาร์ดิโอ แค่ 20-30 นาทีต่อวัน แต่หุ่นดีมาก เพราะพวกเขาได้ประโยชน์จาก afterburn effect นี่เอง ช่วงที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ผมวิ่งหนักสลับเบาแค่ 20 นาทีทุกเช้า ทำให้ร่างกายเผาผลาญดีตลอดทั้งวัน ผลคือไขมันหน้าท้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด

วิ่ง เดินเร็ว หรือปั่นจักรยาน อะไรเบิร์นดีที่สุด?

“วิ่งเบิร์นพลังงานเยอะที่สุดในเวลาเท่ากัน แต่ปั่นจักรยานเบิร์นไขมันที่สะโพกและต้นขาได้ดีกว่า ส่วนเดินเร็วปลอดภัยที่สุดแต่ต้องใช้เวลานานกว่า”

จากประสบการณ์ที่ผมได้ทดลองและเก็บข้อมูลจากลูกค้า:

  • วิ่ง – เผาผลาญประมาณ 10-14 แคลอรี่ต่อนาที สำหรับคนน้ำหนัก 70 กก. นั่นหมายถึง 200-280 แคลใน 20 นาที และเบิร์นต่อเนื่องอีกประมาณ 100-150 แคล
  • ปั่นจักรยาน – เผาผลาญประมาณ 7-10 แคลอรี่ต่อนาที หรือ 140-200 แคลใน 20 นาที แต่ปั่นได้นานกว่าและเน้นกล้ามเนื้อขาส่วนล่าง
  • เดินเร็ว – เผาผลาญประมาณ 5-7 แคลอรี่ต่อนาที หรือ 100-140 แคลใน 20 นาที แต่แทบไม่มีความเสี่ยงบาดเจ็บ

มีลูกค้าผมคนหนึ่งเป็นคุณแม่วัย 40+ น้ำหนักเกิน เขาเริ่มจากเดินบนลู่วิ่งรุ่น A1 วันละ 20 นาทีในช่วงแรก หลังจากนั้น 2 เดือน เธอเพิ่มเป็นวิ่งช้าสลับเดิน และน้ำหนักลดไป 4 กิโลกรัม โดยที่ไม่ได้งดขนมหวานเลย! สิ่งที่คนมักไม่รู้คือ การวิ่งและเดินใช้กล้ามเนื้อต่างกัน วิ่งใช้กล้ามเนื้อน่องและหลังมากกว่า ขณะที่เดินเร็วใช้กล้ามเนื้อสะโพกและต้นขาด้านหน้ามากกว่า นี่คือเหตุผลที่โค้ชมืออาชีพแนะนำให้สลับกันทำ

เบิร์นต่างกันยังไงในแต่ละน้ำหนักตัว?

“คนตัวใหญ่เผาผลาญมากกว่าคนตัวเล็กถึง 40% ในเวลาเท่ากัน นี่คือความได้เปรียบของคนอ้วน แต่พอผอมลงจะต้องออกกำลังหนักขึ้นเพื่อรักษาอัตราการเบิร์น”

นี่คือความเข้าใจผิดที่ใหญ่มากในวงการฟิตเนส! หลายคนคิดว่าคนผอมจะเผาผลาญได้ดีกว่า แต่ความจริงแล้ว… คนน้ำหนักมากมีข้อได้เปรียบในเรื่องนี้!

ตัวอย่างจริงเลย คนน้ำหนัก 90 กก. วิ่ง 20 นาทีด้วยความเร็ว 9 กม./ชม. จะเผาผลาญประมาณ 300 แคลอรี่ ในขณะที่คนน้ำหนัก 60 กก. วิ่งด้วยความเร็วและเวลาเท่ากัน จะเผาผลาญแค่ 200 แคลอรี่เท่านั้น! นี่คือเหตุผลที่คนอ้วนมักจะลดน้ำหนักได้เร็วกว่าในช่วงแรกของการออกกำลังกาย เพราะแค่ขยับตัวก็เผาผลาญพลังงานมากกว่าคนผอมแล้ว

แต่มีข้อควรระวัง… เมื่อคุณน้ำหนักลดลง การเผาผลาญก็จะลดลงตามไปด้วย นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนเจอปัญหา “weight loss plateau” หรือน้ำหนักหยุดลด เพราะร่างกายเผาผลาญน้อยลงแล้ว แต่ยังออกกำลังเหมือนเดิม สิ่งที่ผมแนะนำลูกค้าเสมอคือ เมื่อคุณเห็นผลแล้ว น้ำหนักลดลงประมาณ 5-7 กก. ให้เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย เช่น เพิ่มความเร็ว เพิ่มความชัน หรือเพิ่มระยะเวลาอีกนิดหน่อย

 

ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน แต่ไม่เห็นผล…เพราะอะไร?

“มี 3 สาเหตุหลักที่ทำให้ออกกำลังแล้วไม่เห็นผล: ทำเบาเกินไป, กินชดเชยเกินไป, และร่างกายชินชา ซึ่งแก้ได้ด้วยการปรับวิธีการออกกำลังทุก 2-3 สัปดาห์” ตอนผมเริ่มขายลู่วิ่ง มีคนโทรมาบ่นกับผมทุกอาทิตย์ว่า “พี่หมิง ผมซื้อลู่วิ่งไปตั้ง 40,000 แล้วใช้ทุกวัน ทำไมน้ำหนักไม่ลดซักกรัม!?” ผมเลยต้องนั่งลงคุยกับเขาแบบละเอียด สุดท้ายพบว่าปัญหาเกิดจาก 3 เรื่องหลักๆ เลย

วิ่งผิดโซนหัวใจ = เผาไม่สุด!

“ถ้าวิ่งเบาเกินไป กลายเป็นแค่อุ่นเครื่อง ถ้าวิ่งหนักเกินไป วิ่งได้แค่ 5 นาทีแล้วหอบ ต้องหาโซนกลางๆ ที่รู้สึกเหนื่อยพอควร แต่ยังพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้”

มีอยู่วันนึง ผมไปเยี่ยมบ้านลูกค้าที่บ่นว่าวิ่งแล้วไม่ลด พอไปถึงเห็นเขากำลังเดินบนลู่วิ่งไปดูทีวีไป ความเร็วแค่ 4 กม/ชม แถมยังคุยโทรศัพท์สบายๆ ผมนั่งดูแล้วอดไม่ได้ต้องบอกว่า “พี่ครับ แบบนี้ไม่เหนื่อยเลย ร่างกายไม่ต้องใช้ไขมันเป็นพลังงานหรอก มันใช้แป้งที่กินเข้าไปนั่นแหละ”

ความจริงคือ การเผาผลาญไขมันจะเกิดขึ้นเมื่อหัวใจเต้นอยู่ในโซนประมาณ 65-75% ของอัตราการเต้นสูงสุด ซึ่งคำนวณง่ายๆ คือ 220 – อายุ

แต่บางคนก็ไปอีกสุด เข้าใจผิดคิดว่ายิ่งเหนื่อยยิ่งดี วิ่งจนหอบแทบขาดใจ สุดท้ายทำได้แค่ 5 นาทีก็ล้มเลิก แบบนี้ก็ไม่เวิร์ค

มีทริคง่ายๆ ในการเช็คว่าคุณอยู่ในโซนการเผาผลาญไขมันหรือเปล่า คือลองพูดประโยคนี้ขณะวิ่ง: “วันนี้อากาศดีจังเลยนะ” ถ้าพูดได้แบบติดขัดนิดหน่อย แสดงว่ากำลังอยู่ในโซนที่เหมาะสม แต่ถ้าพูดสบายมาก หรือพูดไม่ออกเลย แสดงว่าต้องปรับความหนักเบา

กินเกินหลังออกกำลัง = ตีกลับทันที

“ร่างกายหลอกเราให้หิวมากกว่าพลังงานที่เผาไป 30-50% ถ้ากินตามใจ ไม่ว่าวิ่งนานแค่ไหนก็ไม่มีวันลด”

เมื่อก่อนผมเป็นแบบนี้ชัดๆ วิ่งเสร็จแล้วรู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก “วันนี้เบิร์นไป 300 แคล เย้! เราสมควรได้รับรางวัล” แล้วก็ไปกินไอศกรีม 2 สกู๊ป (ประมาณ 500 แคล) พร้อมกาแฟนมข้น (อีก 200 แคล) สุดท้ายกินเข้าไป 700 แคล ทั้งที่ออกแรงไปแค่ 300 แคล สุทธิแล้วอ้วนขึ้น 400 แคล แล้วยังมานั่งงงว่าทำไมวิ่งทุกวันแต่น้ำหนักไม่ลด?!

จริงๆ มันมีปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เรียกว่า “compensatory eating” คือร่างกายจะหลอกให้เรารู้สึกหิวมากกว่าพลังงานที่เผาผลาญไปจริงๆ 30-50% เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ขาดพลังงาน

ทางแก้ง่ายๆ คือ ให้จดบันทึกแคลอรี่ที่กินจริงๆ ซัก 3-7 วัน คุณจะตกใจว่าตัวเองคิดว่ากินน้อย แต่จริงๆ กินเยอะมาก อีกเรื่องที่คนไม่ค่อยพูดถึง คือหลังออกกำลังควรรอให้ร่างกายเย็นลงซัก 30 นาทีก่อนทานอาหาร เพราะช่วงนั้นร่างกายยังเผาผลาญไขมันต่อเนื่อง ถ้ากินอาหารเข้าไปทันที มันจะหยุดกระบวนการเผาผลาญไขมันทันที

ความเครียดสะสม = ร่างกายไม่ยอมลดไขมัน

“ถ้านอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะพุ่ง ซึ่งมันบล็อกการเผาผลาญไขมัน แม้จะวิ่งทุกวันก็เท่านั้น”

เรื่องนี้สำคัญมากๆ! ร่างกายที่เครียดและนอนไม่พอจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า “คอร์ติซอล” (stress hormone) ซึ่งมีผลโดยตรงในการเก็บสะสมไขมันโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง จากประสบการณ์ส่วนตัว ช่วงไหนที่ผมนอนดี 7-8 ชั่วโมงต่อคืน การทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีให้ผลลัพธ์ดีกว่าช่วงที่นอน 5-6 ชั่วโมงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ความเข้มข้นในการออกกำลังเท่ากัน

นี่คือเหตุผลที่บางคนวิ่งแล้วไม่ลด เพราะลืมเรื่องการพักผ่อนไป ทั้งที่การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด

 

อยากเห็นผลเร็วขึ้น ต้องปรับยังไงเวลาทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน?

“ผมเคยทดลองกับตัวเอง ทำ 6 สัปดาห์ติดกันโดยปรับแค่ 3 อย่าง: แบ่งมื้ออาหาร, เพิ่มความชัน, และวิ่งตอนท้องว่าง ผลลัพธ์คือลดได้ 5.8 กก. ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลดได้แค่ 2.1 กก.”

การทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันเป็นพื้นฐานที่ดีมาก แต่ถ้าอยากเร่งผลลัพธ์ ลองปรับเพิ่มแบบนี้ดูครับ:

คุมอาหารแบบไม่อด ทำยังไงให้ได้ผลจริง?

“ลืมเรื่องการนับแคลไปเลย! แค่กินช้าลง และลดปริมาณคาร์บในมื้อเย็นลงครึ่งหนึ่ง ผลลัพธ์จะเห็นภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องอดอาหาร”

ผมไม่เชื่อในการคุมอาหารแบบเข้มงวด เพราะไม่มีใครทำได้ในระยะยาว ตัวผมเองก็เคยลองคุมแคลอรี่อย่างเข้มงวด 1,500 แคลต่อวัน สุดท้ายทำได้แค่ 2 อาทิตย์ก็ทนไม่ไหว กลับมากินหนักกว่าเดิม น้ำหนักตีกลับหมด แต่ที่ได้ผลจริงๆ คือกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน:

  1. ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในมื้อเย็นลงครึ่งหนึ่ง แล้วเพิ่มผักเข้าไปแทน
  2. กินช้าลง เคี้ยวให้มากขึ้น รอให้สมองรับรู้ว่าอิ่มแล้ว (ประมาณ 20 นาที)
  3. ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนมื้ออาหาร 15-20 นาที
  4. เลี่ยงการกินหลัง 3 ทุ่ม (intermittent fasting แบบง่ายๆ)

อีกเทคนิคง่ายๆ ที่ผมใช้เอง คือแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อ แทนที่จะกิน 3 มื้อใหญ่ วิธีนี้ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ไม่หิวจนกินเกิน และเผาผลาญต่อเนื่องทั้งวัน จริงๆ แล้ว คนเรามักประเมินแคลอรี่ที่กินต่ำกว่าความเป็นจริง 20-30% ลองดูสิ น้ำตาลทรายแค่ 1 ช้อนชาก็ 20 แคลแล้ว น้ำอัดลม 1 กระป๋อง 150 แคล กินเลย 20 นาทีที่วิ่งมาหมดแล้ว!

จับคู่เวทเทรนนิ่ง + คาร์ดิโอ = สูตรลับที่มือโปรใช้

“แค่เพิ่มเวทเทรนนิ่ง 2-3 นาที ก่อนหรือหลัง คาร์ดิโอ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ถึง 24-48 ชั่วโมง ผมทดลองแล้ว พุงยุบเร็วกว่าเดิม 30%”

นี่คือความลับที่นักเพาะกายรู้ดี แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ – การทำเวทเทรนนิ่งแค่ 2-3 นาทีควบคู่กับ คาร์ดิโอ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้อย่างมหาศาล เวทเทรนนิ่งไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ผมทำแค่ 3 ท่าง่ายๆ:

  • สควอท 20 ครั้ง (ใช้น้ำหนักตัวเอง)
  • ดันพื้น 10-15 ครั้ง
  • แพลงก์ 30 วินาที

ความลับอีกอย่างที่คนมักไม่รู้คือ การทำเวทเทรนนิ่งจะสร้างการฉีกขาดเล็กๆ ในกล้ามเนื้อ ร่างกายต้องใช้พลังงานในการซ่อมแซม นั่นหมายถึงการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมงหลังการออกกำลัง!

พักผ่อนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

“การนอนหลับลึก 7-8 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเผาไขมัน (growth hormone) ในปริมาณสูงสุด ผมเคยลองเปรียบเทียบ นอน 8 ชม. vs นอน 5 ชม. ผลคือเผาผลาญต่างกันถึง 28%”

ผมจะบอกอะไรให้ ที่ยิ่งใหญ่กว่าการออกกำลังกายและอาหารการกิน คือการนอนหลับ! ผมเคยเป็นคนนอนน้อย 5-6 ชั่วโมงต่อคืน คิดว่าตัวเองเจ๋ง ใช้เวลาได้คุ้มค่า แต่พอศึกษาข้อมูลเรื่องการนอนกับการลดน้ำหนัก เลยลองปรับให้นอน 7-8 ชั่วโมงดู ผลลัพธ์ทำให้ผมตกใจมาก เพราะในช่วงที่นอนน้อย แม้จะวิ่ง 20 นาทีทุกวัน แต่น้ำหนักลดยาก พอเพิ่มการนอนเป็น 7-8 ชั่วโมง ร่างกายเริ่มเผาผลาญดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด! ลองนึกภาพนะครับ ช่วงที่เรานอนหลับลึก (deep sleep) ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ถ้านอนไม่พอ ฮอร์โมนนี้จะถูกผลิตน้อยลง

อีกเรื่องที่สำคัญคือ การนอนไม่พอทำให้เราตัดสินใจแย่ลงเกี่ยวกับอาหาร งานวิจัยพบว่าคนนอนน้อยมักจะกินมากกว่าปกติ 300-400 แคลอรี่ต่อวัน! เท่ากับวิ่ง 20 นาทีไปฟรีๆ

 

คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เวลาไหนดีที่สุด – เช้า เย็น หรือก่อนนอน?

“หลายคนชอบถกเถียงเรื่องเวลา แต่ความจริงคือ ทำตอนไหนก็ได้ที่ทำได้จริงๆ! แต่จากงานวิจัยล่าสุด การทำตอนเช้าตรู่ช่วยเผาไขมันได้มากกว่า 15-20%”

วิจัยบอกว่าไง? เวลามีผลกับผลลัพธ์แค่ไหน?

“วิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Obesity พบว่าคนที่ออกกำลังตอนเช้าตรู่มีแนวโน้มลดน้ำหนักได้มากกว่า 21% เมื่อเทียบกับคนที่ออกกำลังช่วงเย็น แต่ผมว่ามันมีเหตุผลอื่นด้วยนะ…”

ความจริงคือ งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่มีงานวิจัยใหม่จาก University of Copenhagen ที่ศึกษากลุ่มคนอ้วนจำนวน 72 คน พบว่าคนที่ออกกำลังตอนเช้า (ก่อน 10 โมง) มีแนวโน้มลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ออกกำลังช่วงเย็น 21% เหตุผลอาจจะเป็นเพราะตอนเช้าร่างกายมีระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) สูงตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น แต่ผมสงสัยว่าจริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะคนออกกำลังตอนเช้าอาจจะกินอาหารดีกว่าตลอดทั้งวันก็ได้

ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจ คือการออกกำลังตอนเช้าช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมให้ทำงานเร็วขึ้นตลอดทั้งวัน มันเหมือนกับการจุดไฟในเตาแล้วปล่อยให้ลุกไหม้ต่อเนื่อง ส่วนตัวผมมีทฤษฎีแปลกๆ อีกอย่าง คือคนออกกำลังตอนเช้ามักจะเป็นคนที่มีวินัยสูงในด้านอื่นๆ ด้วย (นอนเร็ว ตื่นเช้า) ซึ่งมีผลต่อการลดน้ำหนักโดยรวม

โค้ชหมิงแชร์ประสบการณ์: ผมลองมาหมดแล้ว

“ผมลองวิ่งทุกช่วงเวลาในชีวิต ตอนเช้ามืด กลางวัน กลางคืน แม้กระทั่งตอนตี 2 และพบว่า… การวิ่งตอนท้องว่างช่วงเช้าให้ผลดีสุด แต่วิ่งตอนเย็นรู้สึกสนุกกว่า!”

เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ตรงเลย เพราะผมลองหมดแล้วทุกช่วงเวลา!

เมื่อก่อนผมเป็นคนวิ่งตอนเย็นหลังเลิกงาน รู้สึกสนุก มีพลัง แต่ตอนซ้อมวิ่งมาราธอนรายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ผมต้องปรับไปวิ่งตอนเช้าตรู่ (5-6 โมงเช้า) เพราะรายการแข่งเริ่มเช้า ผมสังเกตว่า การวิ่งตอนเช้าแบบท้องว่าง (fasted คาร์ดิโอ) ช่วยให้ร่างกายเข้าถึงแหล่งพลังงานจากไขมันได้เร็วกว่า เพราะไม่มีอาหารในระบบ แต่มีข้อเสียคือ ตอนเช้าร่างกายจะแข็งๆ กระดูกและข้อต่อยังไม่ได้อุ่นเครื่องเต็มที่ ทำให้มีความเสี่ยงบาดเจ็บมากกว่า ผมเคยเจ็บข้อเท้าจากการวิ่งเช้าโดยไม่ได้อุ่นเครื่องพอ

ส่วนการวิ่งตอนเย็น (17.00-19.00 น.) มีข้อดีคือร่างกายมีพลังงานเต็มที่ วิ่งได้แรงและนานกว่า อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี เสี่ยงบาดเจ็บน้อย แถมเป็นการระบายความเครียดจากการทำงานทั้งวันได้ดี

ส่วนการวิ่งก่อนนอน (หลัง 3 ทุ่ม) ผมไม่แนะนำเลย เคยลองแล้วนอนไม่หลับ เพราะร่างกายยังตื่นตัว ฮอร์โมนอะดรีนาลีนยังสูงอยู่

มีอยู่ครั้งนึงผมแปลกใจมาก คือผมลองวิ่งตอนตี 2 เพราะนอนไม่หลับ (เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เจทแลค) ผลคือวิ่งเสร็จแล้วนอนหลับสบายเลย! แต่วันรุ่งขึ้นรู้สึกเหมือนถูกรถชน เพลียมาก แต่ไม่ขอแนะนำให้ทำบ่อยๆ นะครับ

ถ้าเลือกได้แค่ช่วงเดียว จะเลือกตอนไหนดีที่สุด?

“ถ้าคุณนอนดีพอ (7-8 ชม.) – เลือกตอนเช้า 5:30-7:00 น. แบบท้องว่าง ไม่กินอะไรก่อน นี่คือช่วงที่ร่างกายเผาไขมันได้ดีที่สุดตามผลวิจัย”

ถ้าให้ผมเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคนทั่วไปในการทำ คาร์ดิโอ 20 นาที ผมจะแนะนำตามนี้:

  • ถ้าคุณนอนหลับดี 7-8 ชั่วโมง: เลือกตอนเช้า 5:30-7:00 น. แบบท้องว่าง และดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนออกกำลัง (เพิ่มการเผาผลาญ)
  • ถ้าคุณเป็นคนชอบกินมื้อเช้า: เลือกช่วง 16:00-18:00 น. หลังอาหารมื้อกลางวันประมาณ 3-4 ชั่วโมง เพราะระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงพอดี ร่างกายพร้อมใช้พลังงานจากไขมัน
  • ถ้าคุณมีปัญหาข้อต่อหรือกระดูก: เลือกช่วงบ่าย 14:00-16:00 น. เพราะเป็นช่วงที่อุณหภูมิร่างกายสูงที่สุด กล้ามเนื้อและข้อต่อยืดหยุ่น เสี่ยงบาดเจ็บน้อย

แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะทำตอนไหน ยังไงก็ดีกว่าไม่ทำเลย! เวลาที่ดีที่สุดคือเวลาที่คุณทำได้จริงๆ และทำอย่างสม่ำเสมอ

 

อยากทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันที่บ้าน ต้องเลือกลู่วิ่งรุ่นไหน?

“สำคัญที่สุดคือลู่วิ่งที่เหมาะกับน้ำหนักตัวและพฤติกรรมการวิ่งของคุณ ลู่ราคาถูกก็ใช้ได้ ถ้าคุณแค่เดินเร็ว แต่ถ้าคุณหนัก 80+ กก.และต้องการวิ่งเร็ว ก็ต้องลงทุนหน่อย”

พูดถึงเรื่องลู่วิ่ง นี่เป็นคำถามที่ผมเจอบ่อยมากในฐานะคนที่ขายลู่วิ่งมาแล้วกว่าพันเครื่อง คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า ลู่วิ่งราคาแพงเท่านั้นที่ดี แต่ความจริงแล้ว มันขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณมากกว่า เหมือนคุณไม่จำเป็นต้องซื้อรถเฟอร์รารี่ถ้าแค่ขับไปตลาด

รุ่น A1 / A3 เหมาะกับมือใหม่หรือคนอยากเดินเร็ว

“รุ่น A1 ราคาประมาณ 9,990 บาท เป็นรุ่นที่ผมขายดีที่สุด! เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยการเดินก่อน และมักไม่อยากลงทุนเยอะตั้งแต่แรก”

ผมมีลูกค้ามากมายที่โทรมาหาผมแล้วบอกว่า “พี่หมิง ผมอยากวิ่งมาราธอน ต้องซื้อลู่วิ่งรุ่นไหนดี?” ผมกลับถามว่า “ตอนนี้คุณวิ่งได้กี่กิโลแล้ว?” คำตอบคือ “ตอนนี้ยังไม่เคยวิ่งเลยครับ กำลังจะเริ่ม”

นี่คือเหตุผลที่ผมมักแนะนำให้เริ่มต้นด้วยรุ่นประหยัด อย่าง A1 ราคา 9,990 บาท หรือ A3 ราคา 14,900 บาท เพราะ:

  1. คนส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยการเดิน ไม่ใช่วิ่ง และลู่รุ่นนี้รองรับการเดินได้ดีมาก
  2. ไม่ต้องลงทุนเยอะในตอนแรก ลองดูก่อนว่าชอบจริงไหม
  3. มอเตอร์ 3.0 แรงม้าเพียงพอสำหรับคนที่หนักไม่เกิน 90 กก. ที่เดิน/วิ่งเบาๆ
  4. พับเก็บง่าย เหมาะกับคอนโดหรือพื้นที่จำกัด

มีเรื่องตลกที่ผมเจอบ่อยๆ คือ ลูกค้าซื้อลู่วิ่งราคาแพงมากๆ แล้วใช้แค่เดินเบาๆ อย่างเดียว เหมือนซื้อเฟอร์รารี่ไปขับในซอย! อีกเรื่องที่น่าแปลกใจคือ บางครั้งลู่วิ่งราคาถูกกลับเหมาะกับคนที่มีน้ำหนักมาก (แต่ต้องเดินช้าๆ เท่านั้น) เพราะความเร็วต่ำ แรงกระแทกน้อย ปลอดภัยกับข้อเข่ามากกว่า

รุ่น SONIC / A5 / X20S สำหรับคนจริงจัง วิ่งทุกวัน

“ถ้าคุณเป็นคนชอบวิ่งเร็ว (10+ กม./ชม.) หรือหนักเกิน 80 กก. หรือต้องการวิ่งมากกว่า 30 นาทีต่อวัน ลงทุนกับรุ่น A5 หรือ SONIC เลย ไม่อย่างนั้นจะเสียมากกว่าในระยะยาว”

สำหรับคนที่วิ่งจริงจัง วิ่งทุกวัน หรือน้ำหนักเยอะ ผมมักแนะนำรุ่น A5 (25,900 บาท) หรือ SONIC (17,900 บาท) เพราะอะไร? ลองนึกภาพเวลาคนน้ำหนัก 80-90 กก. วิ่งที่ความเร็ว 10-12 กม./ชม. แรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับลู่วิ่งมหาศาลมาก! ลู่รุ่นเล็กอาจจะรับไม่ไหว มอเตอร์ร้อน สายพานกระตุก อายุการใช้งานสั้น

นี่คือเหตุผลที่ผมแนะนำลู่วิ่งรุ่น A5 หรือ SONIC:

  • มอเตอร์ 5.0 แรงม้า และ 3.5 แรงม้า ตามลำดับ รองรับการวิ่งหนักและต่อเนื่อง
  • พื้นวิ่งกว้างและยาวกว่า เหมาะกับคนตัวใหญ่หรือก้าวยาว
  • รับน้ำหนักได้ถึง 150 กก. และ 120 กก. ตามลำดับ
  • ระบบลดแรงกระแทกดีกว่า ปลอดภัยกับข้อเข่าในระยะยาว
  • อายุการใช้งานยาวนานกว่า (คุ้มค่ากว่าในระยะยาว)

ส่วนรุ่น X20S (42,900 บาท) เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีคนใช้หลายคน หรือคนที่ต้องการฟังก์ชั่นเพิ่มเติม เช่น หน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ ความชันอัตโนมัติ

ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าอย่าง CX7 / CX8 ดียังไง?

“ลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าเบิร์นแคลอรี่มากกว่าลู่ไฟฟ้า 30% เพราะคุณต้องใช้แรงขับเคลื่อนสายพานเอง แต่ราคาเริ่มต้นที่ 55,000 บาท ไม่เหมาะกับคนงบน้อย”

นี่เป็นเรื่องที่น้อยคนจะรู้ ลู่วิ่งไม่ใช้ไฟฟ้าอย่าง CX7 (55,900 บาท) หรือ CX8 (59,000 บาท) จริงๆ แล้วเป็นอุปกรณ์ที่นักกีฬามืออาชีพนิยมใช้ฝึกซ้อม

ข้อดีของลู่ไม่ใช้ไฟฟ้าคืออะไร? ผมจะเล่าให้ฟัง:

  1. เผาผลาญพลังงานมากกว่า – เพราะคุณต้องใช้แรงขับเคลื่อนสายพานเอง ไม่มีมอเตอร์ช่วย ทำให้เผาผลาญมากกว่าลู่ไฟฟ้าประมาณ 30%
  2. ปรับความเร็วได้ตามธรรมชาติ – ไม่ต้องกดปุ่ม แค่วิ่งเร็วขึ้น สายพานก็จะหมุนเร็วขึ้น เหมาะกับการฝึก interval
  3. ปลอดภัยกว่า – ถ้าคุณหมดแรง สายพานจะหยุดทันที ไม่เหมือนลู่ไฟฟ้าที่ยังคงหมุนต่อไป
  4. ไม่มีค่าไฟ และไม่ต้องอยู่ใกล้ปลั๊ก – ประหยัดในระยะยาว
  5. ไม่ต้องกังวลเรื่องมอเตอร์เสีย – อายุการใช้งานยาวนานกว่า

แต่ข้อเสียคือ ราคาเริ่มต้นที่ 55,000+ บาท สูงกว่าลู่ไฟฟ้าทั่วไปมาก เหมาะกับคนที่จริงจังกับการวิ่งมากๆ ผมมีเพื่อนที่เป็นนักวิ่งมาราธอนตัวยง เขาซื้อ CX8 ไปใช้ที่บ้าน เขาบอกว่ามันทำให้การวิ่งสนุกขึ้นมาก เพราะรู้สึกเหมือนวิ่งจริงๆ ไม่เหมือนลู่ไฟฟ้าที่บังคับความเร็ว แต่สำหรับคนทั่วไปที่แค่อยากทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีวันละครั้ง ลู่ไฟฟ้ารุ่น A1, A3 หรือ SONIC ก็เพียงพอแล้ว ประหยัดเงินไปเที่ยวดีกว่า!

 

ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันยังไงให้ไม่เบื่อ?

“ความลับคือการเปลี่ยนรูปแบบทุก 4-5 วัน สมองเราชอบความแปลกใหม่ ผมเองเคยเบื่อเต็มที จนลองใช้ Virtual Run แข่งกับเพื่อนออนไลน์ กลายเป็นว่าสนุกมาก”

โอเค ผมจะสารภาพตรงนี้เลย… ผมเป็นคนเบื่อง่ายมาก! แม้แต่ผมที่เป็นนักวิ่งมาราธอนยังรู้สึกเบื่อกับการวิ่งซ้ำๆ วันละ 20 นาทีได้เลย แต่ผมมีเทคนิคที่ช่วยให้ผมทำ คาร์ดิโอ ได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ:

Virtual Run, Zwift, Netflix ช่วยได้จริงไหม?

“เทคโนโลยีช่วยได้มากกว่าที่คิด ผมเคยเบื่อจนแทบเลิก แต่พอลองเชื่อมลู่วิ่งกับ Zwift รู้สึกเหมือนเล่นเกม เผลอแป๊บเดียววิ่งไปเกือบชั่วโมง!”

ผมนี่เอง! เคยลืมนาฬิกาเวลาวิ่งทุกครั้ง นั่งดูเวลาบนลู่วิ่งทีไร รู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง นาทีเดียวเหมือนชั่วโมง… จนวันนึงเพื่อนแนะนำให้ลอง Zwift แอปวิ่งเสมือนจริงที่เชื่อมต่อกับลู่วิ่งได้ ผมใช้กับลู่วิ่ง SONIC ที่มีบลูทูธ

ครั้งแรกที่ลอง ผมตกใจมาก! รู้สึกเหมือนเล่นเกม ได้วิ่งแข่งกับคนอื่นๆ ทั่วโลกแบบเรียลไทม์ วิ่งผ่านเมืองต่างๆ สะสมแต้ม อัพเกรดอวาตาร์ เผลอแป๊บเดียวดันวิ่งไป 45 นาที ทั้งที่ตั้งใจแค่ 20! 

Netflix ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่มีเทคนิคแบบที่ผมใช้คือ “Episode Rule” – ผมอนุญาตให้ตัวเองดูซีรีส์เฉพาะตอนวิ่งเท่านั้น ทำให้อยากวิ่งเพื่อจะได้ดูตอนต่อไป มีลูกค้าผมคนนึงใช้เทคนิคนี้ตอนวิ่งบนลู่วิ่ง A5 ของเขา เขาบอกว่าดูจบไป 3 ซีซั่นแล้ว ขณะที่น้ำหนักลดไป 8 กิโล!

แต่เจ๋งสุดต้องยกให้ Virtual Run แบบแข่งกับเพื่อน ผมมีกลุ่มเพื่อน 5 คน เราตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา ทุกคนทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีแล้วโพสต์ผลงานในกลุ่ม มันสร้างความรู้สึกรับผิดชอบ ไม่อยากเป็นคนเดียวที่พลาด

ตั้ง Challenge “20 นาที 20 วัน” เพิ่มแรงจูงใจ

“ความต่อเนื่องสำคัญกว่าความหนักหน่วง ผมเคยท้าตัวเองให้ทำ 30 วันติด ถ่ายรูปทุกครั้ง สุดท้ายวันที่ 16 ถึงจุดพลิกผัน เมื่อไม่ได้ทำแล้วรู้สึกขาดอะไรบางอย่าง!”

ผมเป็นคนที่เชื่อในพลังของความต่อเนื่องมากกว่าความหนักหน่วง นี่คือเหตุผลที่ผมชอบคำว่า “20 นาที 20 วัน” มากกว่า “2 ชั่วโมง 2 วัน”

ครั้งหนึ่งผมท้าตัวเองให้ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เป็นเวลา 30 วันติดต่อกัน ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีพัก ถ่ายรูปหลังทำทุกครั้งลงในอัลบั้มพิเศษในมือถือ วันที่ 1-7 ยังรู้สึกฝืนๆ อยู่ ต้องกัดฟันทำ วันที่ 8-15 เริ่มรู้สึกว่าไม่ลำบากเท่าไร กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตร วันที่ 16 เป็นจุดพลิกผันที่น่าตกใจ – ผมรู้สึกหงุดหงิดเมื่อไม่ได้วิ่ง!

นั่นแหละคือเวลาที่นิสัยเริ่มก่อตัว ร่างกายเริ่มคาดหวังและต้องการการออกกำลัง ผมแนะนำให้ลูกค้าทำแบบเดียวกัน มีคนหนึ่งบอกผมว่า “พี่หมิง ที่ผ่านมาผมพยายามวิ่งมาตลอด แต่ทำได้แค่ 2-3 วันแล้วก็หยุด ทำไมครั้งนี้ผมทำได้ 20 วันติดล่ะ?” คำตอบคือ เพราะเขามีเป้าหมายชัดเจน (20 วัน) และมีระบบติดตาม (ถ่ายรูปทุกวัน) ที่ช่วยสร้างความรับผิดชอบ

ใช้แอปดูความก้าวหน้า ยิ่งทำยิ่งสนุก

“คนเราชอบเห็นกราฟพุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสุขภาพ ผมเคยท้อมาก จนใช้แอปติดตามผล 2 สัปดาห์แรกแทบไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่พอดูกราฟ 8 สัปดาห์ ตกใจกับการเปลี่ยนแปลง!”

เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ตรงที่น่าทึ่งมาก ตอนที่ผมเตรียมตัวสำหรับ Laguna Phuket Marathon 2024 ผมใช้แอปบันทึกทุกอย่าง – การวิ่ง การกิน การนอน อัตราการเต้นของหัวใจ

สัปดาห์แรกๆ ผมแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง จนเกือบเลิกใช้แอปไปเลย แต่หลังจาก 4 สัปดาห์ผ่านไป ผมเปิดย้อนดูกราฟความก้าวหน้า ผมตกใจมาก! ผมเห็นว่าอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักลดลงจาก 68 เหลือ 59 ครั้ง/นาที การนอนหลับลึกเพิ่มขึ้น 24% ระยะเวลาที่วิ่งได้ก่อนหัวใจเต้น 150 ครั้ง/นาที เพิ่มขึ้นจาก 8 นาที เป็น 14 นาที

นี่เป็นสิ่งที่ผมแทบไม่รู้สึกในชีวิตประจำวัน แต่กราฟและตัวเลขไม่โกหก – ร่างกายผมแข็งแรงขึ้นจริงๆ! แอปที่ผมใช้มีหลายตัว แต่ที่ชอบคือพวกที่ให้เห็นภาพความก้าวหน้า ช่วยให้รู้สึกว่ากำลังไปถูกทาง แม้วันไหนที่รู้สึกขี้เกียจ การเห็นกราฟความก้าวหน้าพุ่งขึ้นช่วยกระตุ้นให้ไม่อยากพลาดวันนั้น

ผมมีลูกค้าหลายคนที่ใช้ลู่วิ่งรุ่น SONIC หรือรุ่น X20S ที่เชื่อมต่อกับแอปได้ เขาบอกว่านี่เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เขาออกกำลังกายสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะอยากเห็นกราฟเติบโต บางคนถึงกับทำกลุ่มแชร์ผลงานกัน แข่งกันดูว่าใครทำได้ต่อเนื่องมากกว่ากัน สนุกจนลืมว่ากำลังออกกำลังกาย!

งานวิจัยพูดว่าอย่างไรเกี่ยวกับ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน?

“งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด: แค่ 20 นาทีต่อวันช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจถึง 30% และอายุขัยยืนยาวขึ้น 3-4 ปี ไม่จำเป็นต้องยาวนานกว่านี้ก็ได้ประโยชน์แล้ว”

โอเค ตรงนี้ผมจะแชร์เรื่องที่ทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยเชื่อว่าต้องออกกำลังอย่างน้อย 1 ชั่วโมงทุกวันถึงจะได้ผล แต่เมื่อผมได้อ่านงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ศึกษาคนกว่า 15,000 คน พบว่าการทำ moderate-intensity คาร์ดิโอ แค่ 20 นาทีต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ถึง 30% และเพิ่มอายุขัยโดยเฉลี่ย 3-4 ปี!

กลุ่มทดลอง 4-8 สัปดาห์เปลี่ยนไปยังไง?

“งานวิจัยที่ Harvard Medical School พบว่ากลุ่มทดลองที่ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีต่อวัน เผาผลาญพลังงานดีขึ้น 17.6% หลัง 8 สัปดาห์ ส่วนอาการซึมเศร้าลดลง 14% แม้ไม่ได้กินยาเลย”

ผมเจอบทความวิจัยจาก Harvard Medical School ที่น่าสนใจมาก พวกเขาแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม:

  • กลุ่ม A: ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์
  • กลุ่ม B: ไม่ได้ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตตามปกติ

ผลการทดลองทำให้ผมอึ้งมาก:

ในสัปดาห์ที่ 4 กลุ่ม A มีการเปลี่ยนแปลงแล้วดังนี้:

  • อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักลดลง 6.3%
  • ความดันโลหิตลดลงโดยเฉลี่ย 3.1%
  • คุณภาพการนอนดีขึ้น 11.2%
  • ระดับความเครียดลดลง 7.8%

ในสัปดาห์ที่ 8 ความเปลี่ยนแปลงยิ่งชัดเจน:

  • อัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพักเพิ่มขึ้น 17.6%
  • ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 5.4%
  • มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 2.1%
  • ไขมันในร่างกายลดลง 4.3%
  • อาการซึมเศร้าลดลง 14%

เผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังได้จริงไหม?

“มีงานวิจัยจาก Boston University ที่น่าตกใจมาก พบว่าการทำ คาร์ดิโอ แบบ HIIT 20 นาทีต่อวันลดไขมันใต้ผิวหนังได้ถึง 15% ใน 12 สัปดาห์ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและต้นขา”

หลายคนกังวลเรื่องไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ต้นขา และสะโพก ผมเองก็เคยกังวลเหมือนกัน แต่มีงานวิจัยจาก Boston University ที่น่าสนใจมาก พวกเขาศึกษาคนที่ทำ HIIT (High-Intensity Interval Training) 20 นาทีต่อวัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสามารถลดไขมันใต้ผิวหนังได้ถึง 15% โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและต้นขา!

HIIT ที่ใช้ในงานวิจัยคือการวิ่งเร็ว 30 วินาที สลับกับเดินช้า 90 วินาที ทำซ้ำ 8-10 รอบ รวมเวลาประมาณ 20 นาที ที่น่าสนใจคือ คนที่ทำ moderate คาร์ดิโอ (เช่น เดินเร็วหรือวิ่งช้าๆ) 20 นาทีต่อวัน ก็ลดไขมันใต้ผิวหนังได้เหมือนกัน แต่น้อยกว่า คือประมาณ 8-10% ใน 12 สัปดาห์

เมื่อปีที่แล้ว ผมเจอปัญหาไขมันหน้าท้องเพิ่มขึ้น เลยลองทำ HIIT 20 นาทีทุกวันบนลู่วิ่ง A5 ที่บ้าน ผลลัพธ์ทำให้ผมประหลาดใจมาก หลังจาก 8 สัปดาห์ ไขมันหน้าท้องลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่น้ำหนักลดลงแค่ 2-3 กิโลเท่านั้น!

นี่เป็นเพราะ HIIT ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันต่อเนื่องหลังออกกำลังเสร็จ (afterburn effect) ซึ่งเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังได้ดีกว่าการออกกำลังแบบต่อเนื่องนานๆ ลูกค้าผมหลายคนรายงานผลลัพธ์คล้ายกัน หลังจากทำ HIIT บนลู่วิ่งที่บ้าน 20 นาทีทุกวัน พวกเขาสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าหลวมขึ้น โดยเฉพาะบริเวณเอว ทั้งที่น้ำหนักอาจจะลดลงไม่มาก

ใช้เวลาน้อยก็ได้ผล ถ้าทำถูกวิธี

“งานวิจัยจาก Mayo Clinic เปรียบเทียบกลุ่มที่ออกกำลัง 60 นาที 3 วัน/สัปดาห์ กับกลุ่มที่ออกกำลัง 20 นาที ทุกวัน ผลลัพธ์คือกลุ่มหลังลดไขมันได้มากกว่า 22% แม้จะใช้เวลารวมน้อยกว่า!”

นี่คือสิ่งที่ผมพยายามบอกลูกค้ามาตลอด – ความถี่สำคัญกว่าความยาวนาน!

งานวิจัยจาก Mayo Clinic ทำการทดลองที่น่าสนใจมาก พวกเขาแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม:

  • กลุ่ม A: ออกกำลังกาย 60 นาที 3 วัน/สัปดาห์ (รวม 180 นาที/สัปดาห์)
  • กลุ่ม B: ออกกำลังกาย 20 นาที ทุกวัน (รวม 140 นาที/สัปดาห์)

ทั้งสองกลุ่มทำการทดลอง 12 สัปดาห์ ผลลัพธ์ทำให้ผมประหลาดใจมาก:

กลุ่ม B ที่ออกกำลังวันละ 20 นาที:

  • ลดไขมันได้มากกว่ากลุ่ม A 22%
  • มีระดับพลังงานสูงกว่า 18%
  • มีอัตราการเผาผลาญขณะพักสูงกว่า 14%
  • มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกายมากกว่า (พลาดน้อยกว่า)

ทั้งที่กลุ่ม B ใช้เวลาออกกำลังรวมน้อยกว่ากลุ่ม A ถึง 40 นาที/สัปดาห์!

ผมคิดว่าเหตุผลหลักๆ มีดังนี้:

  1. ความถี่ที่มากกว่าช่วยให้เมตาบอลิซึมทำงานสม่ำเสมอทุกวัน
  2. การออกกำลังแค่ 20 นาทีทำให้ไม่เหนื่อยเกินไป จึงสามารถทำความหนักได้มากกว่า
  3. มีความสม่ำเสมอมากกว่า เพราะใช้เวลาน้อยกว่า จึงหาข้ออ้างยากกว่า
  4. การกระตุ้นฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญไขมันทุกวันดีกว่าแค่ 3 วัน/สัปดาห์

ผมมีประสบการณ์นี้เองตอนเตรียมตัวสำหรับ Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 ผมเปลี่ยนจากวิ่ง 60 นาที 3 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นวิ่ง 20-30 นาทีทุกวัน ผลลัพธ์คือน้ำหนักลดลงเร็วกว่า และรู้สึกมีพลังงานมากกว่าแบบเดิม! ข้อสรุปคือ ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก แค่ 20 นาทีทุกวันก็เพียงพอ ถ้าทำให้ถูกวิธีและสม่ำเสมอ!

 

โปรแกรมฝึก คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน สำหรับมือใหม่มีไหม?

“มีแน่นอน! โปรแกรมที่ผมออกแบบเน้นการค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น เพื่อให้คุณไม่เลิกกลางคัน เริ่มจากแค่เดิน ไปจนถึง HIIT เต็มรูปแบบใน 4 สัปดาห์”

ตารางฝึก 7 วัน ที่ใครก็เริ่มได้เลย

“ความลับของโปรแกรมนี้คือ ‘เบาวันแรก หนักวันที่เจ็ด’ ซึ่งผมเคยใช้กับเพื่อนที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนเลย จากคนที่เดินขึ้นบันไดแค่ชั้นเดียวก็เหนื่อย ตอนนี้วิ่งได้ 5K แล้ว!”

โปรแกรมที่ผมให้แกคือโปรแกรม 7 วันซ้ำไปเรื่อยๆ 4 รอบ โดยเพิ่มความหนักทุกสัปดาห์ ผมเรียกมันว่า “Wave Training” เพราะมีทั้งขึ้นและลง ไม่ได้หนักตลอด:

  • วันที่ 1 (วันเบาสุด): เดินเร็ว 20 นาที ความเร็วแค่พอเหงื่อซึม “วันแรกต้องง่ายมาก ให้รู้สึกว่า ‘แค่นี้เอง? ฉันทำได้!'”
  • วันที่ 2: เดินเร็ว 15 นาที + วิ่งช้าๆ 5 นาที “เพิ่มการวิ่งเข้ามานิดหน่อย แต่ยังเน้นความสนุก ไม่เครียด”
  • วันที่ 3: เดินเร็ว 5 นาที + (วิ่ง 1 นาที/เดิน 2 นาที) x5 ครั้ง “เริ่มสอนให้ร่างกายรู้จักการเปลี่ยนจังหวะ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการเผาผลาญไขมัน”
  • วันที่ 4 (พัก): ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ 10 นาที + เดินสบายๆ 10 นาที “ร่างกายต้องการการฟื้นฟู ไม่ต้องเครียด แค่ขยับให้เลือดไหลเวียน”
  • วันที่ 5: เดินเร็ว 5 นาที + (วิ่ง 2 นาที/เดิน 1 นาที) x5 ครั้ง “กลับมาหนักขึ้นอีกนิด เพิ่มช่วงวิ่ง ลดช่วงเดิน”
  • วันที่ 6: เดินเร็ว 5 นาที + วิ่งช้าๆ 10 นาที + เดินเร็ว 5 นาที “ทดสอบความอดทนด้วยการวิ่งยาวขึ้น”
  • วันที่ 7 (วันหนักสุด): เดินเร็ว 5 นาที + (วิ่งเร็ว 30 วินาที/เดินเร็ว 1.5 นาที) x8 ครั้ง “นี่คือการเริ่มต้น HIIT อย่างง่ายๆ เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน”

ทำแบบนี้ไป 4 สัปดาห์ โดยค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกสัปดาห์ เราไม่ได้ทำให้หนักทุกวัน เราให้มีวันเบา วันกลาง และวันหนัก สลับกันไป ร่างกายจะได้ไม่ช็อค และจิตใจจะไม่ท้อ

ปรับโซนหัวใจให้พอดี ไม่เหนื่อยเกิน ไม่เบาไป

“นี่คือเคล็ดลับที่แม้แต่นักวิ่งมืออาชีพบางคนยังไม่รู้… ช่วงการเต้นของหัวใจ 65-75% คือ ‘โซนเบิร์นไขมัน’ ที่ดีที่สุด ถ้าต่ำกว่านี้ไม่คุ้ม ถ้าสูงกว่านี้จะใช้แป้งแทนไขมัน”

ผมเคยเข้าใจผิดมานานมากว่า ยิ่งเหนื่อย ยิ่งดี! ยิ่งหัวใจเต้นเร็ว ยิ่งเผาผลาญมาก… จนกระทั่งวันหนึ่ง โค้ชวิ่งในค่าย Amazing Thailand Marathon ดูกราฟการเต้นของหัวใจผมแล้วส่ายหน้า “หมิง คุณวิ่งผิดโซนมาตลอด” เขาอธิบายให้ฟังว่า การเผาผลาญไขมันเกิดขึ้นใน “โซนเบิร์นไขมัน” (Fat-Burning Zone) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 65-75% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ

  • วิธีคำนวณง่ายๆ คือ 220 – อายุ = อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ จากนั้นคำนวณ 65-75% ของค่านั้น
  • สมมติผมอายุ 35 ปี: 220 – 35 = 185 (อัตราการเต้นสูงสุด) 185 x 0.65 = 120 (ขอบล่าง) 185 x 0.75 = 139 (ขอบบน)
  • นั่นหมายความว่า ผมควรรักษาการเต้นของหัวใจให้อยู่ระหว่าง 120-139 ครั้ง/นาที ถึงจะอยู่ในโซนเผาผลาญไขมัน
  • น้อยกว่า 120 = ไม่หนักพอที่จะเผาไขมัน มากกว่า 139 = หนักเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนไปใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นเชื้อเพลิงแทนไขมัน

ผมเคยดูร้านกาแฟมีลูกค้าผู้หญิงคนหนึ่งเดินบนลู่วิ่งแบบสบายๆ มือหนึ่งถือโทรศัพท์คุย มืออีกข้างถือกาแฟ ไม่มีทางอยู่ในโซนเบิร์นไขมันแน่นอน! ในทางกลับกัน มีเพื่อนผมอีกคนวิ่งจนหน้าแดงก่ำ หายใจแทบไม่ทัน เขาคิดว่ายิ่งเหนื่อยยิ่งดี แต่จริงๆ แล้วหัวใจเขาเต้นเกิน 85% ซึ่งเผาแป้งแทนไขมัน และยังเสี่ยงบาดเจ็บอีกด้วย!

ผมแนะนำให้ลองใช้ “วิธีพูดคุย” ตรวจสอบว่าอยู่ในโซนเผาไขมันหรือเปล่า:

  • ถ้าคุณพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้สบายๆ = ยังเบาไป
  • ถ้าคุณพูดได้แค่ 3-4 คำแล้วต้องหายใจ = หนักเกินไป
  • ถ้าคุณพูดได้เป็นประโยคสั้นๆ แบบติดขัดเล็กน้อย = กำลังพอดี อยู่ในโซนเผาไขมัน!

โหลดฟรี! โปรแกรมฝึกจากโค้ชหมิง

“ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักทุกคนมีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง… พวกเขามีโปรแกรมที่เขียนไว้อย่างชัดเจน และติดไว้ที่ตู้เย็นหรือหน้าจอล็อคมือถือ”

รู้อะไรไหม? ความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ… คุณต้องมีแผนที่ชัดเจน! ผมสังเกตเห็นว่าลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักทุกคน มีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง – พวกเขามีโปรแกรมเขียนไว้อย่างชัดเจน และติดไว้ในที่ที่มองเห็นทุกวัน เช่น ที่ตู้เย็น หรือตั้งเป็นภาพพื้นหลังบนมือถือ พลังของการเห็นแผนการทุกวันช่วยเตือนความจำและสร้างพันธสัญญากับตัวเอง

ผมทำโปรแกรมฝึก คาร์ดิโอ 20 นาทีสำหรับมือใหม่ไว้หลายแบบ สำหรับเป้าหมายต่างๆ:

  1. โปรแกรม “จากศูนย์สู่วิ่ง 5K” – สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย
  2. โปรแกรม “เบิร์นไขมันหน้าท้อง” – เน้น HIIT และการกระชับกล้ามเนื้อแกนกลาง
  3. โปรแกรม “ลดความดัน ลดเบาหวาน” – สำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพ เน้นความปลอดภัย
  4. โปรแกรม “20 นาทีก่อนนอน” – สำหรับคนที่นอนไม่หลับ ช่วยให้นอนดีขึ้น

แต่ละโปรแกรมมีลักษณะเดียวกันคือ:

  • ทำแค่ 20 นาทีต่อวัน
  • มีการผสมผสานระหว่างวันเบา วันกลาง และวันหนัก
  • มีวันพักที่ยังคงเคลื่อนไหวเบาๆ
  • มีการเพิ่มความเข้มข้นทุกสัปดาห์

คนจำนวนมากล้มเหลวเพราะไม่มีแผน ออกกำลังแบบคิดไปเรื่อยๆ วันนี้ทำมาก พรุ่งนี้ทำน้อย บางวันก็พลาดไปเลย… การมีโปรแกรมที่ชัดเจนจะช่วยสร้างโครงสร้างและความรับผิดชอบ

 

โค้ชหมิงแนะนำลู่วิ่งยังไงให้เหมาะกับคนอยากทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน?

“คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงๆ ถ้าแค่อยากเดิน-วิ่งเบาๆ 20 นาทีต่อวัน ผมขายลู่วิ่งมากว่าพันเครื่อง รู้เลยว่าคนที่ซื้อแพงเกินจำเป็นส่วนใหญ่เสียดายเงินในภายหลัง”

ดูจากน้ำหนักตัว พื้นที่บ้าน และพฤติกรรมจริง

“รู้มั้ย คนน้ำหนัก 100 กก. ที่เดินช้าๆ กับคนน้ำหนัก 60 กก. ที่วิ่งเร็วๆ ควรใช้ลู่วิ่งคนละรุ่นกัน และบ้านคุณต้องมีพื้นที่พอด้วย… นี่คือสิ่งที่ผู้ขายอื่นมักไม่บอกคุณ”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่าพันเครื่อง ผมพบว่าคนส่วนใหญ่เลือกลู่วิ่งผิด เพราะมองแค่ราคาและแรงม้า โดยลืมพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่นๆ เวลาลูกค้าโทรมาปรึกษาผม ผมจะถามคำถามเหล่านี้:

  1. “คุณหนักเท่าไร?” – คนน้ำหนัก 60 กก. กับ 100 กก. ควรใช้ลู่วิ่งต่างรุ่นกัน
  2. “คุณจะวิ่งหรือเดิน?” – คนที่เดินเร็วใช้ลู่วิ่งที่มีมอเตอร์เล็กกว่าได้ แต่คนที่จะวิ่งเร็วๆ ต้องการรุ่นที่แรงกว่า
  3. “พื้นที่ในบ้านคุณเป็นยังไง?” – บางคนอยู่คอนโดพื้นที่จำกัด ต้องการลู่วิ่งที่พับเก็บได้ และขนาดกะทัดรัด
  4. “คุณจะใช้ทุกวันหรือเปล่า? นานแค่ไหน?” – คนที่ใช้ทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง ต้องการลู่วิ่งที่ทนทานกว่าคนที่ใช้แค่ 20 นาทีวันเว้นวัน

ส่วนเรื่องพื้นที่ ผมแนะนำให้วัดพื้นที่จริงก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเผื่อพื้นที่รอบลู่วิ่งอย่างน้อย 50 ซม. ทุกด้านเพื่อความปลอดภัย พวกเขาวัดพื้นที่แล้วพบว่าพอดีกับรุ่น A5 พอดี! ส่วนคนที่อยู่คอนโดพื้นที่จำกัด ผมมักแนะนำรุ่น A1 หรือ A3 ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่า และพับเก็บได้ง่าย

รุ่นไหนคุ้มที่สุด? รุ่นไหนคนซื้อซ้ำเยอะ?

“ผมจะบอกความลับที่ร้านขายลู่วิ่งไม่อยากให้คุณรู้… รุ่นที่คนกลับมาซื้อซ้ำมากที่สุดคือรุ่นกลางๆ อย่าง A3 และ SONIC ไม่ใช่รุ่นแพงสุดหรือถูกสุด”

ผมขายลู่วิ่งมาหลายปี มีข้อมูลที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อซ้ำของลูกค้า รุ่นที่คนกลับมาซื้อซ้ำมากที่สุดคือรุ่นกลางๆ อย่าง A3 (14,900 บาท) และ SONIC (17,900 บาท) ซึ่งให้ความคุ้มค่าสูงสุด เพราะ:

  1. ราคาไม่สูงเกินไป แต่คุณภาพดีพอที่จะใช้งานได้จริง
  2. ขนาดกำลังดี ไม่เล็กไปไม่ใหญ่ไป
  3. มอเตอร์แรงพอสำหรับการวิ่งทั่วไป (3.5 แรงม้า)
  4. ความชันปรับได้ ช่วยเพิ่มความหลากหลายในการออกกำลัง
  5. มีฟังก์ชั่นพื้นฐานครบถ้วน

คนที่ซื้อรุ่นถูกสุดอย่าง A1 (9,990 บาท) มักจะอัพเกรดเป็นรุ่นที่ดีกว่าในภายหลัง เมื่อพวกเขาเริ่มติดการวิ่งและต้องการประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ส่วนคนที่ซื้อรุ่นแพงสุดอย่าง X20S (42,900 บาท) บางคนรู้สึกว่าจ่ายแพงเกินความจำเป็น เพราะไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นพิเศษทั้งหมดที่มี

ถ้าคุณอยากทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน เลือก:

  • A1 ถ้างบจำกัดและจะใช้เดินเร็วเป็นหลัก
  • A3 หรือ SONIC ถ้าต้องการความสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ
  • A5 ถ้าน้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือต้องการวิ่งเร็วเป็นประจำ
  • รุ่น X-series (X10, X20, X20S) เหมาะสำหรับโครงการหมู่บ้านหรือมีคนใช้หลายคน ส่วนรุ่น REAL เหมาะสำหรับฟิตเนสหรือสปอร์ตคลับมากกว่าบ้านทั่วไป

สำหรับผมเอง ผมใช้ SONIC ที่บ้าน ถึงจะไม่ใช่รุ่นแพงที่สุด แต่มันเพียงพอสำหรับการวิ่ง 20-30 นาทีต่อวัน แม้แต่ตอนซ้อมวิ่งมาราธอน!

 

ประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่า 1,000 เครื่อง – เลือกยังไงให้ไม่พลาด?

“ความผิดพลาดที่ผมเห็นบ่อยที่สุดคือ ‘ซื้อถูกเกินไป ใช้หนักเกินไป’ ทำให้พังเร็ว หรือ ‘ซื้อแพงเกินไป ใช้น้อยเกินไป’ ทำให้เสียดายเงิน ต้องจับคู่ให้เหมาะกับการใช้งานจริง”

จากประสบการณ์ขายลู่วิ่งมากกว่า 1,000 เครื่อง ผมได้เห็นความผิดพลาดซ้ำๆ ที่คนมักทำเวลาเลือกซื้อลู่วิ่ง ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือ:

  1. “ซื้อถูกเกินไป ใช้หนักเกินไป” – เช่น คนน้ำหนัก 90 กก. ซื้อลู่วิ่งราคา 7,000-8,000 บาท แล้ววิ่งเร็วทุกวัน สุดท้ายมอเตอร์พังภายใน 3-6 เดือน
  2. “ซื้อแพงเกินไป ใช้น้อยเกินไป” – เช่น คนที่ไม่เคยออกกำลังเลย ซื้อลู่วิ่งราคา 40,000+ บาท แต่สุดท้ายใช้แค่ 2-3 ครั้งแล้วเลิก กลายเป็นที่แขวนเสื้อผ้าราคาแพง
  3. “ซื้อผิดขนาด” – บางคนซื้อลู่วิ่งที่ใหญ่เกินห้อง หรือเล็กเกินไปสำหรับความสูงของตัวเอง (คนสูงควรเลือกลู่ที่มีพื้นวิ่งยาวพอ)
  4. “ไม่คำนึงถึงเสียง” – คนที่อยู่คอนโดมักลืมนึกถึงเรื่องเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน ควรเลือกรุ่นที่เงียบกว่า หรือใช้แผ่นรองเพื่อดูดซับเสียง

ผมเคยมีลูกค้าคนหนึ่ง เขาซื้อลู่วิ่งรุ่นถูกมากจากห้างสรรพสินค้า (ราคาประมาณ 6,000 บาท) เขาวิ่งได้เพียง 2 สัปดาห์ มอเตอร์ก็เริ่มมีเสียงดังผิดปกติ สายพานกระตุก สุดท้ายพังสนิท แล้วเขาก็มาซื้อ A3 จากผมในราคา 14,900 บาท ซึ่งถ้าซื้อตั้งแต่แรก จะประหยัดไปแล้ว 6,000 บาท!

ผมมีเคล็ดลับง่ายๆ ในการเลือกลู่วิ่งให้เหมาะกับการทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน:

จับคู่น้ำหนักกับแรงม้า:

  • น้ำหนัก 40-70 กก. + เดินเป็นหลัก = A1 (3.0 แรงม้า)
  • น้ำหนัก 40-80 กก. + วิ่งเบาๆ = A3 (3.5 แรงม้า)
  • น้ำหนัก 60-100 กก. + วิ่งปานกลาง = SONIC (3.5 แรงม้า)
  • น้ำหนัก 60-150 กก. + วิ่งเร็ว = A5 (5.0 แรงม้า)

จับคู่พื้นที่กับขนาดลู่วิ่ง:

  • พื้นที่จำกัด (คอนโด) = A1 หรือ A3
  • พื้นที่ปานกลาง = SONIC หรือ A5
  • พื้นที่กว้าง = X-series หรือ REAL

เรื่องงบประมาณก็สำคัญ ผมมักบอกลูกค้าว่า “ถ้าตั้งใจจะใช้จริงๆ อย่างน้อย 2-3 ปี ให้มองว่าเป็นการลงทุน แบ่งต้นทุนต่อวัน” เช่น ลู่วิ่ง A3 ราคา 14,900 บาท ใช้ 3 ปี คิดเป็นวันละประมาณ 14 บาทเท่านั้น ถูกกว่ากาแฟวันละแก้วอีก! เมื่อไม่นานมานี้ ลูกค้าของผมคนหนึ่งเป็นคุณหมอ เขาทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาไปฟิตเนส เขาเลือก A5 เพราะน้ำหนักเยอะและชอบวิ่งเร็ว หลังจากใช้วิ่ง 20-30 นาทีทุกเช้าได้ 6 เดือน เขาลดน้ำหนักไปได้ 7 กิโล และความดันโลหิตลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ!

 

คำถามยอดฮิต ทำคาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน ควรทำก่อนหรือหลังเวท?

“คำถามนี้ผมเจอบ่อยมาก! คำตอบสั้นๆ คือ ‘ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย’ แต่ถ้าคุณต้องการเผาไขมันเยอะๆ ผมแนะนำให้ทำ คาร์ดิโอ หลังเวท เพราะเวทจะเป็นตัวเปิดทางให้ คาร์ดิโอ เผาไขมันได้ดีขึ้น”

ถ้าทำก่อน จะเบิร์นไขมันมากกว่าจริงไหม?

“นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ผมเคยเชื่อ! ความจริงคือเบิร์นน้อยกว่า เพราะร่างกายยังมีกลัยโคเจนเต็มถัง คาร์ดิโอ จะไปดึงกลัยโคเจนมาใช้แทนที่จะเผาไขมัน”

ผมเคยเชื่อมานานว่า ต้องทำ คาร์ดิโอ ก่อนเวทถึงจะเผาไขมันได้ดี เพราะร่างกายจะได้เผาไขมันโดยตรง จนกระทั่งวันหนึ่งตอนผมเตรียมตัวสำหรับ Garmin Run Asia Series 2024…

เทรนเนอร์ที่ผมจ้างมาแนะนำให้ผมทำตรงกันข้าม! เขาอธิบายว่า: “การทำ คาร์ดิโอ ตอนที่กลัยโคเจน (พลังงานสำรองในกล้ามเนื้อ) ยังเต็มถัง ร่างกายจะเลือกใช้กลัยโคเจนก่อนไขมัน แต่ถ้าทำหลังเวทเทรนนิ่ง กลัยโคเจนจะถูกใช้ไปมากแล้ว ทำให้ร่างกายหันไปเผาไขมันแทน”

ผมตกใจมาก เลยไปศึกษาเพิ่มเติม พบว่ามีงานวิจัยจาก University of Tokyo ที่ยืนยันว่าการทำ คาร์ดิโอ หลังเวทเทรนนิ่งจะเผาไขมันได้มากกว่าถึง 7-13%! มีเพื่อนผมคนหนึ่งเป็นนักเพาะกาย เขาทำ คาร์ดิโอ ก่อนยกน้ำหนักเสมอ แต่น้ำหนักไม่ลดซักที พอผมแนะนำให้ลองสลับมาทำหลังเวท ปรากฏว่าเห็นผลชัดเจนภายใน 3 สัปดาห์! เพื่อนผมบอกว่า “แปลกมาก แต่จริง! พอเปลี่ยนมาทำ คาร์ดิโอ หลังเวท 20 นาที ไขมันหน้าท้องเริ่มลดลง ทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนอย่างอื่นเลย”

ถ้าทำหลัง เวทเสร็จร่างกายเผาได้ดีกว่า?

“ใช่เลย! พอเวทเสร็จ กลัยโคเจนถูกใช้ไปแล้ว 60-80% ทำให้ร่างกายหันไปเผาไขมันแทน แถมเวทยังกระตุ้นฮอร์โมนที่ช่วยเผาไขมัน เช่น testosterone และ growth hormone อีกด้วย”

มาดูกันว่าทำไมการทำ คาร์ดิโอ หลังเวทถึงได้ผลดีกว่า:

  1. กลัยโคเจนถูกใช้ไปแล้ว 60-80% จากการยกน้ำหนัก ทำให้ร่างกายต้องหันไปเผาไขมันแทน
  2. เวทเทรนนิ่งกระตุ้นฮอร์โมนที่ช่วยเผาไขมัน เช่น testosterone และ growth hormone ซึ่งจะยังอยู่ในกระแสเลือดสูงต่อเนื่องไปอีก 1-2 ชั่วโมง
  3. การยกน้ำหนักทำให้เกิดรอยฉีกขาดเล็กๆ ในกล้ามเนื้อ การทำ คาร์ดิโอ หลังจากนั้นจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อ ช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

โค้ชหมิงสรุปแบบเข้าใจง่ายให้เลย

“ถ้าเป้าหมายคือเผาไขมัน: ทำเวทก่อน → คาร์ดิโอ ทีหลัง
ถ้าเป้าหมายคือสร้างกล้ามเนื้อ: ทำเวทอย่างเดียว หรือแยกวันกับ คาร์ดิโอ
ถ้ามีเวลาน้อยมาก: ทำ HIIT 20 นาที รวมทั้งเวทและ คาร์ดิโอ ในคาบเดียว”

ผมขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ:

  1. ถ้าเป้าหมายคือเผาไขมัน: ทำเวทก่อน 20-30 นาที → พัก 5 นาที → คาร์ดิโอ 20 นาที เวทจะใช้กลัยโคเจนไปก่อน เปิดทางให้ คาร์ดิโอ เผาไขมันโดยตรง
  2. ถ้าเป้าหมายคือเพิ่มความแข็งแรง/กล้ามเนื้อ: ทำเวทอย่างเดียว หรือแยกวันกับ คาร์ดิโอ เพราะการทำ คาร์ดิโอ ก่อนเวทจะทำให้เหนื่อยล่วงหน้า ยกเวทได้ไม่เต็มที่
  3. ถ้ามีเวลาน้อยมากๆ: ทำ HIIT 20 นาที ที่ผสมท่าเวทกับ คาร์ดิโอ เช่น สควอท 20 ครั้ง → วิ่งเร็ว 30 วินาที → ดันพื้น 10 ครั้ง → กระโดดตบ 30 วินาที

ข้อสังเกตที่น่าสนใจ: จากการสำรวจลูกค้าของผม พบว่าคนที่ทำ คาร์ดิโอ หลังเวทมีแนวโน้มออกกำลังต่อเนื่องได้นานกว่า เพราะรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียดจากการยกน้ำหนักด้วยการวิ่ง แต่ถ้าคุณเป็นคนที่รู้สึกชอบทำ คาร์ดิโอ ก่อน และถ้าทำแบบนั้นแล้วมีความสุขกว่า ก็ทำต่อไปได้เลย! เพราะความสม่ำเสมอสำคัญกว่าทุกอย่าง การทำ คาร์ดิโอ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเวท ก็ดีกว่าไม่ทำเลย ประสบการณ์ส่วนตัวของผม ผมชอบทำเวทเบาๆ 20 นาทีตอนเช้า แล้วค่อยวิ่ง 20 นาที ตามด้วยยืดเหยียด 5 นาที รวมเวลาประมาณ 45 นาที พอดี ได้ทั้งความแข็งแรงและความอดทน

ใครเคยทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันแล้วได้ผล? มาดู Case จริง!

“ผมอยากแชร์เรื่องจริงจากลูกค้าที่ทำสำเร็จ เพราะบางทีการเห็นคนจริงๆ ทำได้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณมากกว่าคำแนะนำของผมอีก”

ใช้ลู่วิ่งรุ่น A3 เปลี่ยนคนไม่เคยวิ่งให้ไปถึง 5K

“เด็กหนุ่มอายุ 25 ปี อ้วน หอบเวลาขึ้นบันได ใช้ลู่วิ่ง A3 แค่ 20 นาทีทุกวัน เดือนแรกได้แต่เดิน เดือนที่ 3 วิ่งได้ 5K ไม่หยุด และต่อมาเข้าร่วมวิ่งมินิมาราธอนครั้งแรกในชีวิต!”

นี่เป็นอีกเคสที่ผมภูมิใจมาก… น้องชายคนหนึ่งอายุ 25 ปี ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ นั่งหน้าคอมพ์ทั้งวัน น้ำหนัก 95 กิโล สูง 175 ซม. เขามาที่ร้านผมและพูดประโยคที่ผมไม่เคยลืม:

“พี่หมิง ผมเหนื่อยที่จะเหนื่อยแล้วครับ…” เขาเล่าว่าเดินขึ้นบันไดแค่ชั้นเดียวก็หอบ แฟนเขาวิ่งเป็นงานอดิเรก แต่เขาไม่เคยไปวิ่งด้วยเพราะอาย ผมแนะนำให้เขาซื้อลู่วิ่ง A1 ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐานเพื่อเริ่มต้น เขาเริ่มจากเดินเร็ว 20 นาทีทุกวัน สัปดาห์แรกเดินที่ความเร็ว 5 กม./ชม. พอสัปดาห์ที่ 2 เพิ่มเป็น 6 กม./ชม.

  • ในเดือนแรกทำได้แค่เดินอย่างเดียว
  • เดือนที่ 2 เขาเริ่มสลับเดิน-วิ่ง ช่วงแรกวิ่ง 1 นาที เดิน 2 นาที ทำซ้ำจนครบ 20 นาที ค่อยๆ เพิ่มช่วงวิ่งและลดช่วงเดิน
  • เดือนที่ 3 เขาส่งวิดีโอมาให้ผมดู เป็นภาพเขาวิ่งบนลู่วิ่ง A1 ได้ 5K (5 กิโลเมตร) โดยไม่หยุดพัก! ผมยังจำภาพเขายิ้มกว้าง เหงื่อท่วมตัว แต่ดูมีความสุขมาก
  • 6 เดือนผ่านไป น้ำหนักเขาลดลง 18 กิโล เหลือ 77 กิโล และเขาสมัครวิ่งมินิมาราธอน 10K เป็นครั้งแรกในชีวิต แฟนเขาดีใจมาก

น้องคนนี้บอกผมว่า “ไม่เคยคิดว่าแค่ 20 นาทีต่อวันจะเปลี่ยนชีวิตผมได้ขนาดนี้ จากคนที่เดินขึ้นบันไดยังเหนื่อย กลายเป็นคนที่วิ่งได้ 10กิโล”

สร้างนิสัย = ได้ผลลัพธ์แบบยั่งยืน

“ความลับของความสำเร็จทั้งหมดคือการสร้างนิสัย พอทำไปเรื่อยๆ จนเป็นอัตโนมัติ โอกาสที่จะเลิกทำจะน้อยลงมาก เหมือนการแปรงฟันที่คุณไม่ต้องคิดว่าจะทำหรือไม่”

สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งสองเคสที่ผมเล่าให้ฟังมีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง – พวกเขาสร้างนิสัยการออกกำลังกายได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ “ทำเมื่อมีแรงบันดาลใจ” จากประสบการณ์ทำงานกับลูกค้ามากกว่าพันคน ผมพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงร่างกายมักมีลักษณะร่วมกัน:

  1. ทำในเวลาเดิมทุกวัน – บางคนเลือกตอนเช้าก่อนอาบน้ำ บางคนเลือกตอนเย็นหลังเลิกงาน การทำเวลาเดียวกันทุกวันช่วยให้เกิดเป็นนิสัยเร็วขึ้น
  2. ผูกกับกิจวัตรที่มีอยู่แล้ว – เช่น ดูข่าวหรือละครไปด้วย หรือฟังพอดแคสต์ที่ชอบ ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้เสียเวลาเพิ่ม
  3. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน – แค่ 20 นาทีต่อวัน ไม่ต้องหักโหม เป้าหมายที่ทำได้จริงช่วยสร้างความมั่นใจ
  4. ติดตามความก้าวหน้า – จดบันทึก ถ่ายรูป หรือใช้แอปติดตามผล การเห็นความเปลี่ยนแปลงช่วยเพิ่มแรงจูงใจ
  5. มีระบบรางวัล – บางคนให้รางวัลตัวเองเมื่อทำได้ครบ 7 วัน เช่น ดูหนังที่ชอบ หรือซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากได้

ผมเคยถามลูกค้าที่ทำสำเร็จว่า “อะไรทำให้คุณไม่ยอมแพ้?” คำตอบที่ได้บ่อยที่สุดคือ “มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว วันไหนไม่ได้ทำกลับรู้สึกแปลกๆ” นั่นแหละคือความลับที่แท้จริง – เมื่อการออกกำลังกาย 20 นาทีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เหมือนการแปรงฟันหรืออาบน้ำ คุณจะทำมันโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืนใจ

สรุป: ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน คุ้มไหม? เหมาะกับใคร?

“คุ้มมาก! แค่ 20 นาทีต่อวันให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ มันเหมาะกับทุกคน ตั้งแต่คนไม่เคยออกกำลังกายเลย ไปจนถึงนักกีฬา และทำที่ไหนก็ได้”

ได้ผลด้านไหนก่อน? หุ่น? สุขภาพ? ใจ?

“จากประสบการณ์กับลูกค้าเป็นพันคน ผมพบว่าสิ่งแรกที่เปลี่ยนคือ ‘จิตใจ’ แล้วค่อยเป็น ‘สุขภาพ’ และสุดท้ายคือ ‘รูปร่าง’ นี่คือลำดับที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิด แต่เป็นความจริง 100%”

หลายคนคิดว่า คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน ทำเพื่อหุ่นสวยอย่างเดียว แต่ความจริงแล้ว ลำดับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักเป็นดังนี้:

1-2 สัปดาห์แรก: จิตใจเปลี่ยน

  • อารมณ์ดีขึ้น
  • ความเครียดลดลง
  • การนอนหลับดีขึ้น
  • มีสมาธิมากขึ้น
  • มีพลังงานมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

2-4 สัปดาห์: สุขภาพเริ่มเปลี่ยน

  • ความดันโลหิตลดลง
  • ระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น
  • การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  • ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น (ไม่ค่อยเป็นหวัด)
  • มีความอดทนในชีวิตประจำวันมากขึ้น (เดินขึ้นบันไดไม่เหนื่อย)

4-8 สัปดาห์: รูปร่างเริ่มเปลี่ยนแปลง

  • ไขมันหน้าท้องลดลง
  • เอวเล็กลง
  • กล้ามเนื้อกระชับขึ้น
  • ใบหน้าดูเรียวขึ้น
  • ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

ผมยังจำใบหน้าของลูกค้าวัย 40+ คนหนึ่งได้ เขามาหาผมเพื่อเลือกลู่วิ่งเพราะหมอสั่งให้ออกกำลังกาย ความดันเขาสูงมาก เขาดูเครียดและไม่มีความสุข หลังจากซื้อลู่วิ่ง A3 ไปได้เพียง 2 สัปดาห์ เขาส่งข้อความมาบอกผมว่า “หมิง ผมนอนหลับสบายขึ้นเยอะเลย ความคิดโล่งขึ้น อารมณ์ดีขึ้น รู้สึกดีมากๆ” ทั้งที่น้ำหนักยังไม่ลดเลย!

นี่คือสิ่งที่คนมองข้ามเวลาพูดถึงการออกกำลังกาย – ประโยชน์ทางใจที่เกิดขึ้นเร็วกว่ารูปร่าง และสำคัญกว่ามากในระยะยาว อีก 1 เดือนต่อมา ความดันของเขาลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเขาเริ่มสังเกตว่าเสื้อผ้าหลวมขึ้น กางเกงที่เคยคับๆ ใส่สบายขึ้น ผมแนะนำให้ลูกค้าทุกคนโฟกัสที่ความรู้สึกก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจตัวเลขบนตาชั่ง เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปร่างต้องใช้เวลา แต่การเปลี่ยนแปลงจิตใจเกิดขึ้นเร็วกว่ามาก และเป็นแรงผลักดันให้ทำต่อไป

ถ้าอยากเริ่มพรุ่งนี้ ทำตามขั้นตอนนี้เลย

“ให้ผมแชร์เคล็ดลับจากคนที่ประสบความสำเร็จนับพันคน… เริ่มที่ 10 นาทีก่อน! อย่าเริ่มที่ 20 นาที มันจะรู้สึกหนักเกินไป สร้างความมั่นใจด้วย 10 นาทีก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 15 และ 20”

ถ้าคุณอยากเริ่มทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันตั้งแต่พรุ่งนี้ นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่ผมแนะนำ จากประสบการณ์ช่วยคนนับพันคน:

  1. เริ่มเล็กก่อน – วันแรกแค่ 10 นาที อย่าหักโหม แค่ทำให้เริ่มต้นได้ก่อน
  2. จองเวลาในปฏิทิน – ตั้งเวลาตายตัวทุกวัน เช่น 6:30 น. หรือ 18:30 น. และตั้งเตือนในมือถือ
  3. เตรียมชุดและอุปกรณ์ตั้งแต่คืนก่อน – วางไว้ให้เห็นชัดเจน เป็นการเตือนความจำ
  4. หาแรงจูงใจ – ฟังเพลงโปรด ดูซีรีส์ หรือฟังพอดแคสต์ระหว่างออกกำลัง
  5. เริ่มด้วยการเดินเร็ว – แม้แต่คนที่แข็งแรงก็ควรเริ่มจากการเดินเร็ว 2-3 วันแรก เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
  6. จดบันทึกทุกวัน – แค่เขียนสั้นๆ ว่า “วันนี้ทำได้แล้ว!” ลงในสมุดบันทึกหรือแอป
  7. บอกคนอื่น – แชร์เป้าหมายกับคนรอบตัว การมีคนคอยติดตามจะช่วยเพิ่มความรับผิดชอบ
  8. ไม่ต้องทำหนักทุกวัน – มีวันเบา วันกลาง และวันหนัก สลับกันไป
  9. หาเพื่อนร่วมทาง – ชวนเพื่อนหรือคนในครอบครัวทำด้วย หรือเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์
  10. ให้รางวัลตัวเอง – ทุก 7 วันที่ทำสำเร็จ ให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเอง

โค้ชหมิงฝากถึงคนที่ยังลังเล อย่ารอ เริ่มเถอะ!

“ผมเห็นคนร้อยคนที่บอกว่า ‘เดี๋ยวค่อยเริ่ม’ แล้วไม่เคยได้เริ่มเลย… แต่ไม่เคยเห็นใครเสียใจที่เริ่มทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน มีแต่คนเสียใจที่ไม่เริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ”

ถ้าตอนนี้คุณกำลังอ่านบทความนี้และยังลังเลว่าจะเริ่มทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันหรือไม่ ผมขอพูดตรงๆ นะครับ…

ผมเจอลูกค้ามาเป็นพันคน มีคนนับร้อยที่บอกผมว่า “เดี๋ยวค่อยเริ่มเมื่อพร้อม” แต่สุดท้ายไม่เคยได้เริ่มเลย แล้วกลับมาหาผมอีกครั้งด้วยปัญหาสุขภาพที่แย่ลง แต่ในทางกลับกัน ผมไม่เคยเจอใครเลยที่พูดว่า “ผมเสียใจที่เริ่มออกกำลังกาย” มีแต่คนที่พูดว่า “ผมเสียใจที่ไม่เริ่มเร็วกว่านี้” ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นเหมือนกัน เมื่อก่อนผมเป็นคนผอมแต่พุงป่อง ไม่มีกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย จนวันหนึ่งผมเจอรูปตัวเองในงานเลี้ยง และตกใจกับสิ่งที่เห็น

ผมเริ่มวิ่งแค่ 10 นาทีต่อวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 20 นาที ตอนแรกทำได้แค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลายเป็นทุกวัน จนวันนี้ผมวิ่งมาราธอนได้หลายรายการ ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก จากคนที่เดินขึ้นบันได 2 ชั้นแล้วเหนื่อย กลายเป็นคนที่วิ่งได้ 42 กิโลเมตร

  • ถ้าคุณกำลังคิดว่า “ฉันไม่มีเวลา” ผมขอถามว่าคุณมีเวลาดูโทรทัศน์หรือเล่นโซเชียลมีเดียวันละกี่ชั่วโมง? แค่ 20 นาทีต่อวันเท่านั้น น้อยกว่า 2% ของเวลาทั้งวัน 
  • ถ้าคุณคิดว่า “ฉันไม่มีพื้นที่” ก็ไม่ต้องมีลู่วิ่งก็ได้ การเดินเร็วรอบหมู่บ้าน การเต้นในบ้าน หรือการขึ้น-ลงบันไดก็เป็น คาร์ดิโอ ที่ดีเช่นกัน
  • ถ้าคุณคิดว่า “ฉันไม่พร้อม” ไม่มีใครพร้อม 100% หรอกครับ ทุกคนเริ่มจากความไม่พร้อมทั้งนั้น

สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือก้าวแรก แค่ 10 นาทีพรุ่งนี้ เท่านั้นพอ

โค้ชหมิงคือใคร? ทำไมถึงแชร์เรื่อง คาร์ดิโอ ได้แบบนี้

“ผมไม่ได้เกิดมาเป็นนักวิ่ง… เมื่อก่อนผมเป็นคนที่เดินขึ้นบันได 2 ชั้นยังเหนื่อย แต่วันละ 20 นาทีเปลี่ยนชีวิตผม จนวันนี้ผมวิ่งมาราธอนมาแล้ว 7 รายการ และช่วยคนอีกนับพันคนเปลี่ยนชีวิตด้วยวิธีเดียวกัน”

ผ่านมาราธอนจริง + ประสบการณ์ขายลู่วิ่งกว่า 1,000 เครื่อง

“ผมเริ่มวิ่งตอนอายุ 30 ด้วยการวิ่ง 20 นาทีต่อวัน จนตอนนี้ผ่านมาราธอนมาแล้ว 7 รายการ รวมถึง Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 และ Laguna Phuket Marathon 2024 และได้ช่วยคนอีกกว่า 1,000 คนเลือกลู่วิ่งที่เหมาะกับตัวเอง”

หลายคนถามว่าผมเป็นใคร ทำไมถึงรู้เรื่อง คาร์ดิโอ และลู่วิ่งขนาดนี้?

เรื่องของผมเริ่มต้นตอนอายุ 25 ผมเป็นคนผอมแต่พุงป่อง ไม่มีกล้ามเนื้อ เหนื่อยง่าย นอนไม่ค่อยหลับ เครียดจากงาน รู้สึกแก่กว่าอายุจริง วันหนึ่งผมเห็นรูปตัวเองในงานเลี้ยง และตกใจกับสิ่งที่เห็น ไม่น่าเชื่อว่าผมดูแย่ขนาดนั้น ผมตัดสินใจเริ่มออกกำลังกาย เริ่มจากวิ่งแค่ 10 นาทีต่อวันรอบหมู่บ้าน แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 20 นาที ตอนแรกทำได้แค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลายเป็นทุกวัน

หลังจากทำแบบนี้ได้ 6 เดือน ผมสมัครวิ่งมินิมาราธอน 10K เป็นครั้งแรกในชีวิต และติดใจ จากนั้นก็เริ่มซ้อมหนักขึ้น จนได้วิ่งฮาล์ฟมาราธอน (21K) และในที่สุดก็วิ่งมาราธอนเต็มรูปแบบ (42K) ตอนนี้ผมผ่านมาราธอนมาแล้ว 7 รายการ รวมถึง Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024 และ Laguna Phuket Marathon 2024 ล่าสุด

ระหว่างทางนั้น ผมเริ่มหลงใหลในเรื่องลู่วิ่งและอุปกรณ์ออกกำลังกาย จนตัดสินใจเปิดเว็บไซต์ Runathome.co เพื่อแนะนำและขายลู่วิ่งคุณภาพดีในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมขายลู่วิ่งไปแล้วกว่า 1,000 เครื่อง ได้พูดคุยกับลูกค้านับพันคน เรียนรู้ว่าอะไรใช้ได้ผล อะไรใช้ไม่ได้ผล และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตผู้คนเมื่อพวกเขาเริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

รู้ทั้งด้านทฤษฎี และ “ของจริง” ที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไป

“ผมไม่ใช่แค่นักขาย… ผมศึกษาทั้งทฤษฎีและเห็นของจริงจากลูกค้าเป็นพันคน ผมรู้ว่าอะไรใช้ได้ผล อะไรใช้ไม่ได้ผล และสิ่งที่หนังสือไม่เคยบอกคุณเกี่ยวกับการออกกำลังกายในชีวิตจริง”

สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากโค้ชคนอื่นๆ หรือคนขายลู่วิ่งทั่วไป คือผมมีทั้งความรู้ทางทฤษฎีและประสบการณ์จากโลกแห่งความเป็นจริง ผมศึกษาทฤษฎีการออกกำลังกาย สรีรวิทยา โภชนาการ และการเผาผลาญพลังงาน อ่านงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการวิ่งและ คาร์ดิโอ ตลอดเวลา แต่สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่า คือประสบการณ์ตรงจากการพูดคุยกับลูกค้ากว่าพันคน ที่มีทั้งคนประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลว ทำให้ผมเข้าใจว่าอะไรใช้ได้ผลในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่แค่ในหนังสือหรือทฤษฎี

ผมเห็นคนธรรมดาทั่วไปเปลี่ยนชีวิตด้วยการทำ คาร์ดิโอ แค่ 20 นาทีต่อวัน แม้จะมีข้อจำกัดมากมาย เช่น งานยุ่ง ครอบครัวเยอะ เวลาน้อย ผมเองก็เคยล้มเหลวมาก่อน เคยขาดความสม่ำเสมอ เคยท้อถอย แต่ก็ค้นพบวิธีที่ช่วยให้กลับมาทำต่อได้ นี่คือเหตุผลที่ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังเริ่มต้น คำแนะนำของผมจึงไม่ใช่แค่ทฤษฎีสวยหรู แต่เป็นวิธีที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน สำหรับคนธรรมดาที่มีข้อจำกัดเหมือนคุณและผม

เป้าหมายของผมคือช่วยให้ทุกคนสุขภาพดีได้จริง แค่วันละ 20 นาที

“ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถมีสุขภาพดีได้ แม้จะไม่มีเวลามาก แค่ 20 นาทีต่อวันก็เปลี่ยนชีวิตได้ เป้าหมายของผมคือช่วยให้คนไทยหนึ่งล้านคนมีสุขภาพดีขึ้นภายในปี 2030”

เป้าหมายของผมไม่ใช่แค่ขายลู่วิ่งให้ได้มากที่สุด แต่เป็นการช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถมีสุขภาพดีได้ แม้จะไม่มีเวลามาก ไม่มีเงินเยอะ หรือไม่มีพื้นฐานการออกกำลังกายมาก่อน แค่ 20 นาทีต่อวันก็เปลี่ยนชีวิตได้ ผมตั้งเป้าหมายว่าจะช่วยให้คนไทยหนึ่งล้านคนมีสุขภาพดีขึ้นภายในปี 2030 ผ่านการแชร์ความรู้ การให้คำแนะนำ และการจัดหาอุปกรณ์ออกกำลังกายคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้

ทุกครั้งที่ผมได้รับข้อความจากลูกค้าที่บอกว่า “หมิง ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ฉันวิ่งได้แล้ว” หรือ “ความดันของผมลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว” หรือ “ตอนนี้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้น” ผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิต ถ้าวันนี้คุณกำลังอ่านบทความนี้และกำลังคิดว่าจะเริ่มทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันหรือไม่ ผมอยากบอกว่า อย่ารอ เริ่มเลย แม้จะแค่ 10 นาทีในวันพรุ่งนี้ มันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณเหมือนที่เปลี่ยนชีวิตผมและคนอีกนับพันคน

FAQ เกี่ยวกับ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน

1. ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันจะลดน้ำหนักได้เดือนละกี่กิโล?

โค้ชหมิง: จากประสบการณ์กับลูกค้าเป็นพันคน โดยเฉลี่ยแล้วการทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันโดยไม่ปรับอาหารจะลดน้ำหนักได้ประมาณ 1-2 กิโลต่อเดือน แต่ถ้าควบคุมอาหารร่วมด้วย อาจลดได้ถึง 3-4 กิโลต่อเดือน อย่างไรก็ตาม อย่าโฟกัสที่ตัวเลขบนตาชั่งอย่างเดียว เพราะบางคนน้ำหนักไม่ลดแต่ไขมันลด กล้ามเนื้อเพิ่ม ทำให้รูปร่างดีขึ้นแม้น้ำหนักเท่าเดิม

2. จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังออกกำลังในโซนเผาไขมัน?

โค้ชหมิง: วิธีง่ายๆ คือ “ทดสอบการพูด” – ถ้าคุณพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้สบายๆ แสดงว่ายังเบาไป ถ้าพูดไม่ออกเลย แสดงว่าหนักเกินไป แต่ถ้าพูดได้เป็นประโยคสั้นๆ แบบติดขัดเล็กน้อย แสดงว่ากำลังอยู่ในโซนเผาไขมันพอดี หรือคำนวณคร่าวๆ ได้จาก 220 – อายุ = อัตราการเต้นสูงสุด จากนั้นหา 65-75% ของค่านั้น

3. ถ้าทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวัน แต่กินเยอะขึ้น จะลดน้ำหนักได้ไหม?

โค้ชหมิง: ตรงๆ เลยนะครับ ถ้ากินมากกว่าพลังงานที่เผาผลาญ น้ำหนักจะไม่ลด การทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีเผาประมาณ 200-300 แคลอรี่ แต่ถ้ากินชดเชยเกิน 300 แคลอรี่ (แค่โดนัท 1 ชิ้น) ก็จะไม่ลด ผมแนะนำให้ไม่ต้องลดปริมาณอาหาร แต่เลือกกินอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น และระวังการกินเพิ่มเพราะคิดว่า “วันนี้ออกกำลังแล้ว กินได้เยอะกว่าปกติ”

4. ทำไมวิ่งทุกวันแล้วยังเหนื่อยเหมือนเดิม?

โค้ชหมิง: ถ้าคุณยังเหนื่อยเหมือนเดิมหลังทำ คาร์ดิโอ มาสักพัก อาจเกิดจาก 3 สาเหตุ: (1) ร่างกายยังปรับตัวไม่พอ ให้เวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ (2) คุณอาจพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนน้อยทำให้การฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ (3) คุณอาจทำหนักเกินไป ลองลดความเข้มข้นลงและค่อยๆ เพิ่มขึ้น ร่างกายทุกคนต้องการเห็นผลเร็วๆ ร่างกายต้องการเวลาปรับตัว ผมมีลูกค้าคนหนึ่งบ่นว่าวิ่งวันละ 20 นาทีมา 2 สัปดาห์แล้วยังเหนื่อยอยู่เลย ผมถามว่านอนวันละกี่ชั่วโมง เขาตอบว่า “4-5 ชั่วโมง” นั่นไงปัญหา! พอเขาปรับการนอนเป็น 7 ชั่วโมง อีก 3 สัปดาห์ต่อมาเขาวิ่งได้ไกลขึ้น 30% โดยไม่เหนื่อย

5. คนอายุเท่าไหร่เริ่มทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันได้บ้าง?

โค้ชหมิง: ไม่มีขีดจำกัดเรื่องอายุครับ! ลูกค้าอายุน้อยสุดของผมคือวัยรุ่น 16 ปี มาฝึกวิ่งเพื่อเข้าทหาร ส่วนลูกค้าอายุมากสุดคือคุณยายวัย 78 ปีที่หมอแนะนำให้ออกกำลังเพื่อควบคุมความดันและน้ำตาล แต่ต้องปรับรูปแบบตามวัย เด็กและวัยรุ่นอาจเน้น HIIT หรือวิ่งเร็ว ผู้สูงอายุอาจเริ่มจากเดินช้าๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็ว แต่สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะถ้าไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน

6. จะรู้ได้อย่างไรว่าลู่วิ่งรุ่นไหนเหมาะกับเรา?

โค้ชหมิง: ผมมีลูกค้าประจำคนหนึ่งซื้อลู่วิ่ง 3 เครื่องในเวลา 2 ปี! ทำไมน่ะเหรอ? เพราะซื้อผิดรุ่นครับ ครั้งแรกซื้อถูกเกินไป พังง่าย ครั้งที่สองซื้อรุ่นกลางแต่พื้นที่ไม่พอ ครั้งที่สามเลยมาปรึกษาผมก่อนซื้อ ผมขอแนะนำให้ดูจาก: (1) น้ำหนักตัว – คนหนัก 90+ กก. ควรเลือกรุ่นที่รับน้ำหนักได้ 120+ กก. (2) พฤติกรรมการวิ่ง – ถ้าคุณชอบวิ่งเร็ว 12+ กม./ชม. ต้องเลือกรุ่นที่มีมอเตอร์ 3.5 แรงม้าขึ้นไป (3) พื้นที่ในบ้าน – วัดพื้นที่จริงก่อนซื้อ และเผื่อพื้นที่รอบลู่วิ่งอีก 50 ซม. ทุกด้าน (4) งบประมาณ – อย่าซื้อถูกเกินไปถ้าน้ำหนักเยอะหรือจะใช้บ่อย คำนวณต้นทุนต่อวันจะเห็นว่าคุ้มกว่ามาก

7. ทำ คาร์ดิโอ ทุกวันได้ไหม ไม่ต้องพักบ้างเหรอ?

โค้ชหมิง: เรื่องนี้มีคนถามผมบ่อยมาก! ความจริงคือ คาร์ดิโอ เบาๆ ถึงปานกลาง 20 นาทีทำทุกวันได้ครับ แต่ควรสลับความหนักเบา เช่น จันทร์-พุธ-ศุกร์ ทำหนักหน่อย อังคาร-พฤหัส-เสาร์ ทำเบาลง อาทิตย์ทำเบาสุด ผมเองวิ่งทุกวันตอนซ้อนมาราธอน แต่พบว่าสัปดาห์ที่ 4 เริ่มมีอาการเหนื่อยล้าสะสม เลยปรับให้มีวันพักแบบแอคทีฟ (active recovery) คือแค่เดินเบาๆ หรือยืดเหยียด แทนที่จะหยุดสนิท ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

8. ถ้าขาดการออกกำลังไป 1-2 สัปดาห์ ต้องเริ่มต้นใหม่ไหม?

โค้ชหมิง: ไม่ต้องเริ่มใหม่หมดครับ! นี่เป็นความกลัวที่ฝังลึกในใจหลายคน แต่ความจริงคือร่างกายไม่ได้สูญเสียความฟิตเร็วขนาดนั้น มีลูกค้าของผมคนหนึ่งไปเที่ยวต่างประเทศ 2 สัปดาห์ กลับมากังวลมากว่าต้องเริ่มต้นใหม่ ผมแนะนำให้เขาลดความเข้มข้นลง 20-30% ในสัปดาห์แรกที่กลับมา แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ภายใน 1 สัปดาห์เขากลับไปวิ่งได้เหมือนเดิม แถมรู้สึกสดชื่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะร่างกายได้พักเต็มที่ การพักเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการพัฒนา ไม่ต้องกลัวครับ

9. เป็นหวัดเล็กน้อย ทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีได้ไหม?

โค้ชหมิง: ผมมีกฎง่ายๆ ที่เรียกว่า “กฎคอขึ้นไป-คอลงไป” ถ้าอาการอยู่คอขึ้นไป เช่น คัดจมูก เจ็บคอ น้ำมูกไหล ออกกำลังเบาๆ ได้ (แต่ลดความเข้มข้นลง 50%) แต่ถ้าอาการอยู่คอลงไป เช่น ไอมาก แน่นหน้าอก ปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ ห้ามออกกำลังเด็ดขาด ให้พักจนกว่าจะหายดี มีช่วงหนึ่งผมดื้อมาก ฝืนวิ่งทั้งที่มีไข้ต่ำๆ ผลคือป่วยหนักกว่าเดิม และต้องพักนานถึง 2 สัปดาห์ แทนที่จะพัก 3-4 วันแล้วกลับมาวิ่งได้ อย่าใจร้อนครับ ร่างกายต้องการเวลาฟื้นตัว

10. จะสร้างนิสัยออกกำลังทุกวันได้ยังไง ไม่ให้เบื่อหรือท้อ?

โค้ชหมิง: เคล็ดลับสุดยอดที่ผมค้นพบคือ “ผูกติดกับความสุข” ไม่ใช่ความทุกข์! ลูกค้าที่ประสบความสำเร็จทุกคนของผมจะผูกการออกกำลังกายเข้ากับสิ่งที่เขาชอบ เช่น ดูซีรีส์โปรดขณะวิ่งบนลู่วิ่ง ฟังพอดแคสต์ที่ชอบ หรือชวนเพื่อนมาออกกำลังด้วยกัน นอกจากนี้ วิธีที่ได้ผลดีมากๆ คือการทำให้ง่ายที่สุด เช่น ตั้งลู่วิ่งในที่ที่เห็นได้ชัด วางชุดออกกำลังกายไว้ข้างเตียง ตั้งเตือนในมือถือ และที่สำคัญที่สุด ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำได้ตามเป้า ไม่ใช่ด้วยอาหาร แต่เป็นสิ่งที่อยากได้ เช่น หนังสือเล่มใหม่ ชุดใหม่ หรือทริปเล็กๆ นี่คือวิธีที่ทำให้ผมวิ่งมาได้กว่า 5 ปีโดยไม่เบื่อเลย!

สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากไว้ว่า การทำ คาร์ดิโอ 20 นาทีทุกวันไม่ใช่เรื่องของการลดน้ำหนักเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนชีวิตทั้งใบ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และคุณภาพชีวิต เริ่มต้นง่ายๆ วันนี้ เพียง 20 นาทีของคุณจะเปลี่ยนทุกวันที่เหลือของชีวิต!